ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 471 สุขภาพร่างกายของคุณป้าเล็กแย่มากแย่มากๆ + ตอนที่ 472 รถไฟขบวนเดียวกัน
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 471 สุขภาพร่างกายของคุณป้าเล็กแย่มากแย่มากๆ + ตอนที่ 472 รถไฟขบวนเดียวกัน
ตอนที่ 471 สุขภาพร่างกายของคุณป้าเล็กแย่มากแย่มากๆ
สยงชิงชิงถามอย่างแปลกใจว่า “คุณป้าเล็กของนายไม่ใช่อยู่ทางภาคใต้หรอกเหรอ? ทำไมถึงได้มาถึงนี่ได้?”
สยงมู่มู่มีใจคิดอยากจะเอาข่าวเรื่องที่คุณลุงเล็กของเขากำลังจะเข้ามารับตำแหน่งพูดออกมา แต่จ้าวอิงหนานกลับดึงหูของเขาเพื่อเตือนไม่ให้เขาพูดเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป ไม่อย่างนั้นทั้งคู่จะได้รับการปรนนิบัติอย่างจัดหนักจัดต็มชุดใหญ่
เขาอดทนต่อหัวใจที่กำลังปั่นป่วน พูดว่า “ก็ก่อนที่คุณลุงเล็กของฉันจะกลับเมืองหลวงเพื่อฉลองปีใหม่ เขาจะมาที่เมืองจินเพื่อพาคุณป้าเล็กไปหาหมอ แล้วก็ค่อยกลับเมืองหลวงเพื่อฉลองปีใหม่ด้วยกันกับครอบครัวฉันไงล่ะ”
สุขภาพของเหยียนซินหย่ายิ่งนานยิ่งแย่ กินยาไปแล้วนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่ได้ผล ทุกๆ วันจ้าวอิงหัวได้แต่ตื่นตระหนกหวาดกลัว เขากลัวว่าภรรยาของเขาจะจากไปก่อนเขาและลูกชาย แล้วไปอยู่กับลูกสาวเขา
นั่นเป็นเหตุผลที่พอจ้าวอิงหัวได้ยินน้องสาวบอกว่าที่เมืองจินมีหมอเทวดา มีแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนรีเวชวิทยา เขาก็ตัดสินใจมาเพื่อขอคำปรึกษา ไม่ยอมรอถึงฤดูใบไม้ผลิ
หลายปีที่ผ่านมาเขาก็เป็นเช่นนี้ ขอเพียงได้ยินข่าวคราวว่าที่ไหนมีหมอเทวดา เขาจะพาภรรยาของเขาไปที่นั่นเพียงขอให้จ่ายยาให้ เพียงแต่น่าเสียดาย หาหมอมาเยอะขนาดนี้ สุขภาพร่างกายของภรรยายังคงไม่ดีขึ้นมาเสียเลย
แต่จ้าวอิงหัวแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่ายๆ ขอเพียงยังมีความหวังเส้นบางๆ เขาจะยืนหยัดมุ่งมั่นไม่ท้อถอยอย่างแน่นอน!
อู่เหมยนึกขึ้นมาได้ ถามอย่างเป็นห่วงว่า “สุขภาพร่างกายของคุณป้าเล็กนายแย่มากไหม?”
“ฉันก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก แต่ว่าตอนฉันยังเด็กร่างกายของเธอก็แย่มากแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าดีขึ้นหรือยัง?” สยงมู่มู่รู้สึกเศร้าสลด เขาชอบผู้หญิงที่ทั้งสวยและอบอุ่นคนนั้นมากจริงๆ หวังว่าเธอจะมีชีวิตที่ดี อายุยืนร้อยปี
ระหว่างทางที่กลับบ้าน สยงมู่มู่ดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา น่จะเป็นเพราะนึกถึงเหยียนซินหย่า ดูท่าทางบูดบึ้งไม่พูดไม่จา
“อันที่จริงคุณป้าเล็กของฉันร่างกายย่ำแย่มากๆ ฉันได้ยินพ่อแม่พูดลับหลังว่า ถ้าหากคุณป้าเล็กยังหาคุณหมอที่เก่งไม่เจออีก มีความเป็นไปได้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่ปี!”
สยงมู่มู่สูดจมูก จ้าวอิงหนานไม่ได้พูดคำพูดพวกนี้ต่อหน้าเขา เป็นเขาไปแอบได้ยินมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะเผชิญกับเวลาที่มีญาติใกล้ตัวตายจากไป ทำให้หลายวันมานี้เขามักจะไม่มีความสุขอยู่เสมอ
อู่เหมยตกใจยกใหญ่ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยเจอคุณป้าเล็กของสยงมู่มู่ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ผู้หญิงคนที่เธอไม่เคยเจอเลยคนนี้มักจะทำให้เธอเป็นห่วงโดยไม่มีสาเหตุ หวังแค่เพียงว่าเธอจะมีชีวิตที่ดี
แต่ตอนนี้เธอกลับได้ยินข่าวร้ายนี้อย่างกะทันหัน ความรู้สึกภายในใจของอู่เหมยก็แย่ลงทันที!
“เธออย่ากังวลมาก พี่หมิงซุ่นบอกว่าคุณหมอคนนั้นเก่งมากๆ คุณยายของพี่หมิงซุ่น ยังมีแม่ของพี่เหมยซูหาน ต่างก็ล้มป่วยมาสิบกว่าปี เพียงแค่กินยาที่คุณหมอจ่ายให้ไม่กี่ชุด ตอนนี้ต่างก็ลงจากเตียงได้แล้ว คุณป้าเล็กของนายต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ นายวางใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย!”
อู่เหมยปลอบใจสยงมู่มู่ แล้วก็เพื่อคลายกังวลใหตัวเองในเวลาเดียวกัน
สยงมู่มู่พอได้ยินว่าคุณหมอเทวดาเก่งขนาดนี้ ก็มีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กน้อยที่ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไร ไม่นานก็มีความสุขขึ้นมาแล้ว
อู่เหมยกลับเก็บเรื่องเอาไว้ในใจ ตั้งใจจะหาเวลาไปถามเหยียนหมิงซุ่นว่า หมอเทวดาคนนั้นเชื่อถือได้หรือไม่ สามารถรักษาคุณป้าเล็กของสยงมู่มู่ให้หายได้ไหม!
ระยะนี้เหยียนหมิงซุ่นยุ่งมากๆ เพราะว่าซื้อบ้านหลังใหญ่หลังนั้น สภาพการเงินของเขาว่างเปล่ามาก แม้กระทั่งเงินที่ติดอู่เหมยไว้ก็ยังไม่ได้คืน เพิ่งจะปิดเทอมฤดูหนาว เหยียนหมิงซุ่นก็เริ่มที่จะหาเงินแล้ว เขาไปรับซื้อของเก่ากับลุงเล็กทั่วทุกสารทิศด้วยกัน ยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้นเลยทีเดียว
หลายวันมานี้เขากับลุงเล็กเพิ่งจะไปทางใต้มารอบหนึ่ง เก็บของมาได้ไม่เลว โถเหยือกหม้อและไหสิ่งของชำรุดทรุดโทรมพวกนี้เขาก็รับมาไม่น้อย ส่วนพวกของที่ไม่แตกหักเสียหายง่ายๆ และมีราคาไม่ค่อยแพงเขาก็ฝากขนส่งไป ส่วนของมีค่าราคาสูงก็จะพกติดตัวแบกไปเองเพื่อความปลอดภัย เหยียนหมิงซุ่นจึงเจาะจงซื้อตั๋วตู้นอนบนรถไฟโดยเฉพาะ
“หมิงซุ่น หลังจากรอบนี้พวกเราคงสามารถทำเงินได้ไม่น้อยเลยนะ ปีนี้ก็จะเป็นปีที่มั่งคั่งร่ำรวยได้แล้ว”
ลุงเล็กของเหยียนหมิงซุ่นมีชื่อว่าโม่เหวินต้ง อายุยี่สิบต้นๆ หน้าตาคล้ายกับเหยียนหมิงซุ่นอยู่สิบส่วน เพียงแต่ส่วนสูงเตี้ยกว่าหน่อย ผิวคล้ำ นัยน์ตาบ่งบอกถึงการวางแผนที่ฉลาดเฉียบแหลมแบบชาวชนบท แต่ก็ยังไม่ละทิ้งความซื่อสัตย์
…………………………………………..
ตอนที่ 472 รถไฟขบวนเดียวกัน
เหยียนหมิงซุ่นชำเลืองมองกระเป๋าสองใบใหญ่ที่ปูดบวมบนชั้นวางกระเป๋า และพูดเบาๆ ว่า “อีกแค่สี่วันก็จะฉลองตรุษจีนแล้ว ถ้าขายไปตอนนี้ก็ออกจะรีบร้อนไปหน่อย และไม่น่าจะขายได้ราคาดีด้วย รอเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิค่อยขายออกไปจะดีกว่า!”
แน่นอนว่าโม่เหวินต้งเองก็รู้สภาวะตลาด แต่ว่า…
“แต่ถ้าไม่ขายออกไปตอนนี้ พวกเราจะฉลองตรุษจีนกันยังไง? แม่เองก็หยุดยาไม่ได้ ในมือของพวกเรามีเงินเหลืออยู่แค่สิบกว่าหยวนเองนะ!”
โม่เหวินต้งขมวดคิ้ว มองเหยียนหมิงซุ่นอย่างกังวล หวังว่าหลานชายคนสำคัญจะหาวิธีออกมาได้
อย่ามองว่าเหยียนหมิงซุ่นอายุน้อย ทั้งยังอายุน้อยที่สุดในครอบครัว แต่ในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นการตัดสินใจของเหยียนหมิงซุ่นทั้งหมด เขาและพี่ชายอีกจำนวนหนึ่งต่างก็เชื่อฟังหลานชายคนนี้ทั้งหมดด้วยความเลื่อมใสอย่างสุดจิตสุดใจ
เหยียนหมิงซุ่น ยิ้มพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป ไม่ใช่ว่าตอนนี้ยังมีค่าเช่าอยู่เหรอ ตอนนั้นเก็บเงินค่าเช่ามาแค่เพียงครึ่งเดียว ยังมีอีกครึ่งหนึ่งที่ไม่ได้เก็บนี่ รวมๆ ขึ้นมาแล้วก็จะมีประมาณสี่ร้อยกว่าหยวน หากประหยัดหน่อยก็สามารถถูไถไปได้ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วล่ะ”
โม่เหวินจิ้งตบหน้าผาก แสยะยิ้มพูดว่า “ใช่แล้ว พวกเรายังมีเงินค่าเช่า โชคดีที่ตอนนั้นหมิงซุ่นนายเก็บแค่เพียงครึ่งเดียว ไม่เช่นนั้นปีนี้พวกเราคงต้องลำบากแล้ว!”
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร หากให้ลุงๆ ของเขาเฝ้าสมบัติเก่าดูแลของที่ตกทอดกันมาน่ะก็พอได้ แต่ถ้าให้สร้างใหม่เองน่ะไม่กล้า แต่ว่าแบบนี้ก็ดี คนขี้ขลาดมักจะไม่ก่อเรื่อง ขอเพียงพวกเขาประพฤติตัวเรียบร้อยไม่ออกนอกลู่นอกทาง เขารับรองว่าจะช่วยให้พวกเขามีกินมีใช้ไปทั้งชาติ
อีกทั้งลูกพี่ลูกน้องและลุงๆ ของเขาก็ถือว่าเป็นคนดีกันทั้งหมด และยังเก่งกว่าคนที่อายุมากๆ เยอะเลย โดยเฉพาะลูกพี่ลูกน้องคนที่สอง โม่ซิวหยวน เป็นคนฉลาด อุตสาหะ ทั้งยังทะเยอทะยาน เรียนหนังสือก็เก่งมาก ตอนนี้กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่เมืองหลวง
โม่ซิวหยวนโตกว่าเขาสองปี เพิ่งจะขึ้นปีหนึ่ง เรียนสาขาการเงิน เขาวางแผนกรุยทางด้านการค้าไว้ให้กับตระกูลโม่ โม่ซิงหยวนคือคนที่เขามองว่าจะมาเป็นเสาหลักสำคัญ
“คุณลุง ผมไปเทน้ำร้อนกินกับหมั่นโถวนะ”
เหยียนหมิงซุ่นถือโถน้ำชาเตรียมที่จะไปเทน้ำร้อน เพื่อประหยัดเงิน พวกเขาสองคนไม่ได้ไปกินข้าวที่ห้องอาหาร แต่กลับซื้อหมั่นโถวถุงใหญ่ไว้กินเป็นกับข้าว กินกับน้ำร้อน ก็พออิ่มท้องแล้ว
“ฉันไปเองๆ หมิงซุ่นพักอยู่ที่นี่เถอะ”
โม่เหวินต้งรีบยืนขึ้นมา เขาเป็นผู้อาวุโสกว่า แน่นอนว่าจะต้องดูแลหลานชายสิ!
“ผมไปแปปเดียวเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว ลุงเล็กคอยดูกระเป๋าเดินทางไว้เถอะ”
เหยียนหมิงซุ่นเดินไปด้วยตัวเองแล้ว โม่เหวินต้งทำได้แค่เพียงนั่งลง ดวงตาทั้งสองข้างจ้องกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อย่างเอาเป็นเอาตาย ตรงนั้นเป็นเสบียงอาหารของทั้งครอบครัวและค่ายาของแม่อีกด้วย ไม่อาจให้เกิดความผิดพลาดเสียหายขึ้นได้เด็ดขาด
อีกขบวนหนึ่ง เหยียนซินหย่าอยากจะลงจากเตียงไปเดินๆ หน่อย เตียงของรถไฟแข็งมากจริงๆ นอนจนร่างกายปวดไปหมด จ้าวอิงหัวรีบเข้ามาประคองเธอ มองภรรยาที่ใบหน้าซีดขาว ในใจของเขาก็รู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไร
“ซินหย่าอยากจะไปเข้าห้องน้ำเหรอ? ให้ผมประคองคุณไปนะ!” จ้าวอิงหัวนั้นพออยู่ต่อหน้าภรรยาก็เหมือนผู้ชายปกติทั่วไป อ่อนโยนเอาใจใส่ดูแล เสียงอ่อนเสียงหวาน ไม่มีมาดเกรงขามเหมือนตอนทำงานเลยสักนิด
เหยียนซินหย่ายิ้มอย่างอบอุ่นอ่อนหวาน “ไม่ได้จะไปเข้าห้องน้ำหรอก ฉันแค่นอนจนรู้สึกไม่สบาย อยากจะลุกขึ้นมาขยับตัวสักหน่อย แล้วก็ถือโอกาสออกไปดูทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างด้วย”
สิ่งก่อสร้างและสะพานเล็กๆ กับสายน้ำที่คุ้นเคยนอกหน้าต่างนั้น กระตุ้นความทรงจำในวัยเด็กของเหยียนซินหย่า มีทั้งความสุขที่หอมหวานทั้งความทุกข์และความเจ็บปวด แต่ตอนนี้เธอเหลือแค่เพียงความเจ็บปวดแล้ว!
คนที่ใกล้ชิดกับเธอค่อยๆ ไปจากเธอเรื่อยๆ ศพของพ่อแม่ก็เป็นเธอที่บรรจุศพด้วยตัวเอง ร่างของลูกสาวและคุณปู่คุณย่าก็เป็นเธอเองอีกที่ทำด้วยตัวเอง ความทรงจำพวกนี้ก็เหมือนมีดก็ไม่ปาน ทิ่มแทงออกมาตลอดเวลา ค่อยๆ ตัดความปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอยู่ของเธอไปทีละนิด
การที่ต้องเห็นคนใกล้ชิดกับเธอค่อยๆ ไปจากเธอเรื่อยๆ เช่นนี้
เธอเหนื่อยมากแล้วจริงๆ!
ถ้าไม่ใช่เพราะว่ายังนึกถึงสามีและลูกชาย ยี่สิบปีก่อนเธอคงจะจากไปพร้อมกับลูกสาว ไปจากโลกที่มีแต่ความทุกข์ยากลำเค็ญนี้!
…………………………………………