ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 491 เยี่ยมเยียนบ้านตระกูลสยง + ตอนที่ 492 คุณชื่อเหยียนซินหย่าใช่หรือไม่
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 491 เยี่ยมเยียนบ้านตระกูลสยง + ตอนที่ 492 คุณชื่อเหยียนซินหย่าใช่หรือไม่
ตอนที่ 491 เยี่ยมเยียนบ้านตระกูลสยง
เหยียนหมิงซุ่นกับโม่เหวินต้งนำสมบัติที่ได้รับมานำไปซ่อนในห้องลับจัดอย่างเป็นระเบียบ แล้วก็เตรียมตัวกลับบ้าน โม้เหวินต้งพูดจาอึกอักมองเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
เรื่องที่ไม่ค่อยเที่ยงตรงโปร่งใสอย่างกระสอบใบนี้ ไม่ให้หลานชายรู้จะดีกว่า หลานชายเป็นคนใจกว้างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อย่าให้เรื่องพวกนี้ทำให้สายตาของเขาต้องแปดเปื้อนเลย
โม่ถงจื้อ นายรู้หรือไม่ว่าหลานชายของนายที่ใจกว้างและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่รู้ว่าการปีนกำแพงลื่นมากขนาดไหน!
เหยียนหมิงซุ่นรีบกลับบ้าน ไม่ได้สนใจท่าทางที่ไม่ปกติของลุงเล็ก เขาอยากจะรีบกลับไปมากๆ เพื่อเอาหยกรูปพระ ไปให้กับอู่เหมย แล้วแวะบ้านตระกูลสยงสักหน่อย เขาจะต้องพูดคุยกับเหยียนซินหย่าให้รู้เรื่อง โดยยังไม่บอกกับอู่เหมยก่อนเพื่อเธอจะได้ไม่ดีใจเก้อ
เขาเพิ่งจะถึงบ้าน ก็ได้ยินคุณยายหยางพูดกับเขาว่า อู่เหมยแวะมาหาเขาอยู่รอบหนึ่ง เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง การไปภาคใต้ครั้งนี้ก็เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น ยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรกับอู่เหมย เขายังรับปากไปอีกว่าจะพาเจ้าเด็กนี่ไปหาหมอฟัน!
“ผมจะไปบ้านอาจารย์อู่สักหน่อยถามว่ามีเรื่องอะไร”
เหยียนหมิงซุ่นไม่สนใจที่จะกินข้าวก็ทำท่าจะออกไปแล้ว ทำให้คุณยายหยางต้องขวางเอาไว้
“บ้านตระกูลอู่ตอนนี้ไม่มีคนอยู่เลย ไปอยู่กันที่บ้านพ่อแม่ของอาจารย์อู่ของหลานทางนู่นหมดแล้ว ในบ้านปิดไฟมืดไปหมด หลานจะไปทำอะไร?”
เหยียนหมิงซุ่นขมวดคิ้วเบาๆ ถอยหลังกลับเข้ามา หางตาเห็นเหยียนหมิงต๋าที่มีท่าทางหมดอาลัยตายอยากอยู่อีกด้านแวบหนึ่ง ท่าทางเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนที่ร่าเริงสดใส สีหน้ามัวหมอง เต็มไปด้วยเรื่องที่รบกวนจิตใจ
คิ้วของเขายิ่งขมวดหนักเข้าไปใหญ่ สำหรับเหยียนหมิงต๋าที่อ่อนแอไม่พยายาม เขารู้สึกไม่พอใจและหวังอย่างแรงกล้าว่าเหยียนหมิงต๋าจะปรับปรุงตัว ตั้งแต่เขาออกจากประตูไปเหยียนหมิงต๋าก็เป็นแบบนี้ ผ่านไปสิบกว่าวันได้แล้ว เจ้าหนุ่มน้อยนี่ก็ยังมีท่าทางราวกับผี ช่างไม่มีอนาคตเสียจริงๆ!
ครั้งที่แล้วถานซูฟางไปอาละวาดที่บ้านตระกูลอู่ยกใหญ่ ก่อให้เกิดคดีนองเลือดที่บ้านตระกูลอู่อีกครั้ง อีกทั้งเป็นการยืนยันเรื่องที่เหอปี้อวิ๋นสองแม่ลูกเป็นโรคประสาท ถึงแม้คนจะพูดถึงอู่เหมยน้อย ทุกคนนั้นหวั่นเกรงจ้าวอิงหนาน แต่ภายในใจมองว่าอู่เหมยเป็นโรคประสาทอีกคนด้วยอย่างแน่นอน
หน่ำซ้ำอู่เยวี่ยที่ไม่มีจ้าวอิงหนานคอยปกป้องยิ่งไม่ต้องพูดถึง ชื่อเสียงเน่าฉาวโฉ่ไปไกล นักเรียนดีเด่นที่ใครเห็นใครก็ชื่นชมในอดีต ตอนนี้กลับเป็นใครเห็นใครก็รังเกียจ ถอยออกอยู่ห่างๆ
เหยียนหมิงต๋าแน่นอนว่าไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ในสายตาของเขาอู่เยวี่ยตรงไหนก็ดีไปหมด พวกที่ใส่ร้ายป้ายสีอู่เยวี่ยพวกนั้นต่างก็เป็นคนเลว และคนที่เป็นต้นเหตุก่อให้เกิดทุกสิ่งทุกอย่างนี้ เขากลับไม่มีปัญญาที่จะไปตำหนิกล่าวว่า
เพราะว่านั่นเป็นแม่แท้ๆ ของเขา!
ที่ทำให้เหยียนหมิงต๋าเสียใจเป็นทุกข์ที่สุดก็คือ ตอนนี้อู่เยวี่ยไม่สนใจเขาอีกต่อไปแล้ว พอเห็นเขาก็จะหลบเลี่ยงถอยออกห่าง ไม่มีแม้แต่คำทักทาย ทำให้ความรักของเหยียนหมิงต๋าต้องเจ็บปวดหัวใจแตกสลาย จึงทำให้ไม่พอใจถานซูฟางมากยิ่งขึ้นไปอีก
อยู่ข้างนอกได้รับการปฎิบัติอย่างเย็นชาจากอู่เยวี่ย ญาติพี่น้องในบ้านก็ยังต่อว่าเขา เอาเรื่องเงินค่าขนมมาข่มขู่เขา เหยียนหมิงต๋าไหนเลยจะร่าเริงสดใสขึ้นมาได้?
เหยียนหมิงซุ่นเบื่อที่จะสนใจน้องชายที่โง่เขลาเหมือนหมูก็ไม่ปานคนนี้ เวลาเป็นยารักษาบาดแผลได้ดีที่สุด รอเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง เหยียนหมิงต๋าก็จะตัดอู่เยวี่ยได้เอง!
เพียงแต่เขาประเมินความรักความลุ่มหลงของน้องชายตัวเองต่ำเกินไป และประเมินความรู้สึกละอายใจของอู่เยวี่ยสูงเกินไป คู่นี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าตัดกันไม่ขาดไม่สามารถแยกจากกันได้และเป็นไปไม่ได้ที่จะกำจัด!
เหยียนหมิงซุ่นกินข้าวเสร็จ ก็อาบน้ำอีกครั้ง แต่งตัวเรียบร้อยตรงไปยังบ้านตระกูลสยง เขามีเหตุผลที่ดีและบริสุทธิ์ใจ
ครอบครัวตระกูลสยงก็เพิ่งจะกินข้าวเสร็จ เหยียนซินหย่าพักผ่อนตลอดทั้งบ่าย ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเป็นกอง นั่งดูโทรทัศน์รวมทั้งนั่งพูดคุยเรื่องราวชีวิตประจำวันของครอบครัวกับจ้าวอิงหนาน จ้าวอิงหัวก็พูดคุยเรื่องราวการทำงานกับพ่อสยง จ้าวเสวียหลินและสยงมู่มู่ก็กำลังเล่นหมากรุก ในห้องที่อบอุ่นก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นทุกพื้นที่
‘ก๊อกๆ’
จ้าวอิงหนานรีบวิ่งมาเปิดประตู เห็นเหยียนหมิงซุ่นก็ชะงักงัน หัวเราะทักทายแล้วก็ให้เขาเข้าข้างใน แนะนำให้กับจ้าวอิงหัวคู่สามีภรรยา “พี่ชายเล็ก พี่สะใภ้เล็ก นี่เป็นนักเรียนของฉันเหยียนหมิงซุ่น คุณหมอมือหนึ่งด้านนรีเวชคนนั้นก็เป็นเขานี่แหละที่แนะนำมา”
…………………………………………..
ตอนที่ 492 คุณชื่อเหยียนซินหย่าใช่หรือไม่
จ้าวอิงหัวมองแค่ปราดเดียวก็จำได้ว่าเหยียนหมิงซุ่นคือหนุ่มน้อยที่อยู่บนรถไฟ แววตาประกายเล็กน้อย ยิ้มเดินเข้ามาจับมือกับเขา ค่อนข้างเป็นทางการอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตามการจับมือนับว่าเป็นมารยาทโดยทั่วไประหว่างผู้ใหญ่ แม้เหยียนหมิงซุ่นยังเป็นเพียงแค่เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่จ้าวอิงหัวไม่อยากประเมินหรือดูหมิ่นหนุ่มน้อยคนนี้ เพราะเขาเห็นตัวเองเมื่อยี่สิบปีก่อนในตัวของเหยียนหมิงซุ่น
เพียงแต่เขากลับไม่ค่อยชอบเหยียนหมิงซุ่น เขามักจะทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่เสมอ อีกทั้งจิตใต้สำนึกอยากจะกีดกันตัวเขาออกไป ไม่รู้เหมือนกันว่าด้วยเหตุผลอะไร
“ช่างบังเอิญจริงๆ เพิ่งจะแยกกันช่วงบ่ายนี่เอง พวกเราก็เจอกันอีกแล้ว!” จ้าวอิงหัวพูดพลางยิ้มน้อยๆ
เหยียนหมิงซุ่นจับมือกับจ้าวอิงหัว ไม่ประจบเอาใจ ไม่ทำตัวสูงส่งแต่ก็ไม่ต่ำต้อย แล้วก็พูดยิ้มๆ ว่า “โลกมันก็เล็กแบบนี้แหละครับ ผมก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าคุณจะเป็นพี่ชายของอาจารย์จ้าว กำลังคิดอยู่ว่าจะมาถามอาจารย์จ้าวว่าเมื่อไรจะไปตรวจ!”
จ้าวอิงหนานฟังอย่างสับสนมึนงง เหยียนซินหย่าก็เลยอธิบายเรื่องการบังเอิญพบกันบนรถไฟให้เธอฟัง เธอกลับรู้สึกตรงกันข้ามกับสามี เธอชอบเหยียนหมิงซุ่นมากๆ เรียกเขาให้นั่งลงมาพูดคุยกัน
เหยียนหมิงซุ่นพูดอย่างเกรงใจอยู่หลายประโยค นัดแนะเวลาที่จะไปตรวจกับจ้าวอิงหัว เดิมทีจ้าวอิงหัวอยากจะไปพรุ่งนี้ เหยียนซินหย่ากลับไม่ยอม “พรุ่งนี้ฉันอยากจะไปดูการแสดงของลูกบุญธรรมกับจ้าวอิงหนานด้วยกัน วันมะรืนก็แล้วกัน ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงต้องได้รับการรักษาอย่างฉุกเฉินอะไร ช้าไปวันสองวันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
จ้าวอิงหนานพูดยิ้มๆ ว่า “พี่เล็กพี่ก็ไปดูด้วยกันสิ เหมยเหมยของฉันเต้นรำได้สวยมากจริงๆ ถ้าพี่ไม่ไปดูจะเสียใจภายหลังแน่นอน”
จ้าวอิงหัวลังเลตัดสินใจไม่ได้ เขาไม่ค่อยไว้วางใจกับสุขภาพร่างกายของภรรยา จึงจำเป็นต้องไปด้วย แต่โรงละครวันนั้นเจ้าหน้าที่พนักงานของหน่วยงานรัฐบาลคงไปกันไม่น้อยแน่นอน ถ้าพบเจอกันคงต้องทักทาย เขาไม่อยากจะถ่อมตัวและทำตัวเสแสร้งก่อนเข้าดำรงตำแหน่งกับคนพวกนั้นเลยจริงๆ
เหยียนหมิงซุ่นได้ยินคำว่าเหมยเหมย ก็มองเหยียนซินหย่าอย่างอดไม่ได้อีกครั้ง สีหน้าดูดีกว่าตอนกลางวันเยอะมาก เวลาที่ใบหน้ามีแต่รอยยิ้มนั้น ยิ่งเหมือนกับอู่เหมยมากเข้าไปอีก
ขออภัยต่อความบุ่มบ่ามของผม แต่ว่าคุณน้าครับชื่อของคุณใช่เหยียนซินหย่าหรือไม่ครับ?” เหยียนหมิงซุ่นถามอย่างอดไม่ได้
เหยียนซินหย่ามองเหยียนหมิงซุ่นอย่างตกใจ แล้วก็มองไปทางจ้าวอิงหนาน เธอยังคิดว่าเป็นน้องสาวสามีเป็นคนบอกชื่อของเธอให้กับเหยียนหมิงซุ่น ตัวจ้าวอิงหนานเองยังแปลกใจ รีบโบกไม้โบกมือแสดงออกว่าเธอไม่ได้พูดอะไรเลย
“ไม่มีใครบอกผม เป็นผมที่เดาได้เอง พวกคุณรู้สึกแปลกใจใช่หรือไม่ว่าทำไมผมถึงได้รู้ชื่อของคุณน้า?” เหยียนหมิงซุ่นถามกลับ
เขายังพูดต่อไปอีกว่า “อันที่จริงแล้วมีสาวน้อยคนหนึ่งบอกผมครับ เธอบอกว่ามีคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนเธอมากๆ แถมยังมีไฝสีแดงชาดเหมือนกัน เธอบอกว่าผู้หญิงคนนี้มีขื่อว่าเหยียนซินหย่า”
เหยียนซินหย่าเริ่มใจเต้น เธอนึกถึงความฝันเมื่อหนึ่งเดือนก่อนทันที ในฝันมีสาวน้อยคนหนึ่งหันมาเรียกเธอว่าแม่ ยังบอกอีกว่า’ช่วยด้วย’ คนนั้นเป็นเหมยเหมยของเธอ!
“สาวน้อยคนนั้นชื่อว่าอะไร? เธอเหมือนฉันมากเลยอย่างนั้นเหรอ? เธออยู่ที่ไหน?” เหยียนซินหย่าถามขึ้นอย่างร้อนรน เป็นความรีบร้อนอย่างหนึ่งที่ตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
เหยียนหมิงซุ่นพูดช้าๆ “เด็กสาวคนนี้อาจารย์จ้าวก็รู้จัก เธอชื่ออู่เหมย เป็นลูกบุญธรรมของอาจารย์จ้าว พรุ่งนี้พวกคุณก็จะไปดูการแสดงของเธอพอดี”
จ้าวอิงหนานตกใจตะลึงงันอ้าปากค้าง หันไปมองสยงมู่มู่อย่างไม่ตั้งใจ “เป็นลูกใช่หรือเปล่าที่บอกชื่อของคุณป้าเล็กให้กับเหมยเหมย?”
สยงมู่มู่เรียกได้ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างมาก “ผมยังเพิ่งเคยได้ยินชื่อของคุณป้าเล็กเป็นครั้งแรก ยัยเด็กซื่อบื่อนี่ทำไมถึงได้รู้ล่ะ? ผีหลอก!”
…………………………………………..