ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 503 เธอคือเหมยเหมยของเรา + ตอนที่ 504 เหยียนซินหย่า เธอมาทำอะไร
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 503 เธอคือเหมยเหมยของเรา + ตอนที่ 504 เหยียนซินหย่า เธอมาทำอะไร
ตอนที่ 503 เธอคือเหมยเหมยของเรา
อู่เหมยได้ยินเสียงราวกับมีคนเรียกชื่อเธออยู่ เสียงนั้นเปรียบเสมือนเสียงของหญิงสาวในความฝัน แม้เสียงนั้นจะเบามาก แต่เธอกลับได้ยินมัน
เหมือนกับเสียงเสียงนั้นดังมาจากด้านล่างเวที อู่เหมยอยากจะลงเวทีเพื่อไปดู แต่เธอก็อดทนไว้ได้ ด้านล่างมีผู้ชมอยู่มากมาย รวมถึงนักข่าวจากหลายๆ สำนัก เธอจะต้องแสดงออกมาให้ดีที่สุด จะทำขายหน้าไม่ได้
บทเพลงบรรเลงอันไพเราะได้ดังขึ้น อู่เหมยจึงเริ่มวาดลวดลายการเต้นไปตามจังหวะและทำนอง โดยตัวเธอได้ถลำลึกเข้าไปยังท่วงท่าของการเต้นรำ โดยได้ลืมผู้ชมที่อยู่ล่างเวทีไปสนิท ลืมเรื่องราวต่างๆ ทุกอย่าง แม้กระทั่งท่าเต้นเธอก็ลืมไปเสียหมด แต่ทุกท่วงท่าลีลาการเต้นนั้นเป็นไปอย่างธรรมชาติ ราวกับการพรรณนาของนวนิยายกำลังภายใน ที่พรรณนาถึงคุณูปการความเก่งกาจอันสูงสุด ที่ไม่จำเป็นต้องจดจำท่วงท่าใดๆ แต่ก็สามารถต่อสู้หรือแสดงออกได้ตามแรงกำลังของอีกฝ่าย
ท่วงท่าลีลาการเต้นของอู่เหมยมีความคลึงกับเรื่อราวนั้น มีบางท่วงท่าที่เธอไม่เคยได้ฝึกซ้อมมาก่อน แต่เป็นเพราะเธอฟังจากทำนองเพลงที่บรรเลงและได้วาดลวดลายเองอย่างเป็นธรรมชาติ ในความเป็นจริงนั้น ท่วงท่าลีลาที่ตัวเธอคิดออกมายังมีขอบเขตความน่าสนใจเสียยิ่งกว่าตอนฝึกซ้อมมาก
ผู้ชมที่อยู่ล่างเวทีไม่ได้มองการแสดงของเด็กสามคนอย่างพวกเขาว่ามีอะไรดี การแสดงของพวกเด็กๆ จะมีอะไรที่พิเศษไปได้!
เด็กสามคนนี้ต้องมีความสัมพันธ์กับคนภายในเป็นแน่ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาก็มักจะเป็นเช่นนี้ การแสดงที่เป็นของโรงเรียน ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว แค่ให้เด็กพวกนี้ได้ออกทีวี ก็เป็นเกียรติมากพอแล้ว!
ส่วนการแสดงของพวกเด็กๆ เพียงแค่ไม่ใช่เรื่องราวตบตาคนหรือฝืนต่อเรื่องในอดีตก็เพียงพอแล้ว เพราะไม่มีใครที่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเด็กๆ
เพียงแต่พวกเขากลับคาดไม่ถึง
การแสดงของพวกอู่เหมยเป็นสิ่งตบตาคนเสียยิ่งกว่า!
เพราะพวกเขาแสดงได้งดงามยอดเยี่ยมมาก เมื่อเทียบกับการแสดงของนักแสดงมืออาชีพก่อนหน้านี้ ราวกับความมีสีสันสดใสของดอกไม้ที่อยู่ในกลุ่มดอกไม้นานาพันธุ์ ทำให้ใครๆ ต่างมองเห็นได้ดั่งดอกบัวแรกบานที่เริ่มโผล่พ้นน้ำ ความรู้สึกชัดเจนนี้เป็นวิสัยทัศน์ที่ตรงกันข้าม ที่ทำให้ผู้ชมต่างพากันหลงลืมความเป็นตัวเอง ราวกับเกิดความเมามายและหลงไหล
เมื่อเหยียนซินหย่ายิ่งได้เห็น นัยน์ตาก็ยิ่งเริ่มแดงก่ำและมีน้ำตาเอ่อคลอ อู่เหมยที่กำลังเต้นอยู่บนเวที หมุนตัวไปมา หมุนไปจนกลายเป็นดั่งท่าทางของแม่เธอ แม่เธอคือนักเต้นแห่งคณะระบำเพลงขององค์กร และเป็นนักเต้นที่มีความสามารถในการแสดงเป็นอย่างมาก
ตอนเด็กๆ เธอมักจะไปที่โรงเรียนการแสดงกับพ่อ เพื่อดูการแสดงของแม่ แม่ของเธอเมื่ออยู่บนเวทีก็มีท่วงท่าเช่นนี้ มันงดงามราวกับตลอดเวลาเธอสามารถลอยขึ้นสู่บนฝากฟ้าได้ และไม่กลับลงมายังโลกมนุษย์อีก
“อิงหัว เธอต้องเป็นเหมยเหมยของพวกเราแน่ ต้องใช่แน่ๆ”
เหยียนซินหย่าตื่นเต้นจนต้องพูดกับตัวเองอยู่เสมอ จ้าวอิงหัวได้แต่จับมือเธอเอาไว้แน่น เขาเองก็รู้สึกตื่นเต้น ความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีต่อลูกนั้น ยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แต่ตัวเขาสามารถรับรู้มันได้
อู่เหมยหมุนตัวอย่างไม่หยุด แม้แต่ตัวของเธอเองยังไม่มั่นใจว่าหมุนไปแล้วกี่รอบ แค่ไม่รู้สึกเวียนหัว เธอก็สามารถหมุนต่อไปได้ ยิ่งหมุนก็ยิ่งเร็วขึ้น เร็วเสียยิ่งกว่าทำให้ผู้ชมมองเห็นเพียงแค่ภาพเงาในลักษณะสีเขียวๆ แต่มองไม่เห็นคน
เสียงปรบมือดังขึ้นราวกับเสียงน้ำไหล ผู้ชมทุกคนต่างปรบมือกันด้วยความตื่นเต้น และปรบมือให้กับการแสดงอันงดงามของเด็กทั้งสาม!
ม่านกั้นฉากค่อยๆ ปิดลง นั่นคือการแสดงของพวกอู่เหมยได้จบลงแล้ว!
เหยียนซินหย่าลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น และลากจ้าวอิงหัวไปยังหลังเวที เพราเธอรอต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอร้อนรนจนทนรอไม่ไหวที่จะเจอกับอู่เหมย เธออยากจะมองเด็กคนนี้ในระยะใกล้
จ้าวอิงหัวและเธอได้ก้มหลังแล้วเดินอ้อมไปยังหลังเวที เหยียนหมิงซุ่นที่ยืนรอพวกเขาอยู่ตรงประตูทางเข้า “เจอตัวเหมยเหมยแล้ว คุณน้ารู้สึกอย่างไรบ้างครับ?”
เหยียนซินหย่ารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก จนแทบพูดอะไรไม่ออก จ้าวอิงหัวดึงรั้งภรรยาของเขาเอาไว้ เขามองเหยียนหมิงซุ่นด้วยสายตาแวววาว และถามขึ้นเสียงหนัก “นายสงสัยตั้งแต่แรกแล้วเหรอ?”
“ใช่ครับ ก่อนที่จะได้เจอกับพวกคุณ ผมก็เริ่มสงสัยขึ้นมา และตอนนี้ผมก็มั่นใจแล้วด้วย” เหยียนหมิงซุ่นดูไม่ได้แสดงพิรุธใดๆ ออกมา และไม่แม้จะหลบสายตาของจ้าวอิงหัว
ในสายตาของจ้าวอิงหัวปรากฏให้เห็นถึงความชื่นชม เมื่อเทียบกับเขาในตอนนั้น เด็กคนนี้แข็งแกร่งกว่ามาก!
“เหยียนซินหย่า ทำไมถึงเป็นเธอ เธอมาทำอะไรที่นี่?” น้ำเสียงตกใจดังเข้ามาจากด้านนอก
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 504 เหยียนซินหย่า เธอมาทำอะไร
หญิงสาวที่ตะโกนเรียกเสียงดังคือเหอปี้อวิ๋น หลังจากที่คนในตระกูลอู่ดูการแสดงจบ จึงเดินมาหาอู่เหมยที่ด้านหลังเวที เหอปี้อวิ๋นเองก็เดินตามมาด้วย แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะเจอกับศัตรูหัวใจและคนรักเก่า
เหตุการณ์น่าตกใจที่เกิดขึ้นทำให้เหอปี้อวิ๋นไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ได้ เธอเดินถลันเข้าไปตรงหน้าของเหยียนซินหย่า และตะโกนชี้หน้าใส่เธออย่างไม่อยากจะเชื่อได้
แม่ของเธอบอกว่าเหยียนซินหย่ามีชีวิตไม่ค่อยดีนักไม่ใช่หรือ?
แต่ทำไมเธอถึงดูไม่ออกแม้แต่น้อย?
บนตัวของเหยียนซินหย่าสวมใส่เสื้อคลุมที่ทำจากขนแกะซึ่งเป็นรุ่นใหม่สุดของปีนี้ ที่คอได้สวมใส่สร้อยคอจี้หัวใจที่เป็นที่นิยมมากในช่วงสองปีนี้ และดูสีหน้าของเธอ แม้จะดูไม่ค่อยดีนักแต่ก็เห็นได้ชัดว่าได้รับการดูแลและบำรุงผิวพรรณมาเป็นอย่างดี ดูๆ แล้วราวกับเธอมีอายุเพียงแค่ยี่สิบต้นๆ
ยายเหยียนซินหย่ามีชีวิตความเป็นอยู่ไม่ดีตรงไหนหรือ?
ไหนจะข้างกายเธอที่มีช่างกวนอิงหัวอีก ไม่ธรรมดาเลยเมื่อเทียบกับสิบกว่าปีก่อน ทุกอย่างดูแล้วไม่เหมือนกับอู่เจิ้งซือที่เป็นเพียงแค่ครูยากจนคนหนึ่งเลยสักนิด
เหอปี้อวิ๋นรู้สึกเสียดาย โกรธแค้น และยังอับอาย เสียดายที่ก่อนหน้านั้นเธอไม่สามารถจับช่างกวนอิงหัวไว้แน่นพอ โกรธแค้นที่ทำไมเหยียนซินหย่าถึงยังมีชีวิตที่ดีได้ และอับอายที่วันนี้ตัวเธอไม่ได้แต่งตัวให้ดูดีหน่อย ทำตัวให้ขายหน้าต่อหน้าชายที่ตนชอบเสียได้!
“ช่างกวนคะ คุณจะมาที่เมืองจินทำไมไม่บอกฉันสักคำล่ะ? ดูสิว่าฉันไม่รู้เลยว่าคุณจะมา” เหอปี้อวิ๋นที่มองเห็นจ้าวอิงหัว ก็รีบเก็บอาการในทันที แต่กลับแสดงท่าทีออดอ้อนราวกับเด็กสาว จ้าวอิงหัวจึงถูฝ่ามือเข้าหากันไม่หยุด
ในตอนนี้เธอเข้าใจทุกอย่างแล้ว ว่าเหตุใดเหอปี้อวิ๋นถึงได้เกลียดพี่สะใภ้คนเล็กของเธอนัก!
แท้จริงแล้วเหอปี้อวิ๋นชอบพอต่อพี่ชายคนเล็กเธอนี่เอง!
เหยียนซินหย่าแย่งชายอันเป็นที่รักของเธอไป หากเธอไม่แค้นคงจะเป็นเรื่องแปลกนัก!
จ้าวอิงหนานมองเหอปี้อวิ๋นด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม กริยาท่าทางของเหอปี้อวิ๋นต่อหน้าพี่ชายเธอ ไม่ได้มองว่าพี่สะใภ้เล็กของเธออยู่ในสายตาเลย หึ! หน้าไม่อายจริงๆ!
“เหอปี้อวิ๋นสมองเธอคงไม่ได้มีปัญหาหรอกใช่ไหม พี่ชายฉันมาที่เมืองจินทำไมจะต้องบอกกับเธอด้วย? เธอเป็นอะไรกับพี่ชายฉันเหรอ?” จ้าวอิงหนานด่าออกไปอย่างไม่เกรงใจ
รอยยิ้มของเหอปี้อวิ๋นค่อยๆ จางหายไป เธอหันมามองจ้าวอิงหนานอย่างตกใจ และหันกลับไปมองจ้าวอิงหัว ในเวลานี้เธอถึงได้สังเกตเห็นว่าพวกเขามีรูปร่างหน้าที่คล้ายคลึงกัน อีกทั้งเมื่อครู่จ้าวอิงหนานเองได้เรียกจ้าวอิงหัวว่าพี่ชายคนเล็ก?
“พี่ชายคนเล็ก? ช่างกวนทำไมคุณถึงเป็นพี่ชายของอาจารย์จ้าวไปได้ล่ะ? ตัวเขาแซ่ช่างกวน แต่เธอแซ่จ้าว ทำไมพวกคุณถึงเป็นครอบครัวเดียวกันได้?” เหอปี้อวิ๋นถามขึ้นอย่างร้อนรน
จ้าวอิงหนานหัวเราะเยาะ “น่าแปลกดีนะ ฉันแซ่จ้าว แล้วทำไมพี่ชายฉันจะมีแซ่ช่างกวนไม่ได้? ชื่อก็เป็นเพียงแค่รหัสประจำตัวเท่านั้น พี่ชายของฉันอยากจะใช้ชื่ออะไรก็ชื่อนั้น เธอเกี่ยวอะไรด้วย?”
ความจริงคือในช่วงนั้นเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ศัตรูจำนวนไม่น้อยที่จ้องจับตาดูตระกูลเขา ทุกคนต่างต้องการกำจัดพวกเขาออกไปให้หมดแผ่นดิน เพราะเหตุนี้พี่น้องไม่กี่คนอย่างพวกเขาจึงตกลงกันว่าเปลี่ยนแซ่ทางฝั่งแม่เป็นแซ่ช่างกวนชั่วคราว ทำให้ลดความวุ่นวายในเวลานั้นลงไปได้ไม่น้อย
จนกระทั่งที่พ่อของเขาได้ตำแหน่งคืน พวกเขาถึงได้เปลี่ยนแซ่กลับมาเป็นแซ่จ้าวเหมือนดั่งเดิม
ในเวลานี้ได้มีคนเดินเข้ามาหา เป็นบุคคลที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้วีไอพี ซึ่งเขาคือเลขานุการประจำเมือง เมื่อครู่ที่จ้าวอิงหัวยันตัวลุกขึ้น ตัวเขาเองที่เป็นหัวหน้าฝ่ายเลขานุการอันเลื่องลือด้วยไหวพริบและแววตาอันว่องไว แค่มองแวบเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นเขาผู้นั้น เขาจึงได้บอกกล่าวต่อฝ่ายเลขาธิการ เพื่อจะเข้ามาทักทาย
“คุณจ้าวมาร่วมงานทำไมถึงไม่บอกกันเลยล่ะครับ ผมช่างเสียมารยาทจริงๆ!” ใบหน้าของหัวหน้าเลขานุการเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันมีมิตรไมตรี
เขาเป็นถึงข้าราชการผู้มีความเฉลียวฉลาดและได้ผ่านการทดสอบมาแล้ว ช่วงที่จ้าวอิงหัวยังไม่ได้รับราชการ เขาได้สืบหาข้อมูลเบื้องหลังเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวทุกอย่างไว้หมดแล้ว ไม่มีผลคาดเคลื่อนใดๆ แน่ ชายผู้นี้ได้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการประจำเมือง วันข้างหน้าก็เปรียบเหมือนหัวหน้าใหญ่ของเขา ชีวิตและครอบครัวของเขาคงต้องฝากเอาไว้กับรองผู้อำนวยการประจำเมืองอย่างคุณจ้าวแล้วล่ะ
เขาจะไม่ให้การต้อนรับอย่างดีได้หรือ?
…………………………………………………………………………………………..