ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 509 สิ่งใหม่ๆ ได้สำแดงอานุภาพ + ตอนที่ 510 พูดทุกอย่างออกมาให้ชัดเจน
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 509 สิ่งใหม่ๆ ได้สำแดงอานุภาพ + ตอนที่ 510 พูดทุกอย่างออกมาให้ชัดเจน
ตอนที่ 509 สิ่งใหม่ๆ ได้สำแดงอานุภาพ
เหยียนหมิงซุ่นส่งยิ้มให้กับอู่เหมย ในวินาทีนั้นจึงทำให้อู่เหมยวางใจและยิ้มตอบกลับมา จ้าวเสวียหลินเข้าใจว่าเธอส่งยิ้มให้เขา มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย เตรียมจะเผยรอยยิ้มที่ดูน่ามอง เขาตั้งใจจะไม่ทำให้น้องสาวตกใจ น้องสาวของเขามีลักษณะที่ใกล้เคียงกับแม่มากๆ ซึ่งดูแล้วน่าจะขวัญอ่อนพอตัว
เพียงแต่…
พอส่งรอยยิ้มไปให้ จ้าวเสวียหลินถึงได้รู้ตัวว่า รอยยิ้มแสนหวานของอู่เหมยที่ส่งมาให้เขาเลยสักนิด แต่กลับเป็นบุคคลที่มักทำตัวไม่น่าไว้วางใจอย่างเหยียนหมิงซุ่น!
เหตุผลเป็นเช่นนี้นี่เอง!
น้องสาวเขาเพิ่งจะมีอายุได้เท่าไหร่เอง ตอนนี้กลับเริ่มคบค้ากับเหยียนหมิงซุ่น?
ที่แท้ก็ไม่ใช่สิ่งดีเอาเสียเลย!
จ้าวเสวียหลินจ้องเหยียนหมิงซุ่นด้วยสายตาดุดัน ความเย็นชาที่เปล่งออกมาจากตัว เย็นจนทำให้อู่เหมยแทบไม่กล้าจะหายใจ และแล้วจ้าวเสวียหลินก็ทำอะไรได้เงอะงะเกินไป เอาเสื้อสวมใส่ให้อู่เหมยตั้งนานสองนานก็ไม่เสร็จ ถือคามืออยู่แบบนั้นจนทำให้เธอรู้สึกปวดที่ลำคอ
“ให้หนูใส่เองเถอะค่ะ!”
อู่เหมยรู้สึกปวดจนต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด จำต้องรีบหยิบเอาเสื้อคลุมมาสวมใส่ด้วยตัวเอง นั่นถึงได้ทำให้ร่างกายเธออบอุ่นขึ้นมา ในหัวเริ่มได้สติขึ้นมา เธอมองเหยียนซินหย่าด้วยความงุนงง และค่อยๆ นึกถึงคำพูดที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้
หญิงสาวผู้นี้เธอบอกว่าเธอเป็นแม่ และยังบอกอีกว่าอู่เหมยเป็นลูกของเธอ!
แม้ว่าในเวลานี้อู่เหมยจะแอบหวังมากว่าตัวเธอไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเหอปี้อวิ๋นก็ตาม แต่ทุกครั้งเหอปี้อวิ๋นมักจะใช้คำพูดคำจาที่เด็ดขาด เธอจึงรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้น้อยมาก แต่ในตอนนี้หญิงสาวในความฝันกลับวิ่งออกมากะทันหัน จึงทำให้อู่เหมยเริ่มไม่เข้าใจ!
เธอหันไปมองจ้าวอิงหนานและถาม “แม่คะ บอกหนูได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
จ้าวอิงหนานจึงขยิบตาและส่งยิ้มให้ “เหมยเหมย เธอคือหลานสาวของฉัน เป็นลูกสาวของพี่ชายฉัน เธอควรจะเรียกฉันว่าอา”
อู่เหมยกะพริบตาปริบ ทำไมแม่ถึงได้กลายเป็นอาไปเสียได้ล่ะ?
เหยียนหมิงซุ่นเดินเข้ามาหาและพูดกับเธอ “ที่นี่มีคนมากเกินไป เราไปหาที่อื่นนั่งคุยกันดีๆ เถอะครับ”
“นั่นสิ แถวนี้มีภัตตาคารจุ้ยเซียนอยู่ พวกเราไปนั่งคุยกันที่นั่นกัน” จ้าวอิงหนานออกความเห็น
เหยียนซินหย่าไม่มีความเห็นที่แตกต่าง นับตั้งแต่ที่เธอได้เจอหน้าอู่เหมย เธอไม่อาจละสายตาไปจากอู่เหมยได้อีกเลย มองเท่าไรก็มองไม่พอ!
เว่ยชิวเยวี่ยที่ได้เห็นเหตุการณ์ก็รู้สึกไม่เห็นด้วย เธอจะยอมปล่อยให้พาตัวหลานสาวออกไปทั้งที่เรื่องยังไม่ชัดเจนได้อย่างไร เธอจึงเดินเข้าไปหาพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ทำให้ฉันสับสนมากเหมือนกัน อาจารย์จ้าว เรื่องนี้เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องถึงจะถูก ไม่อย่างนั้นไปที่บ้านคุณปู่ของเหมยเหมยดีไหม ถึงยังไงภัตตาคารจุ้ยเซียนก็ถือว่าเป็นนอกบ้าน มีเรื่องอะไรก็ไม่สะดวกที่จะพูดได้ อีกอย่างน้องรองและสะใภ้รองก็อยู่ที่บ้านด้วย!”
เหยียนซินหย่าตอบตกลงโดยไม่แม้แต่จะคิด เพราะเธอกำลังต้องการจะคิดบัญชีกับหญิงร้ายชายเลวทั้งคู่อยู่พอดี!
แน่นอนว่าจ้าวยอิงหนานไม่มีทางจะค้านได้ เธอจึงยิ้มและตอบเว่ยชิวเยวี่ยกลับ “แบบนี้ก็ดีเหมือนกันค่ะ พวกเราก็มีเรื่องจะพูดกับพวกอู่เจิ้งซือด้วย แต่รอสักครู่นะคะ อีกเดี๋ยวพี่ชายคนเล็กก็เข้ามาแล้ว”
จ้าวอิงหัวที่ไปทักทายปราศรัยเสร็จก็ได้วิ่งหน้าตั้งเข้ามา เหยียนซินหย่าที่ได้เห็นเขากลับยิ่งรู้สึกตื่นเต้นขึ้น ไม่มีคำพูดใดๆ เปล่งออกมา มีเพียงหยดน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม จ้าวอิงหัวที่ได้เห็นหน้าอู่เหมย ก็มีความรู้สึกไม่ต่างไปจากเหยียนซินหย่านัก เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าอู่เหมยคือลูกของเขา
“เหมยเหมย ชื่อของเธอฉันเป็นคนตั้งให้เอง”
จ้าวอิงหัวสามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองไว้ได้ เขาใช้มือลูบสัมผัสเบาๆ ที่หัวของอู่เหมย หางตาเริ่มเอ่อล้นด้วยน้ำตา!
อู่เหมยเหลือบมองแวบหนึ่งอย่างสงสัย เพราะเขามีลักษณะที่คล้ายคลึงกับชายหนุ่มเมื่อครู่ที่ช่วยสวมใส่เสื้อคลุมให้เธอ เขาคงจะเป็นสามีของเหยียนซินหย่าใช่ไหม?
คงจะเป็นพ่อของเธอสินะ?
ใจของอู่เหมยเริ่มพองโตอีกครั้ง เธอรู้สึกดีใจ เธอชอบสามีภรรยาคู่นี้มาก หากว่าพวกเขาทั้งคู่เป็นพ่อแม่ของเธอจริงๆละก็ จะต้องดีกว่าอู่เจิ้งซือและเหอปี้อวิ๋นเป็นร้อยเท่าพันเท่า
คุณปู่อู่มีสีหน้านิ่งขรึม เขาเองก็ไม่ได้โง่ ดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นมาจนถึงตอนนี้ ทำไมถึงจะเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ออก รูปร่างหน้าตาของเหยียนซินหย่าและอู่เหมยที่มีความคล้ายคลึงกันขนาดนี้ ทำให้เขาไม่นึกเอะใจสงสัยเลย
แต่เขาไม่อยากยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง หากว่าเป็นอู่เหมยในช่วงก่อนหน้านี้ เขาพร้อมจะใช้สองมือประเคนยกให้ไป!
แต่อู่เหมยในตอนนี้เป็นดั่งบัวพ้นน้ำที่กลีบดอกค่อยๆ เบ่งบาน ปรากฏให้เห็นถึงความสามารถอันเล่อค่า มีหรือที่เขาจะไม่นึกเสียดาย?
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 510 พูดทุกอย่างออกมาให้ชัดเจน
อู่เจี๋ยพี่ชายคนโตของอู่เชา ได้รับคำสั่งจากเว่ยชิวเยวี่ยเป็นนัยๆ เขาจึงรีบไปยังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยจินเพื่อตามหาอู่เจิ้งซือ พี่น้องทั้งสองอย่างอู่เจิ้งซือคอยอยู่ดูแลคุณย่าอู่ ที่หกล้มจนทำให้บาดเจ็บถึงกระดูกเชิงกราน อาการตรงช่วงเอวก็ไม่ค่อยจะดีนัก ต้องรอรับการตรวจอีกขั้นตอนให้แน่ใจ หากรักษาไม่ดีคงต้องได้นอนอยู่บนเตียงหนึ่งเดือนเต็ม
“โอ๊ย! เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”
คุณย่าอู่นอนร้องโอดครวญอยู่บนเตียง ในตอนนี้ท่าทีสง่าน่าเกรงขามได้สูญหายไปเสียหมด เหลือแต่เพียงความอ่อนแอ อู่เจิ้งซือสองพี่น้องต่างมีความกตัญญูรู้คุณ ยิ่งเห็นสภาพในตอนนี้ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดใจ คอยใช้คำพูดคำจาที่ดีปลอบประโลมแม่ตัวเอง แต่สติของเขากลับไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ไม่รู้ว่าตอนนี้เหมยเหมยและเสี่ยวเชาจะเริ่มแสดงหรือยัง? พี่ใหญ่ วันนี้หนังตาของผมกระตุกไม่หยุดเลย จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?” อู่เจิ้งซือพยายามขยี้ตาตัวเองอีกครั้ง ตั้งแต่เช้ามาก็กระตุกไม่หยุดเลย
ไม่เพียงแค่หนังตาที่กระตุก ใจของเขาเองก็ไม่อาจสงบนิ่ง เอาแต่กังวลตลอดว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น!
อู่เจิ้งต้าวกลับไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ เขาเชื่อมั่นในทฤษฎีวัตถุนิยม เขาจึงมองน้องชายแบบไม่พอใจแค่แวบเดียว พร้อมกับพูดตำหนิ “นายเป็นถึงครูของประชาชน กล้าพูดอะไรแบบนี้ได้ยังไง? หากว่าพวกนักเรียนของนายได้ยินเข้าจะคิดยังไง ต่อไปอย่าพูดอะไรแบบนี้อีกนะ!”
“ครับ ผมจะจำไว้” อู่เจิ้งซือก้มหน้าลงอย่างละอายใจ พี่ชายพูดถูก เขาไม่ควรจะพูดอะไรแบบนี้ ไม่สมกับฐานะตัวเองจริงๆ!
อู่เจิ้งต้าวหัวเราะชอบใจ และพูดขึ้นอีกว่า “เหมยเหมยและเสี่ยวเชาไม่มีปัญหาแน่นอน รอให้ถึงตอนเย็นที่พวกเขากลับมาก็รู้เอง ตอนนี้นายคิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ นายดูแม่ก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปคุยกับหมอก่อน”
“อารอง แม่ผมบอกให้อารีบกลับบ้านด่วนเลยครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” อู่เจี๋ยวิ่งเข้ามาด้วยอาการหอบแฮ่กๆ
ทางฝั่งโรงละคร จ้าวอิงหัวก็ไม่ได้มีความเห็นใดๆ ต่อการที่จะไปพูดคุยกันที่บ้านของตระกูลอู่ เขามองหน้าคุณปู่อู่ และพูดเสียงขรึม “เรื่องนี้หากจะพูดให้มันชัดเจนก็ค่อยว่ากัน คนอย่างจ้าวอิงหัวรู้ดีว่าบุญคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ เรื่องเกี่ยวกับอู่เหมย ผมเองก็อยากจะฟังคำอธิบายจากปากของอู่เจิ้งซือเหมือนกัน”
ใจของคุณปู่อู่เริ่มจมดิ่งลงไปในทันที คำพูดของจ้าวอิงหัวฟังดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร!
หรือว่าพวกเขาจะไม่ได้ฝากอู่เหมยไว้ให้ลูกชายคนเล็กเลี้ยง?
เว่ยชิวเยวี่ยยิ้มออกในทันทีและพูด “ตอนนี้เรื่องราวทุกอย่างยังไม่กระจ่าง พวกเราเองก็สับสนไม่ต่างกัน เหมยเหมยเป็นลูกหลานของตระกูลอู่มาตลอด ทำไมถึงได้กลายเป็นคนของตระกูลพวกคุณไปได้ในพริบตาล่ะคะ? แล้วแบบนี้จะให้พวกเรายอมรับได้อย่างไร?”
จ้าวอิงหัวหัวเราะอย่างเย็นชาและเกริ่น “คงต้องถามอู่เจิ้งซือแล้วล่ะ เพราะเขาเองรู้ดีที่สุด!”
คนในตระกูลอู่ช่างไม่มีใครเป็นคนดีเอาเสียเลย แต่ก่อนที่ลูกสาวเขาไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร ไม่เคยมีแม้แต่คนเดียวที่จะออกมาปกป้องเธอ แต่พอตอนนี้ลูกสาวเขาเริ่มเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา พวกเขากลับออกมาทำเสแสร้งแกล้งทำเพื่อสร้างภาพ!
ที่แท้ก็เป็นคนในตระกูลของชายชั่วอย่างอู่เจิ้งซือ ถือเป็นพวกที่มีคุณธรรมทั้งนั้น หึ! อย่าคิดเลยว่าเขาจะไว้หน้า!
เหยียนหมิงซุ่นแอบกระซิบข้างหูอู่เหมยประโยคหนึ่ง อู่เหมยจึงออกแรงพยักหน้า เธอควักเอากุญแจออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วส่งให้กับเหยียนหมิงซุ่น และเขาได้แอบออกไปในจังหวะที่ไม่มีใครสนใจ
ในตอนแรกฝ่ายจ้าวอิงหัวตั้งใจจะนั่งรถเมล์ไปยังบ้านตระกูลอู่ แต่หัวหน้าเลขานุการคนก่อนหน้านั้นได้เดินกลับมาอีกครั้ง และพูดว่า “ท่านเลขาธิการหูรู้ว่าคุณจ้าวมีเรื่องด่วน จึงเชิญให้คุณจ้าวไปขึ้นรถของท่าน ภริยาของคุณจะได้นั่งสบายขึ้นหน่อย”
“ขอบคุณมากครับ รบกวนฝากหัวหน้าโจวบอกกับท่านเลขาธิการหูด้วยว่า ถ้าหากผมจัดการปัญหาภายในครอบครัวเรียบร้อยแล้ว จะรีบไปพบเลขาธิการหูเพื่อทำการขอบคุณ”
จ้าวอิงหัวไม่ได้ปฏิเสธต่อน้ำใจ แต่กลับยกมือขึ้นต่อหน้าหัวหน้าเลขาโจวในระดับอก หัวหน้าโจวเองก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน จากนั้นเขาได้ส่งยิ้มให้แล้วเดินออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง รถเก๋งมีประทุนคันสีดำที่พร้อมด้วยธงสีแดงขับเข้ามาจอดเทียบ ครอบครัวจ้าวทุกคนพากันขึ้นรถไป จากตอนแรกที่อู่เหมยตั้งใจจะนั่งรถเมล์กลับ แต่มีหรือที่เหยียนซินหย่าจะยอมให้เธอห่างกาย จึงได้ฉุดลากตัวเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
“เหมยเหมย เรานั่งรถคันเล็กกัน นั่งรถเมล์เบียดเสียดเกินไป”
อู่เหมยมองไปยังจ้าวอิงหนานอย่างลำบากใจ จ้าวอิงหนานจึงบอกให้เธอไปขึ้นรถ จากนั้นเธอได้หันไปยิ้มให้กับคุณปู่อู่ที่เอาแต่ทำหน้านิ่งขรึม และพูดขึ้น “ศาสตราจารย์อู่ พวกเราขอตัวล่วงหน้าไปก่อน ไว้เจอกันที่บ้านของคุณนะคะ”
…………………………………………………………………………………………..