ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 511 ข้อสงสัยในปีนั้น + ตอนที่ 512 นายไม่มีอะไรจะพูดหน่อยหรือ
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 511 ข้อสงสัยในปีนั้น + ตอนที่ 512 นายไม่มีอะไรจะพูดหน่อยหรือ
ตอนที่ 511 ข้อสงสัยในปีนั้น
คุณปู่อู่มองรถเก๋งที่ค่อยๆ ขับออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขากัดฟันแน่นดังกรอดๆ มีชีวิตอยู่มาได้ครึ่งชีวิต แต่ไม่เคยถูกใครตบหน้าได้รุนแรงเท่าวันนี้
“พ่อคะ พวกเรากลับกันก่อนเถอะค่ะ คุณพ่อต้องพยายามตั้งสติ บ้านเรายังต้องการเสาหลักอย่างคุณพ่อนะคะ” ตี๋ชิวเยวี่ยเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ในใจเธอเองก็ไม่ได้รู้สึกดีไปมากกว่านั้น แค่มองก็รู้ว่าตระกูลจ้าวไม่ได้มาดี เธอกลัวเพียงแค่ว่าอู่เจิ้งซือจะไปทำเรื่องที่ผิดต่อครอบครัวของตระกูลจ้าว!
ในตอนนี้หวังว่าตระกูลจ้าวจะเอาเรื่องแค่อู่เจิ้งซือสองสามีภรรยา โดยไม่ลุกลามมาถึงเธอและอู่เจิ้งต้าว เธอไม่ได้หวังพึ่งพาหรือไต่เต้า แต่หวังเพียงแค่ไม่ได้รับความเดือดร้อนไปด้วย
จนถึงตอนนี้อู่เชาก็ยังไม่เข้าใจถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ระหว่างทางกลับบ้าน เขาจึงแอบกระซิบตี๋ชิวเยวี่ย “แม่ครับ เหมยเหมยไม่ใช่ลูกของอารองเหรอ? หรือเป็นเพราะเหตุผลนี้อาสะใภ้เลยทำไม่ดีกับอู่เหมย?”
ตี๋ชิวเยวี่ยในตอนนี้ไม่มีอารมณ์มาตอบคำถาม เธอทำหน้านิ่วคิ้วขมวด และพูดเสียงต่ำเพื่อเตือนออกไป “เป็นเด็กเป็นเล็กถามอะไรเยอะแยะ จำไว้ด้วยว่าถ้ากลับไปถึงบ้านอย่าพูดอะไรไร้สาระอีก ไม่อย่างนั้นแม่จะหักค่าขนมลูกหนึ่งเดือน”
อู่เชาแบะปากมองด้วยความโกรธ ผู้ใหญ่มักชอบเอาค่าขนมมาขู่เด็กเสมอ น่าเบื่อชะมัด!
เขานึกถึงหญิงสาวที่กอดอู่เหมยไว้ในอ้อมกอดเมื่อครู่ ช่างงดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ งดงามเสียยิ่งกว่าอู่เหมย หญิงผู้นั้นต่างหากที่เป็นดั่งสาวงามที่เดินออกมาจากภาพวาด!
ทางด้านจ้าวอิงหัวใช้เวลาไม่นานก็มาถึงเขตมหาวิทยาลัยจิน รถที่พาพวกเขามาส่งได้ขับออกไป พวกเขาจึงยืนรออยู่ที่หน้าประตูใหญ่ ฝ่ายชายต่างดูดีมีฐานะไม่ธรรมดา ฝ่ายหญิงก็งดงามจนชวนมอง และนั่นทำให้พวกเขากลายเป็นเป็นที่ดึงดูดต่อสายตาผู้คนที่สัญจรไปมา
“พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ เหมยเหมยนำทางสิ” จ้าวอิงหัวพูดด้วยรอยยิ้ม
ในใจของอู่เหมยยังคงรู้สึกประหม่า เธอไม่ได้ทำใจมาก่อนล่วงหน้า อีกทั้งความจริงเป็นอย่างไร ตัวเธอเองยังไม่รู้เลย เธอไม่กล้าที่จะยอมรับครอบครัวตัวจริง เพียงเพราะกลัวว่าจะเป็นแค่ความฝัน
ที่อยู่ของคุณปู่อู่นั้นห่างจากเขตมหาวิทยาลัยเป็นระยะเวลาราวเจ็ดแปดนาที ตลอดทางไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมา อู่เหมยจึงทำได้แต่ก้มหน้าแล้วมองทางเดิน แค่ได้เห็นด้านหลังของเธอก็ทำให้อดสงสารไม่ได้
เหยียนซินหย่าอยากพูดกับลูกสาวสักหน่อย แต่ก็ถูกจ้าวอิงหัวห้ามไว้เสียก่อน เขาเกลี้ยกล่อมเสียงเบา “พวกเราต้องให้เวลาเธอหน่อย อย่าทำให้เธอตกใจไปมากกว่านี้เลย”
“เรื่องเหตุผลฉันเองก็รู้ดี แต่ฉันเองก็อดไม่ได้นี่คะ เป็นเพราะฉัน อิงหัว ทั้งหมดเป็นความผิดของฉัน ทำไมในปีนั้นฉันถึงไม่ระวังอะไรเลย หากฉันระวังตัวสักหน่อย เหมยเหมยเธอคงไม่ต้องทนลำบากแบบนี้!”
เหยียนซินหย่าเอาแต่โทษตัวเอง ตอนนี้ลองนึกย้อนกลับไปในช่วงที่เธอคลอดลูก อู่เจิ้งซือถือว่าเป็นบุคคลต้องสงสัย เพราะเธอคลอดก่อนกำหนดและยังคลอดยากอีกด้วย ในตอนนั้นยังเป็นช่วงดึกดื่น และตัวเธอก็ไม่ได้คลอดที่โรงพยาบาล อู่เจิ้งซือได้เชิญหมอตำแยคนหนึ่งมา ไม่ง่ายเลยที่เธอจะคลอดลูกสาวออกมาได้ แต่แล้วเธอก็ต้องหมดสติไปเสียก่อน
แต่เธอยังคงจำได้ดี ก่อนที่เธอจะหมดสติไป เธอได้ยินเสียงราวกับเป็นเสียงร่ำไห้ของลูกแมว แต่เธอก็ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเสียงจริงๆ ที่ได้ยิน หรือเป็นแค่เสียงในจินตนาการ
หลังจากที่เธอฟื้นขึ้นมาก็กลายเป็นช่วงเวลาเช้าตรู่ของอีกวันแล้ว หมอตำแยก็ไม่อยู่แล้วด้วย อู่เจิ้งซือได้อุ้มเอาเด็กทารกหน้าตาซีดหมองเข้ามาหา แล้วบอกว่าเป็นลูกสาวของเธอ เขาบอกเพียงแค่ว่าเด็กคนนี้ตายไปตั้งแต่ที่คลอดออกมา
เธอได้เห็นหน้าเด็กที่ตายก็เกิดอาการตกใจจนช็อกหมดสติ ผ่านไปสามวันถึงได้ฟื้นขึ้นมา เด็กคนนั้นได้ถูกเผาไปแล้ว อู่เจิ้งซือยังบอกอีกว่าอากาศร้อนเกินไป ไม่สามารถเก็บเด็กไว้ได้นาน เขาจึงตัดสินใจทำการเผา และหลงเหลือไว้ให้เธอเพียงแค่เศษเถ้ากระดูก
เรื่องราวที่ถูกเศษฝุ่นกลบไว้ราวๆ สิบสองปี ในตอนนี้กลับเริ่มชัดเจนขึ้นมา ราวกับเหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิดขึ้น เหยียนซินหย่าพยายามขบคิดเพื่อไขข้อสงสัยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนั้น
เธอเห็นหน้าของเด็กที่ตายได้ไม่ชัดเลยสักนิด เธอโอบเด็กเข้ามาไว้ในอ้อมกอดได้ครูหนึ่งก็เป็นลมล้มพับไปอีกครั้งด้วยคำพูดของอู่เจิ้งซือ พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งเด็กก็กลายเป็นเถ้าไปแล้ว
พอมานึกดูในตอนนี้ อู่เจิ้งซือต้องจงใจไม่ให้เธอมองเห็นหน้าตาที่ชัดเจนของเด็กเป็นแน่!
หากว่าเธอเห็นหน้าเด็กได้ชัดๆ ไม่แน่ว่าเธอจะต้องสงสัยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นแน่ มีแม่คนไหนที่จำลูกตัวเองไม่ได้บ้างล่ะ?
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 512 นายไม่มีอะไรจะพูดหน่อยหรือ
ในระยะเวลาสั้นๆ เจ็ดแปดนาทีนั้น เหยียนซินหย่าคิดทบทวนเรื่องราวได้คร่าวๆ และเธอก็มั่นใจมากกว่าเดิมว่าในปีนั้นอู่เจิ้งซือได้ขโมยลูกสาวของเธอไป แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจว่า ทารกไร้ลมหายใจคนนั้นเป็นลูกของใคร?
แล้วลูกของเหอปี้อวิ๋นไปอยู่ไหน?
หรือว่า…
สีหน้าของเหยียนซินหย่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอมั่นใจว่าตัวเองเดาความจริงออก และนั่นทำให้เธอโกรธยิ่งขึ้น!
พวกเขาเดินมาถึงหน้าประตูบ้านของตระกูลอู่ ที่ประตูใหญ่ได้เปิดเอาไว้ อู่เหมยได้เดินนำพวกจ้าวอิงหัวไปยังลานสวนของบ้าน ประตูไม่ได้ล็อกแน่น แค่ออกแรงผลักเล็กน้อยก็เปิดออกแล้ว
“อู่เจิ้งซือ คุณมันใจดำอำมหิต ฉันนึกแล้วเชียวว่าทำไมคุณถึงไม่พอใจต่อการกระทำของฉันแม้แต่อย่างเดียว ที่แท้เป็นเพราะคนคุ้นเคยของคุณกลับมาแล้ว เหอะ! หญิงร้ายชายชั่ว ระวังกรรมจะตามสนอง!”
เสียงตะโกนด่าของเหอปี้อวิ๋นเล็ดลอดออกมา คำพูดหยาบคายที่ไม่สมควรฟังให้รกหูด้วยซ้ำ เหยียนซินหย่าไหวตัวทันจึงเอามือปิดหูของอู่เหมยไว้ จะให้ลูกสาวของเธอได้ยินคำพูดหยาบคายแบบนี้ไม่ได้
เสียงของอู่เจิ้งซือดังตามขึ้นมา ฟังดูแล้วตัวเขาก็โกรธอยู่ไม่น้อย “เหอปี้อวิ๋นเธออย่าพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้าเธอยังสร้างเรื่องไม่หยุด เราสองคนก็ไปทำเรื่องหย่ากันตอนนี้เลย!”
“อู่เจิ้งซือคุณวางหมากได้ดีนี่ อยากหย่ากับฉันเพื่อที่จะกลับไปหายายชั่วเหยียนซินหย่านั่นเหรอ? คุณฝันกลางวันอยู่เหรอ ยายชั่วนั่นใช้ชีวิตอยู่กับช่างกวนอย่างดี ช่างกวนแกร่งกว่าคุณร้อยเท่า มันจะเห็นหัวครูจนความรู้อย่างคุณได้ยังไง!”
เหอปี้อวิ๋นพูดจาเย้ยหยันเหน็บแนม เธอเอาแต่พูดจาประประชดชันต่ออู่เจิ้งซือ และตอนนี้ได้ฉีกขาดความสัมพันธ์เส้นสุดท้ายรวมทั้งการไว้หน้าซึ่งกันระหว่างสามีภรรยาไปหมดสิ้น!
อู่เจิ้งซือเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้เธอ จึงพูดเยาะเย้ยกลับ “ตัวเธอเองหรือเปล่าที่ลืมคนรักเก่าอย่างช่างกวนไม่ได้ แต่ถึงยังไงช่างกวนก็ไม่เคยสนใจเธอมาก่อน ซินหย่าดีกว่าเธอเป็นร้อยเท่าพันเท่า เธอเทียบกับซินหย่าไม่ได้แม่แต่เศษซากของเศษเล็บ!”
แม้ว่าหูของอู่เหมยจะถูกอุดไว้แน่น แต่เสียงการทะเลาะกันของคนทั้งคู่ไม่ได้เบาเลยสักนิด นั่นจึงทำให้เธอได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจน ทำให้เธอรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
พวกหมาบ้าที่เอาแต่เห่าถึงเรื่องแย่ๆ ในอดีตช่างน่าสมเพชนัก!
อีกทั้งทุกคนที่ถูกกล่าวถึงต่างก็อยู่ด้วยหมด!
นอกจากคนที่ชื่ออะไรนะ ช่างกวนนั่น!
อู่เหมยยังไม่รู้ว่าคนที่เหอปี้อวิ๋นยังคงอาลัยอาวรณ์ที่ชื่อช่างกวน คือจ้าวอิงหัว ซึ่งเขาเป็นคนเดียวกับที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอด้วยอารมณ์โกรธจัด และตอนนี้เขาก็โกรธจนกัดฟันกรอดๆ ไฟร้อนที่สุมหัวอยู่แทบจะปะทุออกมา
จ้าวอิงหนานดึงแขนพ่อสยงที่ยืนทำหน้าไม่สู้ดีนักให้ถอยห่างออกมา แน่นอนว่าเธอเองก็ไม่ลืมที่จะลากลูกชายให้ถอยตามมาด้วย อารมณ์โมโหของพี่ชายเธอไม่ได้ดีนัก เมื่อเขาได้ระเบิดอารมณ์ออกมา ตัวเธอเองที่เป็นน้องยังต้องยอมอ่อนให้ เธอถอยออกมาหลบก่อนจะดีกว่า เกรงว่าไฟร้อนนั่นจะเผาครอบครัวเธอทั้งสามคนจนมอดไหม้
“ปัง!”
ประตูบ้านของตระกูลอู่ได้ถูกจ้าวอิงหัวถีบออกจนเกิดการสั่นคลอน น่าสงสารต่อประตูบานนี้ที่มีอายุไขถึงยี่สิบกว่าปี และยังคงเป็นเสาหลักที่มีอายุ แต่ตอนนี้กลับถูกพังทลายด้วยฝ่าเท้าของจ้าวอิงหัว
ทุกคนต่างพากันตกใจ อู่เหมยนั้นตกใจจนแทบกระโดดได้ เธอมองจ้าวอิงหัวที่โกรธจนหน้าดำคร่ำเครียดด้วยความหวาดผวา เหยียนซินหย่าจึงรีบเข้าไปลูบหลังและพูดปลอบโยนเธอ จากนั้นจ้องสามีตัวเองด้วยความไม่พอใจ
จ้าวอิงหัวใช้มือลูบจมูกตัวเองอย่างขาดความมั่นใจ เขาลืมไปโดยสนิทว่าข้างกายมีลูกสาวอยู่ เขาไม่ควรทำแบบนี้!
เขาหันไปส่งยิ้มให้กับอู่เหมย เพียงครู่เดียวก็ได้หันกลับมาทำหน้าดำคร่ำเครียดและจ้องมองอู่เจิ้งซือทั้งสองสามีภรรยาแสนเลวทรามต่ำช้าทั้งคู่ ทำให้ภรรยาเขาต้องอับอายขายขี้หน้า ไหนจะรังแกลูกสาวของเขาอีก วันนี้ถึงเวลาที่เขาจะต้องสั่งสอนคนพวกนี้เสียที!
“ช่าง…ช่างกวน ซินหย่า พวกคุณมากันแล้วเหรอ?”
สีหน้าของอู่เจิ้งซือเปลี่ยนไปมาก พูดออกมาอย่างติดๆ ขัดๆ ในใจรู้สึกประหม่า
แม้เขาจะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่พอได้มาเจอกับคนรักในความฝันรวมทั้งศัตรูของหัวใจ อีกทั้งยังมีเหตุผลที่มากกว่านั้นอีกหนึ่งประเด็น ใจของเขาก็ไม่สามารถสงบลงได้
เมื่อจ้าวอิงหัวเห็นสีหน้าของเขาที่แสดงออกมาก็เข้าใจได้ทุกอย่าง ไอ้คนเลวทรามต่ำช้าแบบนี้ ต้องได้ทำเรื่องที่ผิดต่อเขาและซินหย่าเป็นแน่!
“อู่เจิ้งซือ คุณเห็นหน้าผมกับซินหย่าแล้วไม่มีอะไรจะพูดหน่อยเหรอ?” จ้าวอิงหัวถามออกไปอย่างเย็นชา
…………………………………………………………………………………………..