ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - ตอนที่ 620 คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนมีรองเท้าใส่ + บทที่ 621 การโต้ตอบของเหยียนหมิงซุ่น
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- ตอนที่ 620 คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนมีรองเท้าใส่ + บทที่ 621 การโต้ตอบของเหยียนหมิงซุ่น
ตอนที่ 620 คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนมีรองเท้าใส่
เหมยเหมยได้ยินจึงเงยหน้าขึ้น กลับเห็นสองแม่ลูกเหอปี้อวิ๋นกำลังเดินมาทางเธอ ดูท่าทางจะมาตรวจอาการที่หู
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เจอเหอปี้อวิ๋นหลังกลับจากเมืองหลวงอีกด้วย!
เหมยเหมยมองหญิงวัยกลางคนที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ด้วยสายตาเย็นชา ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่ชุดที่สวมใส่ไม่ได้ดูน่าอนาถนัก ในเมื่อยังมีเสื้อผ้าหลงเหลืออยู่บ้าง เพียงแต่ใบหน้าแก่เร็วเกินไปแถมยังผอมลงอีกมากจนแก้มซูบตอบจนขับให้กระดูกตรงแก้มเด่นชัดขึ้น ไม่เหลือความสง่าอย่างที่เคยมี ดูไม่ต่างจากสาวปากจัดอารมณ์ร้ายแถวตลาดเท่าไร
เหยียนหมิงซุ่นก้าวมาบังหน้าเหมยเหมยตามสัญชาตญาณ สองแม่ลูกเหอปี้อวิ๋นเองก็เห็นพวกเขาในเวลาเดียวกันพลันสีหน้าก็เปลี่ยนไป สายตาฉายแววเกลียดชัง
ไฟริษยาอาฆาตแค้นโหมกระพืออยู่ในใจเหอปี้อวิ๋น เหมยเหมยสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ หน้าตาขาวเนียนเหมือนก้อนแป้งกลมดิก ซึ่งแตกต่างไปจากเด็กกะโปโลน่าสงสารที่เธอเคยเลี้ยงดูอยู่เคียงข้างราวฟ้ากับเหว
ส่วนเยวี่ยเยวี่ยของเธอที่เคยเปล่งประกายดั่งหงส์ ในเวลานี้กลับต้องใส่เสื้อผ้าตัวเก่า มือมีแต่รอยแผลจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น ต้องกลายมาเป็นสาวรับใช้ไปเพราะนังนี้ เธอคับแค้นใจนัก!
เหยียนหมิงซุ่นก้มให้พวกเธอเล็กน้อยแต่ไม่ได้กล่าวทักทาย เพราะไม่จำเป็น!
“เหมยเหมย เราไปกันเถอะ!”
เหมยเหมยถูกเหยียนหมิงซุ่นจูงแขนลากออกไปข้างนอก เธอเองก็ไม่มีอะไรอยากพูด เพราะหลังจากเห็นสภาพอันน่าสมเพชของเธอแล้ว ความแค้นและความเกลียดชังที่เธอมีต่อเหอปี้อวิ๋นก็จางลงมาก ในเมื่อเหอปี้อวิ๋นไม่ใช่ฆาตกรที่ฆ่าเธอโดยตรงเมื่อชาติที่แล้ว
มีเพียงอู่เยวี่ยที่ต่อให้ตายเธอก็ไม่ยอมรามือ!
อีกอย่างจะให้นางแพศยานี่ตายไปง่ายๆ ไม่ได้!
ช่วงเวลาเจ็บปวดที่สุดในชีวิตคนเราไม่มีอะไรมากไปกว่าการได้รับความหวังน้อยนิดก่อนจะตามมาด้วยการสูญเสียที่มากกว่า โดยให้คนคนหนึ่งจมปลักอยู่กับการได้มาและสูญเสียไปจนกระทั่งไม่มีอะไรให้เธอต้องเสียอีก แค่คิดก็ทรมานเสียจนไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว ต่อให้เป็นคนเข้มแข็งขนาดไหนก็ตามเถอะ!
ขณะที่เดินสวนไหล่กับพวกเธอจู่ๆ เหอปี้อวิ๋นก็ยื่นแขนอยากกระชากเหมยเหมยไว้แต่ถูกเหยียนหมิงซุ่นชิงขวางไว้ได้เสียก่อน เขายืนบังข้างหน้าเหมยเหมยพร้อมพูดเสียงเข้ม “ที่นี่ที่สาธารณะ ช่วยสำรวมด้วย!”
“สำรวมอะไร? ฉันทักทายลูกสาวของฉันไม่สำรวมตรงไหน? ถึงนังนี่จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของฉันแต่ฉันเลี้ยงมันมากับมือตั้งสิบสองปี ดั่งคำที่ว่าบุญคุณที่ให้กำเนิดมาสู้บุญคุณที่เลี้ยงมาไม่ได้ มองเห็นฉันแต่กลับทำเป็นมองไม่เห็น เนรคุณจริง ๆ!”
เหอปี้อวิ๋นด่าอย่างแค้นใจ มองเหมยเหมยด้วยสายตามุ่งร้าย
เหตุการณ์นี้ดึงดูดคนไข้ที่มาหาหมอบางส่วนอย่างรวดเร็ว หลังจากได้ยินคำพูดของเหอปี้อวิ๋นแล้วดูจากเสื้อผ้าที่แตกต่างกันของเธอกับเหมยเหมย จึงต่างพาลหลงคิดว่าเหมยเหมยตามหาพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดที่มีฐานะร่ำรวยได้ แล้วทิ้งไม่สนใจใยดีพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมาแต่ฐานะยากจน
คนส่วนมากมักสงสารคนอ่อนแอกว่าโดยเฉพาะเวลาที่ไม่รู้ความจริง คนเหล่านั้นมักยืนอยู่จุดสูงสุดของหลักคุณธรรมศีลธรรม คนที่ชอบคิดเออเองมันน่ารำคาญจริงๆ แต่คนแบบนี้กลับมีอยู่ถูกที่
เหอปี้อวิ๋นคอยฟังเสียงตำหนิเหมยเหมยจากคนรอบข้างก็อดแสดงทีท่าชอบใจออกมาไม่ได้!
อย่างไรเสียตอนนี้เธอก็ตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนมีรองเท้าใส่ เธอมีชีวิตอย่างทุกข์ยากลำบาก นังนี่ก็อย่าหวังจะใช้ชีวิตสงบสุขเลย!
ในเมื่อทำอย่างอื่นไม่ได้ แต่สาดน้ำโคลนใส่ร้ายป้ายสียังพอทำได้!
“เฮ้อ ฉันก็ไม่หวังว่าเด็กนี่จะตอบแทนอะไรฉันหรอก แต่ยังไงก็เลี้ยงมาตั้งสิบสองปี ขนาดเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวยังเกิดความรักได้ ยิ่งคนยิ่งไม่ต้องพูดถึงหรอก ฉันหวังแค่ว่าเด็กนี่อย่ารังเกียจที่บ้านฉันจนเลย หาเวลากลับมาเยี่ยมหาฉันกับพี่สาวของเธอสักหน่อยก็พอใจแล้ว!”
เหอปี้อวิ๋นพูดไปถอนหายใจไปด้วยท่าทางน่าสงสารเหลือเกิน คนรอบข้างที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ยิ่งเห็นใจพวกเธอ ต่างตำหนิใส่เหมยเหมยกันถ้วนหน้า!
…………………
บทที่ 621 การโต้ตอบของเหยียนหมิงซุ่น
เหอปี้อวิ๋นแสร้งทำทีน่าสงสาร ก้มหน้าถอนหายใจอย่างเจ็บปวด มุมปากยกยิ้มอย่างพึงพอใจ ทำไมเธอช่างเป็นคนโง่เขลาเช่นนี้ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดจะคิดเพียงแต่ว่าตนมีความสุขหรือไม่ โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์หรือความสูญเสียมาก่อน
เช่นเดียวกับตอนนี้ สำหรับอู่เหมยแล้วเธอไม่ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดใดๆ เลย อย่างมากก็แค่ถูกบุคคลที่ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ มาต่อว่าไม่กี่ประโยค จนทำให้เกิดความโมโหในใจขึ้นบ้างก็เท่านั้น คนฉลาดจริงๆ มักจะไม่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้
แตกต่างกับเหอปี้อวิ๋นที่เป็นคนมีนิสัยที่ว่า หากฉันไม่สามารถมีชีวิตที่ดีได้ เธอก็ต้องไม่มีเช่นกัน จะดีหรือร้ายเธอไม่สนใจ ไม่สิ ต้องบอกว่าเธอไม่เคยนึกถึงเลยด้วยซ้ำ
ขอแค่ได้ระบายอารมณ์ขุ่นมัวในใจ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน!
หากว่าเหอปี้อวิ๋นเป็นคนที่คิดหน้าคิดหลังมากกว่านี้ เธอคงไม่ได้ระหกระเหินมาอยู่ในจุดนี้หรอก!
แน่นอนว่าอู่เยวี่ยได้คิดถึงผลที่จะเกิดไว้อยู่แล้ว แต่เธอกลับไม่ได้ห้ามปรามเหอปี้อวิ๋น เพราะถึงอย่างไรแม่ของเธอก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเธอได้ ก็ปล่อยให้เธอคอยสร้างเรื่องวุ่นวายให้จ้าวเหมยต่อไปก็แล้วกัน ทำให้จ้าวเหมยดูน่ารังเกียจก็ถือเป็นสิ่งดี
“เหมยเหมย เธอก็มาโรงพยาบาลเหมือนกันเหรอ? ไม่เจอเธอนานแล้ว ตอนนี้เธอคงไม่รู้ที่อยู่ใหม่ของฉันกับแม่สินะ? ”
อู่เยวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม ส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น พร้อมกับจงใจยื่นแขนอันบวมเป่งทั้งสองข้างออกไป ทำทีเรียกร้องความเห็นใจจากคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี
“จึ๊ๆ แม้แต่ที่อยู่อาศัยยังไม่รู้เลย ตั้งใจจะตัดความสัมพันธ์กันจริงๆ สินะ แม่สาวน้อยช่างใจดำยิ่งนัก!” เสียงคำนินทาพร้อมทั้งสายตาที่มองเหมยเหมยอย่างไม่พอใจ
แม้แต่อีกายังรู้จักทดแทนบุญพ่อแม่ แต่เด็กคนนี้หน้าตาก็สะสวย แต่เหตุใดจิตใจถึงแย่อย่างนี้นะ!
เหมยเหมยกลับไม่ได้ใส่ใจต่อคำนินทาของผู้คนรอบข้างสักเท่าไหร่ ต่างเป็นพวกที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน ทำไมเธอจะต้องเก็บมาใส่ใจด้วยล่ะ!
เหยียนหมิงซุ่นไม่อาจทนฟังต่อได้ เขาไม่ชอบให้คนอื่นเข้าใจเหมยเหมยผิด และยิ่งไม่ชอบที่เหอปี้อวิ๋นทั้งสองแม่ลูกคอยสาดโคลน ใส่เหมยเหมย แน่นอนว่าเขาไม่มีทางยืนอยู่เฉยๆ ได้
“พวกคุณไม่รู้ความเป็นจริงก็อย่าเที่ยวเอาคนอื่นไปพูดตามใจปาก พวกคุณสามารถถามผู้หญิงคนนี้ได้ ว่าพวกหล่อนได้ทำอะไรกับน้องสาวของผมไว้บ้าง!” เหยียนหมิงซุ่นด้วยเสียงอันดัง
ผู้คนรอบข้างเงียบลงอย่างฉับพลัน พลางนึกสงสัยและหันไปมองเหอปี้อวิ๋นทั้งสองแม่ลูกที่มีสีหน้าเปลี่ยนไป บางคนที่ดูฉลาดหน่อยพอมองสถานการณ์ลับๆ ล่อๆ ออกก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรอีก
เหอปี้อวิ๋นยังคงปากแข็งพูดขึ้นว่า “แล้วจะให้ฉันทำยังไง มีแม่คนไหนที่ไม่ด่าไม่ตีลูกบ้าง ยัยเด็กบ้านี่เรียนหนังสือก็แย่ ทั้งยังไม่เชื่อฟังอีก ฉันตีไปไม่กี่ครั้งจะเป็นไรไป?”
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มเยาะพูด “แน่นอนพ่อแม่ย่อมอบรมสั่งสอนลูกได้ แต่คุณควรแยกแยะให้ชัดเจนอยู่สองอย่าง อย่างแรก เหมยเหมยไม่ใช่ลูกของคุณ และอีกอย่างคือคุณและสามีขโมยลูกของคนอื่นมา คุณทำร้ายเหมยเหมยโดยทำให้เธอต้องพลัดพรากจากอกคนเป็นพ่อเป็นแม่มาสิบสองปีเต็ม พ่อแม่ของเหมยเหมยต้องล้มป่วยเพราะตรอมใจคิดถึงลูกอยู่นาน ทั้งหมดเป็นเวรกรรมที่พวกคุณก่อขึ้น”
สีหน้าของคนรอบข้างเริ่มเปลี่ยนไป และที่เปลี่ยนท่าทีในทันที พวกเขาจ้องมองเหอปี้อวิ๋นด้วยความขุ่นมัว
ผู้หญิงคนนี้น่าชิงชังยิ่งนัก ตั้งใจพูดจาเพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากพวกเขา นึกไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะเป็นเด็กที่ถูกเธอขโมยมา!
เด็กคนหนึ่งก็เป็นดั่งความหวังของคนทั้งตระกูล สัตว์ชั้นต่ำที่ขโมยลูกของคนอื่นมาจะต้องตกนรกอเวจี ถูกน้ำมันเดือดราดทุกๆ วัน ไม่ได้ผุดได้เกิดชั่วกัปชั่วกัลป์!
เหยียนหมิงซุ่นพึงพอใจต่อปฏิกิริยาของคนรอบข้างเป็นอย่างมากจึงพูดขึ้นต่อว่า “อย่างที่สอง แต่ก่อนที่คุณเคยปฏิบัติต่อเหมยเหมยเรียกว่าการอบรมสั่งสอนหรือ? สิ่งที่คุณทำเรียกว่าการทารุณกรรม กินก็ไม่อิ่ม เสื้อผ้าที่สวมก็ไม่อุ่น วันๆ ทำงานหลายอย่าง สามวันดีสี่วันไข้ก็ต้องถูกคุณตบตีอย่างทารุณ คุณยังกล้ามีหน้ามาทวงบุญคุณที่เลี้ยงดูเหมยเหมยมาด้วยเหรอ ?”
“และหากไม่เป็นเพราะเหมยเหมยเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าๆ คุณคิดว่าตัวเองจะยังมีหน้ามายืนอยู่ตรงนี้แล้วพูดจาทำลายเหมยเหมยเหรอ? ป่านนี้คงถูกตำรวจจับติดคุกติดตะรางไปแล้ว!”
ประโยคที่เหยียนหมิงซุ่นพึ่งพูดเสริมไป สามารถปลุกปั่นความโกรธของคนรอบข้างที่รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมได้สำเร็จ
……………………………………………………