ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 1110 บังเอิญ + ตอนที่ 1111 แอบไปเมืองหลวง
ตอนที่ 1110 บังเอิญ
จ้าวอิงหัวและเหยียนซินหย่าต่างก็เห็นพ้องต้องกันที่จะไม่ยอมให้เหมยเหมยกลับเมืองหลวง ในจุดนี้ความคิดเห็นของพวกเขาตรงกันอย่างแน่นอน
“เหมยเหมยไปเรียนอย่างสบายใจได้เลย พ่อกับแม่จะไปเยี่ยมเอง ถ้าไม่มีอะไรก็คงอยู่แค่คืนเดียวแล้วก็กลับ” จ้าวอิงหัวตัดสินใจแน่วแน่
เขาเองก็ไม่กล้าที่จะเอาลูกสาวเข้าไปเสี่ยงอันตราย อยู่เมืองจินเขาสามารถสั่งการให้คนมาปกป้องลูกสาวได้ แต่ถ้ากลับเมืองหลวง เขาไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะสามารถปกป้องเธอได้!
เหมยเหมยพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายเสียเป็นไหนๆ
แต่ในใจของเธอกลับตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จ้าวอิงหัวสามีภรรยาล่วงหน้าไปก่อน แล้วเธอค่อยนั่งเครื่องบินตามไป เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เฮ่อเหลียนชิงมองเธอใหม่ ที่สำคัญคือเธอต้องการจะสะสางเรื่องวุ่นวายของตระกูลจ้าวไปให้หมด
แน่นอนว่าเธอไม่ได้ใส่ใจกับความรุ่งโรจน์ของตระกูลจ้าวแต่อย่างใด แต่ในเมื่อเธอแซ่จ้าว นั่นถือเป็นความจริงที่หลีกหนีไม่พ้น
สายตาของคนภายนอก เธอคือสายเลือดของตระกูลจ้าว ตระกูลจ้าวมีเกียรติเธอเองก็มีเกียรติ ตระกูลจ้าวโศกเศร้าอาลัย เธอเองก็จำต้องโศกเศร้าอาลัย แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ที่สำคัญที่สุดก็คือจ้าวอิงหัว เขาเป็นถึงลูกชายของตระกูลจ้าว ต่อให้เขาพูดว่าไม่ใส่ใจ แต่ในใจกลับเป็นห่วงจะแย่อยู่แล้ว
เพราะงั้นเธออยากจะทำบางอย่างเพื่อจ้าวอิงหัวบ้าง
ความวุ่นวายของตระกูลจ้าวก็คือจ้าวอิงสยงและคุณย่า แต่น่าเสียดายที่คนอื่นๆ ในตระกูลจ้าวต่างเป็นเหมือนพวกมัวเมา หรือกระทั่งรู้ดีอยู่แก่ใจแต่ก็ไม่อาจทำตัวใจร้ายได้ลง
ถ้างั้นก็ให้เธอเป็นที่ใจร้ายคนนั้นก็แล้วกัน!
จ้าวอิงหัวให้เลขาจองตั๋วเครื่องบินเป็นวันพรุ่งนี้ช่วงสาย เหมยเหมยให้พี่เสือจองตั๋วเครื่องบินช่วงบ่ายตามไปติด ๆ ส่วนเรื่องในโรงเรียนก็จัดการเรียบร้อยแล้ว แค่จดหมายลาป่วยใบเดียวก็เอาอยู่
พี่เสือโทรไปหาเหยียนหมิงซุ่น รายงานความเคลื่อนไหวของเหมยเหมย เหยียนหมิงซุ่นเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ย “นายคอยคุ้มกันคุณหนูจ้าวตอนเข้าเมืองหลวง อย่าให้เธอรู้ล่ะ เมื่อถึงเมืองจินแล้วให้ติดต่อให้คนฝั่งนั้นรับช่วงต่อก่อน แล้วค่อยกลับเมืองจิน”
“รับทราบ ผมจะดูแลคุณหนูอย่างดีครับ” พี่เสือตกปากรับคำอย่างนอบน้อม
ช่วงเช้าจ้าวอิงหัวยังไม่ทันตื่น แต่กลับมีสายโทรเข้าจากเลขาโจว อารมณ์ก็ดูเคร่งขรึมขึ้น
“เป็นอะไร?” เหยียนซินหย่าเอ่ยถาม
“เบื้องบนส่งหัวหน้าจางเข้ามาสำรวจเมืองที่ผมทำงานอยู่ เดิมทีจะเข้ามาอาทิตย์หน้า แต่เลขาโจวบอกว่าท่านหัวหน้าจางจะเข้ามาสำรวจเมืองเราก่อนล่วงหน้า ซึ่งตอนนี้ก็มาถึงแล้ว” จ้าวอิงหัวเอ่ยตอบ
“คุณจำเป็นต้องต้อนรับหัวหน้าจาง?” สัญชาตญาณของเหยียนซินหย่าบอกให้ถาม
จ้าวอิงหัวพยักหน้า “ผมต้องไปต้อนรับอยู่แล้ว น่าแปลก ทำไมจู่ๆ ถึงได้มาล่วงหน้าหลายวันขนาดนี้ ซินหย่า ดูท่าแล้วคงต้องให้เธอกลับไปพร้อมกับอิงหนานและคนอื่น ๆ ก่อน ถ้าผมเสร็จธุระทางนี้แล้วจะตามกลับไป”
“ก็ได้…ก็คงต้องทำแบบนั้นแล้วล่ะ”
เหยียนซินหย่าพยักหน้า เธอใส่เสื้อผ้าเสร็จสรรพก่อนจะลุกไปทำกับข้าวที่ห้องครัว ไฟท์บินคือช่วงเช้าเวลาเก้าโมงครึ่ง เมื่อทานข้าวเสร็จก็ออกเดินทางทันที
แปดโมงตรง ทั้งสามคนพร้อมหน้ากันนั่งทานมื้อเช้าตามตรงเวลา เหมยเหมยที่รู้ข่าวว่าจ้าวอิงหัวติดธุระด่วนจึงไม่อาจกลับเมืองหลวงได้ ปฏิกิริยาแรกคือต้องเป็นแผนการชั่วช้าแน่
บนโลกใบนี้จะมีเรื่องอะไรที่บังเอิญได้ถึงเพียงนี้กัน?
จ้าวอิงหัวและเหยียนซินหย่าเข้าใจเป็นอย่างดี ในเมื่อเหมยเหมยนึกขึ้นได้ พวกเขาเองก็คิดได้เช่นนั้นเหมือนกัน
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น คราวนี้เป็นสายจากผู้ดูแลหอศิลป์ประจำเมืองที่โทรเข้ามาหาเหยียนซินหย่า
“หอศิลป์โทรหาคุณทำไม?” จ้าวอิงหัวถาม
เหยียนซินหย่ามุ่นคิ้ว พลันเอ่ยอย่างเครียดๆ “ภาพวาดภาพหนึ่งของฉันมีปัญหานิดหน่อย อีกอย่างภาพวาดนั้นก็ถูกขายไปแล้ว ช่วงบ่ายลูกค้าจะแวะเข้ามารับ ทางหอศิลป์เลยอยากให้ฉันกลับไปซ่อมภาพนั้น”
“ภาพวาดอยู่ของมันดีๆ จะเกิดปัญหาได้ยังไง?” จ้าวอิงหัวและเหมยเหมยเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
“เห็นบอกว่าคนงานในหอศิลป์ไม่ทันระวัง”
“ทะแม่ง ๆ…แปลกมากๆ” จ้าวอิงหัวบ่นพึมพำกับตัวเองจนลืมที่จะทานมื้อเช้า แต่เข้าสู่โหมดความคิดแทน
เหยียนซินหย่าหัวเราะเยาะไปที “มีอะไรให้ต้องคิดอีก เห็นอยู่ทนโท่ว่ามีคนจงใจสร้างเรื่องขึ้นมา เพื่อให้พวกเรากลับไปไม่ทัน”
“งั้นจุดมุ่งหมายของพวกเขาคืออะไร?” จ้าวอิงหัวบ่นพึมพำ
…………………………………………….
ตอนที่ 1111 แอบไปเมืองหลวง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งเป็นสายจากคุณปู่จ้าวที่โทรเข้ามา และเป็นอีกครั้งที่เขาบอกให้เหมยเหมยกลับมาเมืองหลวง
“พ่อครับ ทางฝั่งผมกับซินหย่ามีธุระด่วน ไปไหนไม่ได้” จ้าวอิงหัวเอ่ย
“งั้นก็ให้เหมยเหมยมาพร้อมกับอิงหนานสิ ส่วนพวกแกก็รีบจัดการธุระให้เสร็จแล้วตามมา” คุณปู่จ้าวพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“เหมยเหมยยังต้องไปเรียนอยู่ คงไม่ได้กลับไป”
คุณปู่จ้าวไม่พอใจจึงเอ่ยตัดพ้อด้วยเสียงอันดัง “แม่แกจะไม่ไหวอยู่แล้ว เรื่องเล็กน้อยแค่นี้แกทำให้ไม่ได้หรือไง? ขาดเรียนไม่กี่วันมันจะอะไรกันนักหนา หรือว่าแกอยากให้แม่แกตายตาไม่หลับ?”
จ้าวอิงหัวพลันถามออกไปอย่างอดไม่ได้ “พ่อครับ แม่ไม่ไหวแล้วจริงๆ หรือ?”
“เหลวไหล ถ้าแม่แกยังสบายดีแล้วฉันจะแช่งเพื่ออะไร หมอบอกว่าแม่แกจะอยู่ได้อีกเพียงไม่กี่วันแล้ว…”
น้ำเสียงของคุณปู่จ้าวดูอ่อนลงในชั่วพริบตา แลดูเจ็บปวดเป็นอย่างมาก พลางลอบถอนหายใจลากยาว และเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ให้เหมยเหมยกลับมาเถอะ อย่าให้แม่แกต้องจากไปอย่างไม่สงบสุขเลย…”
จ้าวอิงหัวจับโทรศัพท์ไว้แน่น ได้ยินเสียงแครก ๆ และตามมาด้วยเสียงตู๊ด ๆๆ จึงลอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
แม่ของเขาไม่ไหวแล้วจริงๆ หรือ?
ความเศร้าโศกเสียใจของพ่อตนดูไม่น่าเป็นเรื่องเสแสร้งแกล้งทำ ต่อให้คุณย่าจะดูเลอะเลือนถึงเพียงไหน ก็คงไม่แกล้งตายเพื่อหลอกคุณปู่หรอก?
จ้าวอิงหัวลูบใบหน้า รู้สึกกลุ้มอยู่ในใจ
“ถึงอย่างไรก็ไม่ควรให้เหมยเหมยไป จ้าวอิงหัวคุณโง่หรือไง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่านี่เป็นแผนที่พี่รองกับสะใภ้รองเป็นคนวางเอาไว้ คุณยังจะให้เหมยเหมยกระโดดลงไปอีกรึ?” ความอ่อนโยนของเหยียนซินหย่าได้แปรเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนและดูมุ่งมั่นอย่างมาก
เหมยเหมยดื่มนมอึกใหญ่ด้วยความตื้นตันใจ เหยียนซินหย่าดีต่อเธอโดยไม่นึกหวังถึงอำนาจผลประโยชน์หรือมีจุดมุ่งหมายใด ๆ ทำให้เธอรู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก นั่นยิ่งทำให้เธอเกิดความแน่วแน่ว่าไม่อยากทำให้พ่อและแม่ต้องลำบากใจต่อการตัดสินใจ
ไม่ว่าคุณปู่จ้าวจะมีส่วนเอี่ยวด้วยหรือไม่ก็ตาม แต่นับว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ของจ้าวอิงหัวและเหยียนซินหย่า และยังโทรหาอยู่หลายครั้ง หากว่าจ้าวอิงหัวไม่ทำตาม เกรงว่าความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกจะเกิดความบาดหมางกันได้
“ฉันไม่มีทางทำร้ายลูกสาวแน่ จะให้เหมยเหมยไปไม่ได้เด็ดขาด รอให้จ้าวอิงหนานและพวกนั้นไปก่อน แล้วผมกับคุณค่อยตามไปพรุ่งนี้” จ้าวอิงหัวตัดสินใจ
นับว่าเขายังเชื่อใจคุณปู่จ้าวอยู่ อาจเป็นเพราะคุณย่าอาการแย่มากจริงๆ !
แต่ถึงยังไงเรื่องที่จ้าวอิงสยงและหานซู่ฉินวางแผนต่อเหมยเหมยก็เป็นเรื่องจริง ไม่ว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะเป็นแผนที่คนทั้งคู่วางไว้หรือไม่ เขาไม่มีทางยอมให้ลูกสาวต้องได้รับอันตราย!
“แล้วทางฝั่งพ่อคุณจะพูดยังไง?”
เหยียนซินหย่ารู้สึกกังวลใจเล็กน้อย คุณปู่จ้าวถือได้ว่าเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของบ้าน ตอนนี้จ้าวอิงหัวไม่เชื่อฟังคำสั่ง คุณปู่จะต้องโกรธเป็นแน่
จ้าวอิงหัวหดเกร็งคออย่างไม่รู้ตัว พลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ก็พูดไปตามความจริงไง ไม่เป็นไรน่า กินข้าว ๆ ”
อย่างมากก็แค่ถูกต่อยสักหมัด!
ได้แต่หวังว่าในจังหวะที่พ่อเขาจะต่อยนั้นจะทำลับหลังคนอื่นหน่อย แล้วยอมไว้หน้าเขาบ้างก็ดีมากแล้ว!
เหยียนซินหย่าเหลือบมองจ้าวอิงหัวด้วยความเห็นใจ พลางปอกไข่ให้เขาหนึ่งฟอง คุณปู่จ้าวหน่ะไม่ได้ใจดีขนาดนั้น บอกว่าลงมือคือลงมือ เธอสามารถคาดการณ์ได้ถึงการกลับเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจ้าวอิงหัวต้องถูกตีหัวแบะอย่างน่าสงสาร!
หลังจากทานมื้อเช้า จ้าวอิงหัวโทรไปหาจ้าวอิงหนาน เพื่อให้เธอและสยงมู่มู่ล่วงหน้าไปก่อน จากนั้นก็โทรไปหาเลขา เพื่อสั่งให้เขาเปลี่ยนเที่ยวบินไปเป็นวันพรุ่งนี้
หลังจากที่จ้าวอิงหัวสองสามีภรรยาออกจากบ้านไป เหมยเหมยจึงโทรหาอู่เซา ให้เขาและเจียงซินเหมยมาที่บ้านของเธอ
“พวกเธอช่วยลาหยุดให้ฉันหนึ่งอาทิตย์นะ นี่คือใบลาป่วย” เหมยเหมยยื่นใบลาที่เธอตั้งใจเตรียมไว้ส่งให้ ซึ่งด้านบนมีลายมือของจ้าวอิงหัวอยู่ด้วย และแน่นอนว่าเธอเป็นคนลอกเลียนแบบเอง
การคัดลอกลายมือของคนเป็นพ่อนั้น สำหรับเธอแล้วเป็นเรื่องง่ายเสียยิ่งกะไร
“เหมยเหมยเธอเองก็ดูสบายดีไม่ใช่รึ? ทำไมต้องลาป่วยด้วย?” อู่เชาลูบศีรษะอย่างไม่เข้าใจ เหมยเหมยที่อยู่ตรงหน้าเขาสีหน้าก็ดูมีเลือดฝาด ทั้งสดใสมีชีวิตชีวา เหมือนกับสีของเลือดไก่ไม่มีผิด ไม่เห็นมีส่วนไหนที่เหมือนกับคนป่วยหนัก
“โธ่เอ๊ย จะถามอะไรมากมายอีกล่ะ ฉันไปเมืองหลวงเพราะมีธุระ นายก็แค่ทำตามที่ฉันบอก อย่าจู้จี้จุกจิกน่า!”
เหมยเหมยผลักไสทั้งคู่ที่เอาแต่ทำหน้ามึนงงออกไปอย่างเสียอารมณ์ พลางหันมาจัดสัมภาระ ที่มีเพียงแค่กระเป๋าใบเล็กๆ เรียบง่าย พอถึงเวลาบ่ายสองโมงตรง เธอได้ทิ้งโน้ตเอาไว้ พร้อมขึ้นเครื่องบินไปเพียงตัวคนเดียว
………………………………………………….