ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 1118 ยุยงอีกครั้ง + ตอนที่ 1119 ทุกคนต่างไปที่หอศิลป์
ตอนที่ 1118 ยุยงอีกครั้ง
เหอปี้อวิ๋นเมื่อเห็นว่าสองพ่อลูกล้มลงจมกองเลือดอยู่ที่พื้น จึงฉีกยิ้มกว้าง “เยวี่ยเยวี่ยไม่ต้องกลัว แม่ฆ่าคนชั่วหมดแล้ว…ไม่ต้องกลัวนะ…”
อู่เยวี่ยรู้สึกตื้นตันอยู่ในอก ตอนเด็กๆ ที่เธอถูกรังแก เหอปี้อวิ๋นมักจะปลอบเธอเช่นตอนนี้ หากพูดว่าเหอปี้อวิ๋นดีกับเธอจากใจจริง แต่เหตุใดถึงได้ไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้เล่า?
“แม่…หนูไม่บริสุทธิ์แล้ว…ต่อไปไม่มีใครเอาหนูอีก…”
อู่เยวี่ยพร่ำบ่นระคนร้องไห้ เหอปี้อวิ๋นมีท่าทีเปลี่ยนไป เธอยกกรรไกรขึ้นพร้อมกับแทงซ้ำ โดยไม่รู้ว่าแทงไปจำนวนเท่าไหร่ ตามใบหน้าและร่างกายต่างเต็มใบด้วยเลือด
ตามร่างกายของซ่งเป่าเลี่ยงสองพ่อลูกเต็มไปบาดแผลเลือดนอง ตายอย่างน่าสยดสยอง
“แม่คะ…มีแม่อยู่ช่างดีเหลือเกิน แม่ดีกว่าพ่อมาก ในใจของพ่อมีแต่เหยียนซินหย่า ไม่เคยมีหนูกับแม่อยู่เลย” อู่เยวี่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“เหยียนซินหย่า? นางชั่วนั่นทำให้ลูกชายฉันต้องตาย…เยวี่ยเยวี่ย มันทำให้น้องชายของลูกต้องตาย แล้วยังแย่งพ่อของลูกไปอีก นังสารเลว…” เหอปี้อวิ๋นตื่นตระหนก
อู่เยวี่ยเองก็พูดตามน้ำ “มันและจ้าวเหมยต่างก็เป็นคนเลว พวกมันสมควรตาย!”
“สมควรตาย…พวกมันทุกคนสมควรตาย…ฉันจะฆ่ายัยชั่วนั่น…ฆ่ามัน!”
เหอปี้อวิ๋นคว้ากรรไกรที่ยังมีเลือดหยดอยู่ สติเลือนรางราวกับคนไร้ซึ่งสติ ในตอนนี้เธอมีความคิดเพียงอย่างเดียว นั่นคือฆ่าเหยียนซินหย่า!
อู่เยวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย สวมใส่ชุดเดรสเมื่อครู่ที่ถูกซ่งเป่าเลี่ยงถอดทิ้ง พลางเกลี้ยกล่อมเสียงเบา “แม่ไปล้างหน้าก่อนเถอะ ดูสิหน้าแม่เปื้อนหมดแล้ว”
เหอปี้อวิ๋นแน่นิ่งดวงตาจับจ้องไปที่อู่เยวี่ย ยอมให้อู่เยวี่ยเปิดน้ำล้างหน้าให้แทนอย่างเชื่อฟัง เลือดของคนชั่วตามร่างกายไม่ได้มีมาก อีกอย่างวันนี้เหอปี้อวิ๋นก็สวมเสื้อเชิ้ตสีแดงพุทรา ซึ่งมองไม่เห็นแม้แต่รอยเลือด
อู่เยวี่ยรับกรรไกรจากเหอปี้อวิ๋น หากถือกรรไกรออกไปในสภาพนี้ เกรงว่าจะเดินได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ถูกคนพาไปที่สถานีตำรวจเป็นแน่
“แม่คะ เหยียนซินหย่านี่เลวจริงๆ จงใจยั่วยวนพ่อจนเขาทอดทิ้งพวกเรา แล้วก็ลูกของหล่อนจ้าวเหมย เลวไม่ต่างกัน เรามีชีวิตลำบากในทุกวันนี้เป็นเพราะพวกมันที่ทำร้ายเรา…แต่พวกมันกลับใช้ชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม แล้วบ่ายนี้เหยียนซินหย่ายังต้องให้สัมภาษณ์ที่หอศิลป์อีกด้วย มันมีสิทธิ์อะไร!”
อู่เยวี่ยพร่ำบ่นระคนร่ำไห้ ในทุกๆ ประโยคที่พูดไปได้สื่อเข้าถึงหัวใจของเหอปี้อวิ๋น เธอมองอู่เยวี่ยร่ำไห้ด้วยสายตารักใคร่ พลางปาดน้ำตาให้กับลูกสาว พร้อมกับหยัดกายลุกขึ้นและเดินออกไปด้านนอก
จริงๆ แล้วในตอนนี้เหอปี้อวิ๋นมีสติดีทุกอย่าง เธอรับรู้ว่าเมื่อครู่ตนได้ฆ่าคนตายถึงสองคน ปฏิกิริยาแรกของเหอปี้อวิ๋นคือกลัว
ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต เป็นกฎเกณฑ์ที่มีมาแต่สมัยโบราณ เธอหลีกหนีไม่พ้นเป็นแน่!
ถึงยังไงก็ต้องตาย เพราะงั้นก็ฆ่าเพิ่มอีกซักคนสองคนละกัน!
คนพวกนี้ทำร้ายเธอและลูกสาวเธอ ความตายก็ยังไม่พอ!
อู่เยวี่ยเห็นเหอปี้อวิ๋นออกจากห้องแลดูมีท่าทีสงบ ทั้งยังได้หยิบมีดในลิ้นชักที่อยู่ในห้องรับแขกมาด้วยหนึ่งด้าม พลางยัดไว้ในอ้อมอก ในจังหวะที่เดินไปถึงหน้าประตู เหอปี้อวิ๋นหันกลับมาส่งยิ้มให้เธอ
“เยวี่ยเยวี่ย…แม่ไปก่อนนะ…ลูกต้องสอบเข้ามหาลัยให้ได้นะ”
เมื่อพูดจบเหอปี้อวิ๋นจึงหมุนตัวจากไป เพียงไม่นานก็หายวับไปจากช่องบันได อู่เยวี่ยวิ่งตามออกไป เห็นเพียงแค่แผ่นหลังของเหอปี้อวิ๋น จึงน้ำตาไหลพรากไม่หยุด
แม่รักเธอจริง แต่เธอกลับ…
อู่เยวี่ยปิดหน้าร้องไห้อย่างเจ็บปวด น้ำตาไหลอาบท่วมใบหน้า แต่เธอกลับไม่ได้ตามเหอปี้อวิ๋นกลับมา
เหอปี้อวิ๋นเดินไปเข้าสู่เส้นทางที่กู่ไม่กลับ เธอตามกลับมาก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ดีกว่าหรือถ้า…
อู่เยวี่ยปาดน้ำตาทิ้ง ปิดประตูลงพร้อมทั้งเดินกลับห้อง ฉับพลันที่ต้องตกใจ นึกไม่ถึงว่าซ่งเป่าเลี่ยงจะลุกขึ้นยืนได้ ทั้งยังโซซัดโซเซเข้ามาหาเธอ เลือดบนตัวไหลหยดติงๆ ลงสู่พื้น ฝ่ามือที่อาบด้วยเลือดยื่นเข้ามาหาเธอ
…………………………………………………….
ตอนที่ 1119 ทุกคนต่างไปที่หอศิลป์
“อย่าเข้ามา…ออกไป…”
อู่เยวี่ยหลบหลีกมือที่อาบเลือดของซ่งเป่าเลี่ยง เธอเหลือบเห็นกรรไกรที่ตกอยู่บนพื้น จึงกัดฟันแน่นพร้อมกับคว้ากรรไกรขึ้นมา หลับตาลงและใช้กรรไกรแทง
“อ๊ะ”
เธอสัมผัสได้ว่ากรรไกรได้แทงทะลุผ่านเนื้อกั้นเข้าไป และมีเสียงเลือดที่ทะลักออกมา ร่างกายของซ่งเป่าเลี่ยงเซไปเซมาจนล้มร่วงลงสู่พื้น อู่เยวี่ยรีบลืมตาขึ้นและย่อตัวลงเพื่อตรวจลมหายใจของซ่งเป่าเลี่ยง เมื่อไร้ซึ่งลมหายใจนั่นถึงทำให้เธอค่อยวางใจได้
ฝืนทนต่อความกลัว อู่เยวี่ยเข้าไปตรวจดูลมหายใจของพ่อซ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ไม่เหลือลมแม้แต่ครึ่งนั่นถึงทำให้วางใจได้
บนเตียง บนพื้น บนผนังห้องล้วนมีแต่เลือด ทั้งยังคงไหลออกมาไม่หยุด อู่เยวี่ยไม่รู้เลยว่าทำไมตามร่างกายเธอถึงได้มีรอยเลือดมากถึงเพียงนี้ ราวกับว่าไหลยังไงก็ไหลไม่หมด
เธอมองหาพื้นที่ที่สะอาด แล้วนั่งลงขดตัวอยู่ที่พื้น และมองดูศพสองร่างตรงหน้า ในใจของเธอไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ความยินดีปรีดาต่อความสำเร็จ
แต่ก็ไม่รู้ว่าเหอปี้อวิ๋นจะฆ่าจ้าวเหมยสองแม่ลูกนั่นสำเร็จไหม?
หากว่าสำเร็จล่ะก็ นับเป็นเรื่องดีเสียยิ่งกะไร!
สนามบินเมืองจิน
เซียวเซ่อและสยมู่มู่สะพายกระเป๋าเดินออกมา ช่วงเวลาสามปีกลับไม่ได้ทำให้รูปร่างหน้าตาของพวกเขาเปลี่ยนไป มีเพียงส่วนสูงของพวกเขาที่เพิ่มขึ้น ทั้งคู่สูงพอๆ กัน ประมาณ175เซนติเมตร สยงมู่มู่สูงกว่าเล็กน้อย หากไม่สังเกตดีๆ ก็จะดูไม่ออก
สยงมู่มู่ไว้ผมยาวตรงถึงช่วงเอวทั้งดำทั้งเงาราวกับน้ำตกก็มิปาน เขาใช้ยางรัดผมผูกแบบลวกๆ แต่เซียวเซ่อกลับตัดผมสั้น ทั้งคู่ต่างก็สวมใส่เสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์สีกรม และรองเท้ากีฬาสีขาวเหมือนๆ กัน รูปร่างก็พอๆ กันทั้งชายและหญิง ชวนดึงดูดต่อสายตาผู้คนจำนวนไม่น้อยในสนามบิน
“ต้องโทรหาเหมยเหมยไหม?” สยงมู่มู่เอ่ยถาม
เซียวเซ่อยกข้อมือขึ้นมาดู พร้อมเอ่ยอย่างเท่ ๆ “ไม่จำเป็น พวกเราไปหาเธอที่โรงเรียนเลยดีกว่า”
สยงมู่มู่ยักไหล่ไปพลาง “งั้นก็ไปอีจง ฉันอยู่ที่นั่นมาสิบกว่าปี คุ้นเคยเป็นที่สุด”
แต่น่าเสียดายที่พ่อแม่เขาไม่ได้ทำงานที่อีจงแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาจะได้แวะเข้าไปเยี่ยมพ่อกับแม่ด้วย ไม่ได้กลับมาสามปี เขาเองก็คิดถึงมาก
เมื่อสองปีก่อนสยงฉูฉู่ได้ย้ายไปอยู่สำนักการศึกษา ส่วนจ้าวอิงหนานเมื่อสามปีก่อนได้ลาออก แล้วหันมาเปิดร้านเปียโน ธุรกิจรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ไม่งั้นจะสามารถส่งให้เขาไปเรียนเมืองนอกได้ยังไง
ทั้งคู่มาถึงอีจงอย่างรวดเร็ว สยงมู่มู่คุ้นชินทางและพบกับอู่เชาที่วิ่งเหนื่อยหอบอยู่ในสนาม ครูพละยังคงจำสยงมู่มู่ได้ จึงโบกมือเป็นนัย ๆ เพื่อให้พวกเขาได้ไปพูดคุยระลึกความหลังที่มุมนั้น
เจ้าเด็กอ้วนแอบนึกอิจฉาเพื่อนของตนที่ได้หลงระเริงกับขนมปังเนยหอมกรุ่นอยู่อังกฤษ แต่ยังคงรูปร่างผอมเพรียวดั่งเทียนไขดังเดิม เอ่ยขึ้นว่า “เหมยเหมยไปเมืองหลวงแล้ว บินไฟท์บ่าย มู่มู่พ่อแม่ของนายก็ไปเมืองหลวงด้วย เหมือนว่าที่นั่นจะมีเรื่องด่วนอะไรบางอย่าง”
สยงมู่มู่ลูบหน้าผากอย่างใช้ความคิด “ตอนที่พวกเราลงเครื่อง ต้องเป็นจังหวะเดียวกับที่เหมยเหมยขึ้นเครื่องแน่”
“งั้นพรุ่งนี้เช้าเราไปเมืองหลวงกัน ตอนนี้ไปซื้อตั๋วเครื่องบินก่อน เอ่อใช่ พ่อแม่ของเหมยเหมยก็ไปเมืองหลวงหรอ?” เซียวเซ่อเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“ไม่นะ ตอนแรกจะไปตอนเช้า แต่มีธุระด่วนเสียก่อน เหมยเหมยจึงไปคนเดียว และไหนจะยังปกปิดพ่อแม่เธอด้วยนะ!” อู่เชาเองก็นึกแปลกใจ
สยงมู่มู่กลับแปลกใจยิ่งกว่า พลางบ่นพึมพรำกับตัวเอง “เกิดอะไรขึ้นที่เมืองหลวงกัน…”
“อยากรู้ก็ไม่ง่ายนัก ถามป้าเหยียนสิ เจ้าอ้วนนายรู้ไหมว่าป้าเหยียนอยู่ที่ไหน?” เซียวเซ่อเอ่ยถาม
“รู้สิ ป้าเหยียนอยู่ที่หอศิลป์ฯ ดูเหมือนว่าเกิดปัญหาขึ้นกับภาพวาดภาพหนึ่ง คงจะยังไม่เสร็จง่ายๆ หรอก”
อู่เชาพึ่งพูดจบ เซียวเซ่อก็วิ่งออกไปเหมือนดั่งสายลม ตามไปติดๆ คือสยงมู่มู่
เขากลืนน้ำลายดังเฮือก ก่อนจะวิ่งกลับไปหาครูพละเพื่อขอลาพร้อมกับวิ่งตามไปอย่างไม่นึกลังเล
ในขณะเดียวกันเหอปี้อวิ๋นที่แลดูสงบเสงี่ยมก็ใกล้จะถึงหอศิลป์ฯ แล้ว ในอ้อมแขนยังถือมีดปอกผลไม้ไว้ด้วยหนึ่งด้าม
………………………………………………..