ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 1172 กำแพงล้มเนื่องด้วยคนผลัก + ตอนที่ 1173 โลกนี้มันกลมยิ่งนัก
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- บทที่ 1172 กำแพงล้มเนื่องด้วยคนผลัก + ตอนที่ 1173 โลกนี้มันกลมยิ่งนัก
ตอนที่ 1172 กำแพงล้มเนื่องด้วยคนผลัก
สีหน้าของคุณปู่จ้าวนั้นดูไม่ได้เลย ช่วงก่อนที่จะส่งจ้าวอิงสยงเข้าไป เขารับรู้ได้ในทันทีถึงผลลัพธ์ในวันนี้ที่จะขึ้น ทั้งยังทำใจยอมรับไว้แล้ว แต่หวงอวี้เหลียนสองแม่ลูกเอาแต่หัวเราะเยาะจึงยากที่จะทำให้เขาสงบลงได้
คุณปู่จ้าวผู้สูงส่งที่คุ้นชินต่อการที่ถูกผู้อื่นเทิดทูนประจบสอพลอ ไม่ใช่คนที่จะยอมใครง่าย ๆเหมือนยี่สิบปีก่อน ตอนนี้เขายังคงอาลัยอาวรณ์ต่อตำแหน่งสูงส่งที่นำเอาความภาคภูมิใจมาให้แก่เขา ทำใจยอมรับไม่ได้ที่จะห่างจากสภาพสังคมแบบนั้น
แต่เขาเข้าใจดีว่าในตอนนี้ตระกูลจ้าวตกอยู่ในสภาวะคับขัน เขาจึงทำได้เพียงหลีกเลี่ยงความเสี่ยง รอให้วันเวลาผันผ่านค่อยหวนกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง เพียงแค่รอให้หลานสาวยินยอมพร้อมใจที่จะมอบยาวิเศษให้ ตระกูลจ้าวก็จะคืนสู่สภาพเดิมได้เพียงแค่เอื้อม
“เฮ้อ”
คุณปู่จ้าวถอนหายใจอย่างหนักพร้อมเดินหลังค่อมขึ้นบ้านไป
จ้าวอิงหัวอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมาก พ่อผู้องอาจและยิ่งใหญ่ในวันวาน บัดนี้กลับกลายเป็นดั่งผู้เฒ่าเหล่าตอผู้น่าสงสาร แม้แต่ผู้หญิงอย่างหวงอวี้เหลียนยังกล้าเข้ามาเยาะเย้ยพ่อของตนถึงในบ้าน
ในใจของเขาช่างอึดอัดนัก!
จ้าวอิงหัวหันมองลูกสาวอีกครั้ง ใจที่สั่นคลอนไปเมื่อครู่ได้ผันเปลี่ยนเป็นแน่วแน่
งั้นก็คิดเสียเถอะว่าเขานั้นเป็นลูกเนรคุณ เขาเป็นพ่อคนหนึ่งที่เห็นแก่ตัวใจแคบ มีพื้นที่ให้แค่ภรรยาและลูกสาวในใจเท่านั้น
จ้าวเสวียกงหยิบหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเปิดอ่าน ขมวดคิ้วแน่นแล้วเอ่ย “ยัยแม่หมีสีน้ำตาลได้กลายเป็นคนดังระดับประเทศแล้วเหรอ? บรรณาธิการตาบอดหรือไง?”
สยงมู่มู่บ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ พร้อมกับโยนหนังสือพวกนั้นลงถังขยะ และเอ่ยว่า “คนอย่างโอหยางซานซานจะเขียนบทความอะไรดี ๆออกมาได้? แค่ดูก็รู้แล้วว่าเล่นสกปรก”
จ้าวเสวียกงหัวเราะร่า และไม่คิดจะดูหนังสือพวกนั้นอีก พวกเขาไม่กี่คนพี่น้องต่างก็รู้สึกอึดอัดใจ โกรธแค้นที่พวกตนนั้นไร้ซึ่งความสามารถจนเกินไป นึกไม่ถึงว่าจะปล่อยให้ผู้หญิงพวกนั้นมารังแกได้ถึงในบ้าน
สยงมู่มู่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พลันกระซิบถามข้างหูเหมยเหมย “เธอมีรูปหลักฐานที่โอหยางซานซานว่าจ้างมือปืนอยู่ไม่ใช่หรือ? ทำไมไม่เอาออกมาตั้งแต่แรกล่ะ?”
เหมยเหมยกลอกตามองบน “รีบอะไรเล่า? ยังไม่ถึงเวลา!”
“แล้วต้องรอไปถึงเมื่อไหร่? หรือเธอไม่โกรธเลย? ฉันเห็นผู้หญิงคนนี้มีท่าทีได้ใจเอาแต่คุยโวโอ้อวด ฉันแทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆอยู่แล้ว!” สยงมู่มู่ทึ้งหนังศีรษะอย่างหงุดหงิด
เหมยเหมยพูดอย่างเย็นชา “ใกล้แล้ว อีกไม่กี่วันหล่อนจะเซ็นสัญญาซื้อขายไม่ใช่หรือ? พวกเราไปหาสำนักพิมพ์ แล้วก็เชิญนักข่าวของสถานีโทรทัศน์มาร่วมก่อกวน ทำให้หล่อนเป็นข่าวฉาวโฉ่เสื่อมเสียชื่อเสียง!”
จากเดิมเธอรอจังหวะที่จะให้โอหยางซานซานไปเซ็นสัญญาซื้อขายที่ฮ่องกงก่อนแล้วค่อยเปิดเผยหลักฐาน แต่ใครใช่ให้สองแม่ลูกนี่น่าชิงชังนักเล่า เธอรอไม่ไหวแล้ว!
สยงมู่มู่ดีใจอย่างที่สุด ดวงตาเป็นประกายระยับเอ่ยพึมพำเสียงเบา “อีกสักพักเราไปหาเซียวเซ่อกัน เรื่องแบบนี้เขามีหนทางอยู่มาก”
เหมยเหมยเองก็คิดเช่นนั้น เดิมทีเธอไม่อยากอยู่ในบ้านนี้ต่อไปให้อึดอัดใจ จึงบอกจ้าวอิงหัวก่อนจะลากสยงมู่มู่ไปยังบ้านตระกูลเซียวพร้อมกัน จ้าวเสวียหลินไม่วางใจต่อน้องสาวจึงแอบย่องตามอยู่ด้านหลังเสมือนครั้งวัยเยาว์ไม่เปลี่ยนเลย
หลังจากที่รอให้เหมยเหมยและคนอื่น ๆจากไป จ้าวอิงหย่งจึงหันมาเอ่ยกับจ้าวอิงหัวอย่างไม่เห็นด้วย “เมื่อครู่นายวู่วามเกินไป ตอนนี้ตระกูลเราตกต่ำถึงขีดสุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาความโกรธชั่ววูบมาหาเรื่องตระกูลโอหยางเลย ต่อไปนี้นายก็ควรจะบอกเหมยเหมยบ้าง หลานสาวมีอารมณ์รุนแรงไปหน่อย นึกอยากจะใช้แส้ฟาดก็ฟาด สถานการณ์ตระกูลเราตอนนี้หากว่าเธอก่อเรื่องคงไม่มีใครปกป้องเธอได้แล้ว!”
จ้าวอิงหัวมองเขาอย่างผิดหวัง ผู้กล้าที่สุดในวันวานอย่างพี่สาม บัดนี้กลับกลายเป็นดั่งเต่าที่เอาแต่หดหัวหลบอยู่ในกระดอง
“ครอบครัวนี้ปกป้องลูกสาวของผมตั้งแต่เมื่อไรกัน? แต่ละคนต่างก็เอาแต่คิดร้ายต่อเหมยเหมย!”
จ้าวอิงหัวโต้ตอบกลับอย่างไร้ความเกรงใจ พอเผชิญเรื่องเลวร้ายถึงได้รู้ใจคน เขามองเห็นบรรดาพี่ชายได้จนทะลุปรุโปร่งเสียแล้ว!
จ้าวอิงหย่งสีหน้าซีดขาวและมีท่าทีฮึดฮัดไปพร้อมกันก่อนจะกลับไปทำงาน สองพี่น้องจึงเกิดความบาดหมางต่อกัน
ระหว่างทางสยงมู่มู่นึกถึงปัญหาบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน พลางเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เหมยเหมย เมื่อครู่ที่เธอพูดถึงโปรตีนมันคืออะไร? ของบำรุงร่างกายหรือ?”
“ใช่ บำรุงอย่างหนักเลยล่ะ”
เหมยเหมยหน้าแดงไปจนถึงใบหู หลุดปากพูดไปได้ไงเนี่ย…
…………………………………………………..
ตอนที่ 1173 โลกนี้มันกลมยิ่งนัก
เซียวเซ่อให้ความสนใจโอหยางซานซานมากเป็นพิเศษ จึงเป็นฝ่ายเสนอแผนการ “ไม่งั้นพวกเราเอาภาพถ่ายพวกนั้นออกมาด้วย จัดการแม่หมีสีน้ำตาลนั่นให้เจ็บแสบ!”
เหมยเหมยส่ายหน้า “ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก ถ้ายังไม่ถึงทางตันก็อย่าเพิ่งเอาภาพถ่ายพวกนั้นออกมาใช้ ถึงอย่างไรโอหยางซานซานกับฉันไม่ได้มีเรื่องอาฆาตต่อกัน ทำเรื่องแบบนี้แลดูจะไร้คุณธรรมไปหน่อย”
เซียวเซ่อคิด ๆดูแล้วก็ว่าใช่ ความจริงก็ดูจะขาดคุณธรรมไปหน่อย
“ถ้างั้นเราไปหาสำนักหนังสือพิมพ์กัน แล้วค่อยไปติดต่อสถานีโทรทัศน์”
เซียวเซ่อดีใจกระโดดโลดเต้น อยู่ที่อังกฤษมาสามปีอึดอัดจะตายไป โดดเดี่ยวราวกับหิมะ!
สยงมู่มู่และจ้าวเสวียหลินได้ฟังต่างรู้สึกประหลาดใจ เอ่ยถามพวกเขาว่าเกิดอะไรกับภาพถ่ายพวกนั้น ซึ่งแน่นอนว่าเหมยเหมยพูดออกไปไม่ได้ เธอจึงพูดให้ฟังไปเรื่อยเปื่อยแต่ก็ไม่ควรทำให้ผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ทั้งสองต้องแปดเปื้อน
งานเซ็นสัญญาซื้อขายคือวันถัดไปของวันมะรืน เวลาเหลือเฟือเพียงพอให้พวกเขาได้ตระเตรียมการ เพราะงั้นเธอจึงจัดการทุกเรื่องเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่ถึงวันมะเรื่องก็จะมีเรื่องสนุกให้ดูกัน
อาการของคุณย่าแย่ลงไปทุกวัน คุณปู่จึงได้ให้คนไปจัดการเรื่องงานศพไว้แล้ว บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ต่างก็แวะมาเยี่ยมเยียนคุณย่า อย่างไรเสียก็เป็นเหล่าเพื่อนรบกันมาต้องให้เกียรติกันบ้าง
บรรยากาศภายในตระกูลจ้าวอึมครึมมาโดยตลอด เหมยเหมยไม่ยอมอยู่ในบ้านตั้งแต่ช่วงกลางวันแล้ว เธอจะออกไปเดินชอปปิ้งกับเซียวเซ่ออยู่บ่อยครั้ง พาสยงมู่มู่ติดสอยห้อยตามไปด้วยเป็นครั้งคราว
“พรุ่งนี้ก็จะถึงวันงานเซ็นสัญญาของยัยแม่หมีสีตาลแล้วนี่ ช่างน่าตื่นเต้นจริงเลย” สยงมู่มู่ตื่นเต้นดีใจแทบแย่
พวกเขาทั้งสามคนไปเดินเล่นในห้าง พอเหนื่อยจึงนั่งพักในร้านน้ำชาในห้าง พร้อมกับดื่มน้ำชาไปพลาง
“นิ่ง ๆไว้ อย่าประเจิดประเจ้อ” เซียวเซ่อประชดประชันไปหนึ่งประโยค ยกน้ำผลไม้เย็นดื่มจนหมดแก้ว พร้อมกับให้พนักงานเอามาเสิร์ฟอีกหนึ่งแก้ว
สยมู่มู่มองเขาอย่างระอาไปที ก่อนจะรู้สึกดีใจอีกครั้งจึงพูดว่า “จะบอกข่าวดีกับพวกเธออย่างหนึ่ง ชิงชิงจะออกอัลบั้มเร็ว ๆนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเพลงที่ฉันเขียนตั้งสองเพลงเลยนะ!”
เหมยเหมยรู้สึกดีใจไปด้วย “ยินดีกับนายด้วยนะ ครั้งหน้าจะรอนายเป็นคนออกอัลบั้มเอง”
สยงมู่มู่สะบัดผมอย่างภาคภูมิใจ แสดงท่าทีชอบใจ พยายามอยู่หลายปีนับว่าเขาได้มองเห็นแสงสว่างแล้ว
“ตอนนี้พี่ชิงชิงให้คนช่วยหรือทำด้วยตัวเองเหรอ” เหมยเหมยถาม
เธอรู้สึกถูกชะตากับสยงชิงชิงมากเพียงแต่หลายปีมานี้ไม่ค่อยได้เจอกัน แต่กลับเจอบ่อยในรายการโทรทัศน์ หญิงสาวได้ออกจากวงไปเมื่อสี่ปีก่อน ว่ากันว่ามีปัญหาใหญ่โตกับหัวหน้าใหญ่ครั้งหนึ่งและวันถัดมาจึงลาออกอย่างสง่าผ่าเผย
นั่นเพราะสยงชิงชิงต้องการจะออกหน้าเพื่อช่วยน้องสาวที่สนิทสนมกัน ดูเหมือนว่าฝ่ายหัวหน้าต้องการจะตีกรอบให้น้องตนมากไปหน่อยจนทำให้สยงชิงชิงรู้สึกไม่ดี พอเห็นความไม่เป็นธรรมอันนี้เข้าจึงได้ยื่นมือเข้าไปช่วย ซึ่งน้องสาวของตนนั้นกลับไม่ได้ถูกกระทำเช่นนั้น เพียงแต่ชามข้าวเหล็ก[1]ของเธอนั้นถูกทุบจนแหลกไปเสียแล้ว
สี่ปีมานี้สยงชิงชิงมีชีวิตที่ไม่ง่ายเลย ทุก ๆหนแห่งเธอถูกนักร้องนำกีดกัน และก็นับว่าเพิ่งจะหลุดพ้นได้ในช่วงสองปีมานี้ ทั้งยังสามารถมีที่ยืนในแวดวงดนตรี หากพัฒนาไปตามแนวโน้มนี้ขอเพียงแค่เธอไม่ออกนอกลู่ทางก็จะกลายเป็นดั่งดาวจรัสในอีกไม่ช้าก็เร็ว
สยงมู่มู่เอ่ย “ถ้าทำคนเดียวลำบากเกินไป เมื่อปีก่อนพี่ชิงชิงเซ็นสัญญากับค่ายหัวหยู่มีเดีย บริษัทก็ดีต่อเธอไม่น้อย”
หัวหยู่มีเดีย?
เหมยเหมยหัวใจหล่นวูบ นี่ไม่ใช่บริษัทที่อู่เจิ้งซือทำงานอยู่หรอกหรือ?
บอสที่อยู่เบื้องหลังดูเหมือนจะเป็นเหมยซูหาน โลกใบนี้ช่างเล็กนัก เดินไปตรงไหนก็มีแต่คนคุ้นเคย
“ชานมร้านนี้รสชาติไม่เลวเลยล่ะ ฉันจะเลี้ยงพวกเธอเอง” เสียงของผู้หญิงดังแว่วมาจากนอกประตู เสียงที่ได้ยินคุ้นหูนัก
“ซานซานตอนนี้เธอเป็นถึงนักเขียนชื่อดังแล้วนี่ แค่เลี้ยงชานมจะพอได้ไง ฉันไม่เห็นด้วยหรอก” มีคนเอ่ยพูดกลั้วเสียงหัวเราะ
“นักเขียนชื่อดังอะไรกัน เป็นแค่ชื่อเรียกสนุก ๆเท่านั้นเอง กินชานมเสร็จพวกเราค่อยไปกินเคเอฟซีกันต่อ สูบฉันไปขนาดนี้พรุ่งนี้พวกเธอต้องไปร่วมยินดีกับฉันล่ะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ต่อให้พรุ่งนี้ต้องบุกน้ำลุยไฟพวกเราก็จะไป!”
…
เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งแว่วดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหมยเหมยขมวดคิ้วมุ่น แค่มาดื่มชานมยังต้องมาปะทะกับคนที่เกลียดอีก อย่างกับได้เจอสัมภเวสีเลยจริง ๆ!
………………………………………………..
[1] แต่อดีตมา “ชาม” มีความหมายโดยนัยคืองานดำรงชีพที่มีความมั่นคงมากๆ ซึ่งไม่แตกหักง่ายเหมือนชามกระเบื้อง โดยสมัยก่อนงานที่มั่นคงที่สุดคงหนีไม่พ้นงานข้าราชการ