ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 1252 ไม่ฉลาด + ตอนที่ 1253 พูดเป็นต่อยหอย
ตอนที่ 1252 ไม่ฉลาด
“สุดยอดจริง ๆ…เมื่อกี้ฉันลองนับดู…จ้าวเหมยหมุนไปอย่างน้อยประมาณ 50 รอบ คุณไม่มึนหัวเลยหรือคะ?”
พิธีกรได้เรียกเหมยเหมยที่กำลังจะเดินไปเปลี่ยนชุดที่หลังเวทีไว้พลันเอ่ยถามคำถามที่ผู้ชมทุกคนต่างก็อยากรู้ พิธีกรก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน เด็กสมัยนี้เป็นปีศาจมาเกิดกันทุกคนเลยเหรอ?
เกิดมาหน้าตาสวยขนาดนี้ เต้นเก่งขนาดนี้ แล้วยังเขียนนิยาย วาดรูปได้อีก…พระเจ้า หล่อนคิดว่าคนอย่างหล่อนเกิดมามีชีวิตอยู่แค่เพื่อสิ้นเปลืองออกซิเจนไปวัน ๆ
“ไม่เลยค่ะ หมุนไปเรื่อย ๆมันก็ชินเองค่ะ”
เหมยเหมยส่ายศีรษะ แสงไฟบนเวทีสว่างมากส่องจนเธอรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
พิธีกรถามขึ้นอีกว่า “ได้ยินมาว่าคุณจ้าวเหมยเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ไต้ใช่ไหมคะ”
บนหน้าจอได้ปรากฎภาพการแสดงสมัยก่อนของอาจารย์ไต้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีคนพากย์ด้วย ถึงแม้ว่าครูไต้จะไม่ได้ปรากฎตัวต่อหน้าสาธารณชนมาหลายปี แต่ก็มีหลายคนที่ยังจำท่านได้ เห็นครูไต้ในภาพวิดีโอแล้วก็รู้สึกตื้นตันใจ
เหมยเหมยยิ้มพลางพยักหน้าเบา ๆ “ใช่ค่ะ ครูเฮ่อเหวินจิ้งเป็นครูสอนเต้นคนแรกของฉันค่ะ ตอนนี้ท่านอาศัยอยู่ที่อเมริกา ครูเฮ่อก็ยังเป็นครูสอนศิลปะคนแรกของฉันด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นครูไต้ก็ได้มาสอนฉันค่ะ ท่านไม่ได้รังเกียจความโง่เขลาของฉันเลย ท่านเป็นคนที่มีความอดทนสูงมาก”
พิธีกรยิ้มเหยียดใส่ตัวเองพลางพูดว่า “หากคุณโง่แล้ว แล้วฉันจะเป็นตัวอะไรเนี่ย โง่จนไม่มีใครเทียบได้แล้วล่ะ”
ผู้ชมด้านล่างต่างก็หัวเราะออกมาด้วยเช่นกัน พิธีกรถามถึงปัญหาที่มักจะพบเจออยู่บ่อยครั้ง พอเธอเห็นสยงมู่มู่กับอู่เชาที่เพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาจึงถามขึ้นด้วยความสนใจว่า “พวกคุณทั้ง 3 คนเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันใช่ไหมคะ”
“ฉันกับอู่เชาเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันค่ะ ตั้งแต่ประถม มอต้น มอปลาย เราก็เรียนห้องเดียวกันมาตลอด แล้วยังนั่งติดกันด้วย พวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันค่ะ สยงมู่มู่เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน เขากระโดดข้ามชั้นไปไกลแล้วไม่ได้เรียนอยู่ชั้นเดียวกับเราค่ะ”
เหมยเหมยอธิบายความสัมพันธ์ของพวกเขาอย่างง่าย ๆ แสงบนเวทีแยงตาเกินไปจนทำให้หล่อนรู้สึกไม่ดีเลย พิธีกรคนนี้พูดมากจัง
แน่นอนว่าพิธีกรรู้ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสามคนดีอยู่แล้ว แต่ที่ต้องถามก็เพื่อเพิ่มสีสันให้กับรายการเท่านั้น หล่อนพูดอย่างเว่อร์วังว่า “บ้านคุณกรรมพันธุ์ดีจริง ๆเลยนะคะ ทั้งสวยทั้งฉลาด น่าอิจฉามากจริง ๆ”
เหมยเหมยยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ประโยคนี้พูดต่อยาก เงียบไว้น่าจะดีกว่า
ลู่ฮุ่ยมองเหมยเหมยที่กำลังส่องแสงเจิดจรัสบนเวทีด้วยความขุ่นเคือง เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่ตัวประกอบเพื่อมาเป็นตัวประกอบให้กับจ้าวเหมย
ทั้งที่เห็นอยู่ทนโท่ว่าเป็นเจ้าหญิง !
น่าหงุดหงิดชะมัด !
แล้วอีกอย่างพิธีกรก็น่ารำคาญจริง ๆ ถามแต่จ้าวเหมยอยู่นั่นแหละ
หล่อนยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ พิธีกรตาบอดหรืออย่างไร ทำไมถึงไม่เข้ามาสัมภาษณ์เธอบ้างล่ะ
ทั้ง ๆที่เธอก็เก่งมากแท้ๆ แล้วหล่อนก็ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลไป๋ฮวา สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมด้วยนะ
ในที่สุดพิธีกรก็เมตตายอมปล่อยให้เหมยเหมยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังเวที หลังจากนั้นพิธีกรก็กลับมาให้ความสนใจกับทุกคนอีกครั้ง ด้วยการสัมภาษณ์ทั้งหกคนเลย แต่ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของทางทีมงานหรือเพราะพิธีกรค่อนข้างจะชื่นชอบเหมยเหมยมากเป็นพิเศษจึงสัมภาษณ์เหมยเหมยเยอะที่สุด
“จ้าวเหมย คุณมีความสามารถด้านไหนบ้างคะ” พิธีกรวนกลับมาสัมภาษณ์เหมยเหมยอีกครั้ง
ในเมื่อต้องการอยากจะเจิดจรัสอยู่แล้ว เหมยเหมยก็ไม่คิดจะปิดบังความสามารถอะไร ก็เลยตอบไปตามความเป็นจริงว่า “วาดภาพ พู่กันจีน เต้นรำ สามอย่างนี้ละค่ะ ไม่มีอย่างอื่นแล้ว”
“จะมีแค่สามอย่างได้อย่างไรกัน พวกคุณอย่าไปเชื่อเธอนะ เหมยเหมยร้องเพลงเพราะมาก โดยเฉพาะเพลงของเติ้งลี่จวิน สุดยอดมาก เหมยเหมยยังสามารถเล่นกู่เจิง กีตาร์ แล้วก็เปียโนได้ด้วย ฝีมือการทำอาหารของเธอก็สุดยอด แต่เธอไม่ค่อยได้ทำเพราะว่าขี้เกียจมากไปหน่อย”
สยงมู่มู่แย่งพูดขึ้นมา เขาชมเหมยเหมยเสียจนแทบจะลอยขึ้นฟ้าอยู่แล้ว ไม่กลัวว่าคนอื่นจะว่าอวยกันเองหรือไรเลย
ทุกครั้งที่เขาพูด อู่เชาก็จะพยักหน้าอยู่ข้าง ๆ แล้วก็พูดเสริมขึ้นมาเป็นระยะ ๆ ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้จักพวกเขาก็ยังดูออกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาสามคนดีมากขนาดไหน
“ ว้าว คุณเก่งมากจริง ๆ มีความสามารถมากมายขนาดนี้ มีอะไรที่คุณไม่สามารถทำได้บ้างคะ ฉันว่าฉันควรจะถามคำถามนี้กับคุณมากกว่า” พิธีกรรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก ในใจรู้สึกเจ็บปวดบาดลึกเหลือเกิน
“ไม่ฉลาด…” เสียงไม่ได้ดังมากนักแต่ก็พอจะได้ยินอย่างชัดเจน
………………………………………..
ตอนที่ 1253 พูดเป็นต่อยหอย
เหมยเหมยลูบปากของตัวเองพลันนึกว่าพูดความในใจของตัวเองออกมาโดยไม่รู้ตัวเสียอีก แต่ยังดีที่เธอรู้สึกตัวอย่างรวดเร็วว่าคนที่พูดออกไปคืออัจฉริยะข้างตัวเธอต่างหาก——ลี่เมิ่งเฉิน
เหมือนเธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ชะงักลงอย่างกะทันหัน
ถึงแม้เดิมทีก็อยากจะบอกว่าตัวเองไม่ค่อยฉลาด ผลการเรียนไม่ได้ดีมากนัก แต่การว่าตัวเองกับการให้คนอื่นว่าเนี่ย มันก็ให้อารมณ์ไม่เหมือนกันนะ ที่สำคัญที่สุดก็คือ
เธอสัมผัสได้ว่าลี่เมิ่งเฉินกำลังดูถูกเธออยู่
“ลี่เมิ่งเฉินพูดถูกค่ะ หัวฉันค่อนข้างหัวช้า อีกทั้งยังมีอุปสรรคในการเรียนรู้ ผลการเรียนเลยไม่เป็นที่น่าพึงพอใจนัก นี่เป็นเรื่องที่ฉันเสียดายที่สุดเลยค่ะ” เหมยเหมยตอบตามความเป็นจริง แต่ในใจกลับรู้สึกอัดอั้นอย่างบอกไม่ถูก
พิธีกรไม่เชื่อจึงหันไปถามอู่เชา
“ใช่ครับ ตอนที่เหมยเหมยอยู่ ป.5 เธออยู่อันดับสุดท้ายของห้องและมักจะสอบไม่ผ่านอยู่เสมอ แล้วพอหลังจากนั้นเธอก็ค้นพบวิธีการเรียนในแบบของเธอเจอ ผลการเรียนของเธอก็ค่อย ๆดีขึ้นครับ ซึ่งไม่ได้แย่อย่างที่เธอบอก ซึ่งจะอยู่ประมาณกลาง ๆของห้อง” อู่เชาพูดแล้วก็ยิ้ม
พิธีกรถามต่อว่าเหมยเหมยมีผลการเรียนที่ดีขึ้นได้อย่างไร ทำให้เหมยเหมยอยู่ดี ๆก็นึกถึงเหมยซูหานขึ้นมา
ถ้าถามว่าทำไมเธอถึงสามารถเรียนเลขได้ดี คนที่เธอต้องขอบคุณมากที่สุดก็ควรจะเป็นเหมยซูหาน ถ้าไม่ใช่เขาค้นพบว่าเธอมีอุปสรรคในการเรียนรู้ตรงไหน เธอคงจะสอบได้แค่ 8 คะแนนตลอดไป
“มีเพื่อนคนหนึ่งค้นพบอุปสรรคด้านการเรียนของฉันเจอเข้า เขาจึงสอนวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะกับฉันให้ฉันค่ะ ฉันถึงไม่ต้องเป็นที่โหลของห้องอีกต่อไป” เหมยเหมยหัวเราะตลกตัวเอง
8 คะแนน … 18 คะแนน
เป็นความทรงจำที่ไม่น่าคิดย้อนกลับไปเลยจริง ๆ
พิธีกรมองเหมยเหมยด้วยความตกใจ เธอคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวคนนี้จะกล้าพูดความจริงขนาดนี้ ขนาดสอบได้ที่สุดท้ายของห้องยังกล้ายอมรับ ไม่เหมือนคนอื่น ๆที่เธอเคยสัมภาษณ์มักจะพูดถึงแต่เรื่องดี ๆของตัวเองอยู่เสมอ
“เพื่อนของคุณนี่สุดยอดมาก ๆเลยนะคะ เขาต้องเป็นเพื่อนสนิทของคุณแน่เลยใช่ไหมคะ” พิธีกรคิดว่าเป็นอย่างนั้น
เหมยเหมยยิ้มกลบเกลื่อน เพื่อนสนิทเหรอ
เธอกับเหมยซูหานทั้งชาติคงจะไม่มีวันเป็นเพื่อนที่สนิทกันได้
“ไม่ค่ะ ไม่ถือว่าเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ แค่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกันมาก่อน แต่ฉันรู้สึกขอบคุณเขามากนะคะ หวังว่าเขาจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขค่ะ” เหมยเหมยพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกตัวเองเอาไว้
การถ่ายทำรายการกินเวลาไปช่วงครึ่งเช้า ถึงตอนนั้นยังต้องใช้เวลาตัดต่ออีกหนึ่งชั่วโมงถึงจะออกฉายได้ ถ้าหากเรตติ้งสูง ก็อาจจะต้องถ่ายทำต่ออีกหลายตอน แต่ถ้ากระแสไม่แรงมากก็อาจจะมีแค่สามตอนนี้แล้วแหละ
“การได้พบเจอกันถือเป็นโชคชะตา เดี๋ยวกลางวันฉันเลี้ยงข้าวเอง ภัตตาคารไหนในเมืองจินอาหารอร่อยเหรอ ฉันได้ยินคุณปู่บอกว่าเมืองจินมีภัตตาคารที่ชื่อว่าภัตตาคารจุ้ยเซียน ไก่ยัดไส้ห่อใบบัวอบกับหมูพะโล้ของที่นั่นรสชาติดีมาก แล้วก็ยังมีซาลาเปาปูก็อร่อยเหมือนกัน…
แล้วก็ยังมีขนมดอกเหมย เสี่ยวทังเปา ขนมดอกกุ้ยฮวา… ตอนเด็ก ๆฉันมักจะได้ยินคุณปู่พูดถึงของว่างเมืองจินอยู่บ่อยครั้ง ฟังแล้วน้ำลายสอตลอดเลย ครั้งนี้ได้มาเมืองจินฉันจะกินให้เต็มที่ไปเลย ยังดีที่ฉันขอลาหยุดมาหนึ่งอาทิตย์ วันหยุดยังเหลืออีกสี่วัน ฉันจะได้กินเยอะ ๆ…
ทุกคนปิดปากเงียบกริบ
ขนาดไม่มีใครตอบอะไรยังพูดเป็นต่อยหอยได้เป็นชั่วโมงกว่า ถ้าเกิดมีใครตอบอะไรไปละก็ วันนี้คงจะไม่ได้กินข้าวกันแล้ว
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป…
1 ชั่วโมงผ่านไป…
…
ในที่สุด
เฉินเจียก็พูดจบแล้วเขาเช็ดน้ำลายด้วยความพึงพอใจแล้วมองไปที่ทุกคนอย่างตกใจ “ทำไมไม่มีใครตอบคำถามฉันเลยล่ะ พวกเราจะไปกินข้าวกันที่ไหน ที่ภัตตาคารจุ้ยเซียนดีไหม”
ทุกคนก็ยังคงนิ่ง นี่มันอะไรกันเนี่ย
นายเล่นพูดคนเดียวซะหมดโลกแล้ว พวกเรายังจะพูดอะไรได้อีก
พอเห็นว่าเฉินเจียกำลังจะเปิดปากพูดอีกครั้ง เหมยเหมยพูดตัดบทว่า “ก็ไปภัตตาคารจุ้ยเซียนนั่นแหละ นายเดินทางมาไกลให้ฉันเป็นคนเลี้ยงเองแล้วกัน” เฉินเจียเงียบลงด้วยความเสียดาย เขาเพิ่งพูดไปได้แค่ครึ่งเดียวเอง อึดอัดจัง เหมยเหมยทำไมถึงใจร้ายอย่างนี้นะ
………………………………………………..