ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 1262 ดูออกแต่ไม่พูด + ตอนที่ 1263 สู้เว้ย วัยรุ่น
ตอนที่ 1262 ดูออกแต่ไม่พูด
เหมยเหมยมองเห็นสายตาของลี่เมิ่งเฉินที่ฉายแววดูถูกเหยียดหยามไว้อย่างชัดเจน จึงอดไม่ได้ที่จะโมโห
แม้ว่าเธอจะไม่ได้ไอคิวสูงเหมือนไอ้จรวดขี้อวดนี่ แต่เจ้าหมอนี้มีสิทธิ์อะไรมาดูถูกกันแบบนี้?
อย่างแรกคือเธอไม่ได้กินข้าวของเขา อย่างที่สองคือเธอไม่ได้ใช้เงินเขา ต่อให้เธอต้องโง่เป็นหมู เธอก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าบ้านี่แม้แต่นิดเดียว!
“ลี่เมิ่งเฉิน นายคิดว่าตัวเองเก่งกาจนักหรือไง?” เหมยเหมยกัดฟันกรอดพลางเอ่ยถาม
“ก็พอได้ ถือว่าแกร่งกว่าคนบางคนหน่อย” ลี่เมิ่งเฉินแลมีท่าทีเรียบนิ่ง แสดงท่าทีดูภูมิฐาน
สำหรับเขาแล้ว คนธรรมดาบนโลกใบนี้ที่มีความสามารถเกินมาตรฐานอยู่นั้น แท้จริงมีอยู่น้อยไปหน่อย น้อยจนแทบนับนิ้วได้เลย
และแน่นอน การถ่อมตนคือคุณธรรมอันดีงาม ซึ่งเขามีคุณธรรมเป็นเลิศ
เหมยเหมยรู้สึกขุ่นข้องหมองใจ ไม่ต้องถามก็รับรู้ได้ว่าเจ้าหมอนี่ต้องจัดให้เธออยู่ต่ำกว่าคนธรรมดาทั่วไปแน่
“ในเมื่อนายเก่งกาจขนาดนี้ ทำไมถึงดูไม่ออกเลยล่ะ ตอนนี้ฉันไม่ชอบใจ ต่อให้จักรพรรดิหยก[1]ลงมาขอร้องอ้อนวอนฉันก็จะไม่ไว้หน้า นายคิดว่าตัวเองเทียบกับจักรพรรดิหยกได้หรือไง?”
เห็นสีหน้าอันแน่นิ่งของลี่เมิ่งเฉิน จู่ ๆก็หน้าเสียขึ้นมา เหมยเหมยจึงอารมณ์ดีขึ้นมาในชั่วพริบตา พลางยกยิ้มอย่างได้ใจ พร้อมกับฮัมทำนองเพลงเถียนมี่มี่(หวานปานน้ำผึ้ง) และเดินจากไปอย่างมีความสุข
เธอไม่ได้ฉลาด แต่ของอยู่ในมือเธอ เธอไม่เต็มใจจะยกให้แล้วจะทำไมเหรอ!
นายฉลาดนักไม่ใช่หรือไง ถ้างั้นก็ใช้สมองอันชาญฉลาดของตัวเองคิดหาวิธีเอาเองละกัน!
ลี่เมิ่งเฉินสงบลงอย่างรวดเร็ว พลางส่ายหน้าไปมาให้กับตัวเอง ผู้หญิงจัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารำคาญที่สุดในโลก ทำเรื่องใดก็ตามมักจะไม่ใช้สมอง ทำอะไรแค่ตามอำเภอใจเท่านั้น
เมื่ออยู่ในช่วงที่เป็นประจำเดือน ก็มักจะเอาประจำเดือนมาเป็นข้ออ้างปฏิเสธ
พอประจำเดือนหมดก็ไม่คิดจะหาข้ออ้างใดอีก ใช้คำว่า “ไม่ชอบใจ” มาเพื่อตัดบทกันตรง ๆเลย
เป็นผู้หญิงนี่ช่างหัวร้อนเอาแต่ใจเสียจริง!
ลี่เมิ่งเฉินเดินตามไปอย่างติดๆ โดยไม่แม้แต่จะหยุดพูดโน้มน้าวต่อ “เธอคิดดูดีๆ สิ ความลับที่ฉันพูดถึงมันเกี่ยวข้องกับการที่เฮ่อเหลียนเช่อมาเมืองจิน เธอไม่สนใจเรอะ?”
“ไม่สนใจ”
“เฮ่อเหลียนอาจจะทำร้ายเธอได้นะ!”
“เขาคิดจะทำลายฉันมาโดยตลอด ที่นายพูดยังจะนับว่าเป็นความลับอีกเหรอ?” เหมยเหมยปรายตามองอย่างดูแคลน
ลี่เมิ่งเฉินรู้สึกขมขื่น นี่เขาถูกพวกมนุษย์จอมโง่เขลาดูถูกเรื่องความฉลาดงั้นรึ?
“หรือเธอไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดเฮ่อเหลียนเช่อถึงคิดจะทำร้ายเธอ?” ลี่เมิ่งเฉินไม่ยอมถอดใจ
“เขาคิดว่าฉันเป็นศัตรูหัวใจของเขา แต่ความจริงแล้วฉันไม่ใช่” เหมยเหมยอธิบายอย่างหนักแน่น
“ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุผล เขามาเมืองจินครั้งนี้ยังมีจุดประสงค์อื่นอีก” ลี่เมิ่งเฉินนึกได้ใจ คราวนี้เหมยเหมยคงไม่อาจต่อปากต่อคำกับเขาได้แล้วสินะ
แต่เหมยเหมยกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย การที่เฮ่อเหลียนเช่อต้องการฆ่าเธอนั้นไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเพียงวันสองวัน ลี่เมิ่งเฉินอย่าได้คิดจะเอายาวิเศษของเธอไปได้เชียว
“ต่อให้นายมีความลับยิ่งใหญ่เท่าผืนฟ้า ถึงฉันจะอยากรู้แค่ไหนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ฉันไม่ได้มียาวิเศษอย่างที่นายต้องการ นายไปหาประโยชน์แลกเปลี่ยนกับคนอื่นเถอะ” เหมยเหมยปฏิเสธเสียงแข็ง
ยาวิเศษเป็นความลับของเธอ เธอไม่มีทางปล่อยให้ใครรู้ได้แน่ ต่อให้คนอื่นจะสงสัยมากแค่ไหน เพียงแค่เธอไม่ยอมรับ ต่อให้คนอื่นสงสัยมากถึงเพียงไหนก็ไม่อาจทำอะไรได้
แน่นอนว่าลี่เมิ่งเฉินไม่เชื่อ เขาคิดวิเคราะห์มาอย่างหนักจนได้บทสรุปออกมาว่าเหมยเหมยมียาวิเศษอยู่ เขาต้องได้ยาวิเศษนี้ครอบครอง
“นายฉลาดนักไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่ลองคิดดูล่ะว่าหากในมือฉันมียาวิเศษอยู่จริง ทำไมถึงไม่ช่วยคุณย่าล่ะ” เหมยเหมยนึกถึงเหตุผลที่ดีที่สุดได้
ลี่เมิ่งเฉินยิ้มเหมือนเข้าใจบางอย่างเป็นอย่างดี “เธอกับคุณย่าไม่ลงลอยกัน ไม่แน่เธออาจจะอยากให้หล่อนตายไปเร็ว ๆ มากกว่ามั้ง!”
สีหน้าท่าทีของเหมยเหมยเปลี่ยนไป ทั้งยังจ้องเขาไม่วางตา พร้อมกับตะโกนด่าด้วยความโมโห “นายมันพูดจาไร้สาระ อย่าตามฉันมาอีกนะ…”
รำคาญพวกที่มองคนได้อย่าทะลุปรุโปร่งนี่แหละ!
ดูออกแต่ไม่พูด คิดว่าตัวเองฉลาดนักหรือไง?
ลี่เมิ่งเฉินไม่ได้ตามไปแต่อย่างใด เขาทอดสายตามองหลังของเหมยเหมยที่ค่อยๆ หายลับไปอย่างสนใจ ช่างหลอกยากเสียจริง!
น่าเสียดายที่เวลาของเขามีเหลือไม่มาก ต้องคิดหาวิธีแย่งเอายาวิเศษมาให้ได้ในเร็ววัน หรือไม่งั้นเขาคงต้องไปคุยกับเหยียนหมิงซุ่นตรง ๆแล้วล่ะ!
…………………………………………………..
[1] หรืออาจเรียก ทีกง ซึ่งเป็นบุคคลที่ชาวจีนยกย่องให้เป็นประมุขแห่งฟ้า ที่คอยปกป้องเหล่าเทพทั้งหลายอยู่บนพระราชวังสวรรค์
ตอนที่ 1263 สู้เว้ย วัยรุ่น
เฉินเจียกลับไปได้ไม่กี่วัน เซียวเซ่อเองก็กลับอังกฤษ สยงมู่มู่นั้นยังไม่ได้กลับไป เขาวางแผนที่จะอยู่ในประเทศต่ออีกสองสามเดือน เพราะเขาเกิดแรงบันดาลใจในการเขียนเพลงใหม่ นั่นคือการแสดงสตรีทแดนซ์ของเฉินเจียในรายการวันนั้น
“ฉันอยากจะผสมผสานสไตล์การร้องของต่างชาติเข้ามาด้วย แต่งเพลงวัยรุ่นอย่างที่พวกเราชื่นชอบขึ้นมาสักเพลง ฉันอย่างจะลองดู” สยงมู่มู่มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
“สู้เว้ย เซาเหนียน (วัยรุ่น) !”
เหมยเหมยนึกถึงคำพูดที่ใช้ติดปากและเป็นที่นิยมเมื่อชาติก่อนขึ้นมาได้กะทันหัน จึงหลุดปากโพล่งขึ้นมา
สยงมู่มู่ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลูบแขนตนเองที่ขนลุกชันไปมา ๆ ก่อนจะหันไปมองตาขวางใส่เหมยเหมย “เธอบ้าหรือเปล่า เธอต่างหากที่เซา(วุ่นวาย)!”
“เหอะ!”
เหมยเหมยคร้านจะอธิบาย จึงกรอกตามองบนกลับไปให้
รอให้ผ่านไปอีกสักยี่สิบปี เจ้าเด็กนี่ก็จะเข้าใจคำพูดของเธอ แล้วก็จะต้องตกใจไม่น้อยแน่
สยงมู่มู่ซื้ออาหารจำนวนมากมากักตุนไว้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเขียนเพลงใหม่ บอกว่าถ้าเพลงใหม่เขียนไม่เสร็จเขาก็จะไม่ออกไปไหน ส่วนเหมยเหมยนั้นต้องเข้าเรียน ไม่มีเวลามาใส่ใจเขานัก
กาลเวลาผ่านพ้นไปเป็นปกติ เมื่อเวลาล่วงเข้าสู่ช่วงเดือนที่สิบเอ็ด อากาศก็เริ่มหนาวขึ้นอย่างฉับพลัน นับวันก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อย ๆ ใบไม้จากต้นอู๋ถงที่ตั้งตระง่านตามข้างถนน นับวันก็ยิ่งผัดใบจนเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองอร่าม
เมื่อเรียนเสร็จไปได้ครึ่งวัน เหมยเหมยและอู่เซาและเจียงซินเหมยทั้งสามคน เตรียมออกไปร้านอาหารขนาดเล็กที่เปิดใหม่หน้าโรงเรียนเพื่อทานอาหารกลางวัน อาหารในโรงอาหารไม่มีความหลากหลายยังรับได้ แต่ทุกครั้งที่เขาไปซื้อข้าวในโรงอาหารกลับกลายว่าอาหารล้วนเย็นชืดไปหมดแล้ว กินเข้าไปมักรู้สึกไม่สบายอยู่เรื่อย
ถ้าอากาศร้อนก็ยังพอไหว แต่ตอนนี้อากาศเย็นแล้ว กินอาหารที่เย็นชืดเข้าไปแบบนั้นจะทำให้ไม่สบายกระเพาะเอาได้
ไปกินที่ร้านอาหารแม้จะเพิ่มเงินขึ้นมาหน่อย แต่อาหารทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นของร้อนๆ จ่ายเงินเพิ่มหน่อยก็นับว่าคุ้มค่า
“เหมยเหมย มื้อเที่ยงไปกินข้าวที่บ้านลุงสิ”
เดินลงบันไดมาได้ไม่เท่าไหร่ เหมยเหมยก็เจอเหยียนโฮ่วเต๋อ จ้องมองเธอด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม เหมยเหมยขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ เหยียนโฮ่วเต๋อมาตามหาเธอได้อย่างไร?
แต่ก็นับว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่คาดเดาไว้ เมื่อก่อนเหยียนหมิงซุ่นไม่ได้เปิดเผยสถานะ และทุกครั้งที่เขากลับมาก็มักจะถ่อมตัวอยู่เสมอ โดยไม่แม้แต่จะพูดเอ่ยถึงเรื่องในกองเลย แม้แต่คุณตาเหยียนและคุณยายโม่เขาก็ไม่บอกให้รู้
ไม่ว่าจะเป็นคนในตระกูลเหยียนหรือจะเป็นคนในตระกูลโม่ต่างก็คิดว่าเหยียนหมิงซุ่นนั้นเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อยในค่ายก็เท่านั้น ซึ่งแน่นอนสำหรับทหารธรรมดา เป็นทหารมาสามปีก็ยังคงเป็นแค่ทหารธรรมดา ซึ่งนับเป็นเรื่องปกติ
กางปีกโผบินขึ้นฟ้า[1]ต่างหากที่ดูจะไม่ปกติ!
แต่ตอนนี้เหยียนหมิงซุ่นนั้นมีสถานะเป็นถึงบุตรบุญธรรมของเฮ่อเหลียนชิงและยังได้เปิดเผยไปทั่วทั้งเมืองหลวง กระทั่งยังเป็นพิธีการที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่ช้าไม่นานข่าวคราวนี้ก็จะแพร่กระจายมาจนถึงเมืองจิน
แต่เธอนั้นคาดไม่ถึงว่าเหยียนโฮ่วเต๋อจะรู้เข้าเสียแล้ว
“ขอบคุณค่ะลุงเหยียน หนูจะออกไปทานข้าวกับเพื่อน ๆค่ะ ไม่รบกวนบ้านคุณลุงดีกว่า” เหมยเหมยปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม
มีหรือที่เหยียนโฮ่วเต๋อจะยอมปล่อยไปง่าย ๆ วันนี้ไม่ง่ายเลยกว่าที่เขาจะพูดเกลี้ยกล่อมพ่อกับแม่ตนเพื่อพาเหมยเหมยไปร่วมทานข้าวด้วย หากว่าเปลี่ยนเป็นเวลาอื่นพ่อกับแม่ของเขาคงไม่ได้เกลี้ยกล่อมได้ง่ายดายเช่นนี้
หากเปลี่ยนเป็นเลี้ยงข้าวที่ร้านอาหาร เหยียนโฮ่วเต๋อใช้เท้าคิดก็ยังรู้ได้ว่าเหมยเหมยไม่มีทางยินยอมแน่
ลูกสาวคนนี้ของท่านผู้ว่าเข้าข้างลูกทรพีของเขา จะทิศทางไหนก็เห็นเขาขัดตาอยู่ดี ในใจเขานั้นรู้ดีเสียยิ่งกะไร
“ลุงมีเรื่องจะถามหนู ตาเหยียนและยายหยางก็อยากคุยกับเธอด้วยนะ กับข้าวทำเสร็จหมดแล้ว ถือว่าเหมยเหมยเห็นแก่หน้าลุงหน่อยนะ?” เหยียนโฮ่วเต่อเอ่ยเสียงเบา แลดูน่าสงสารนัก
เพื่อนนักเรียนที่สัญจรไปมาต่างก็มองมาที่พวกเขาอย่างแปลกใจ และยังมีครูบางคนที่รู้จักกับเหยียนโฮ่วเต๋อด้วยจึงเดินเข้ามาทักทาย ผู้คนเริ่มพลุกพล่านขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเหมยเหมยไม่ชอบสายตาแปลก ๆพวกนั้นจึงจำใจต้องรับปาก
ถึงอย่างไรเธอก็แค่ไปทานข้าว อย่างอื่นนั้นเธอไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น
คุณยายหยางชื่นชอบเหมยเหมยเอามาก ๆ เธอทำกับข้าวเตรียมไว้มากมาย พอเห็นเธอจึงเข้ามาต้อนรับอย่างอบอุ่นพร้อมกับลากเธอให้นั่งลงทานข้าว เหยียนหมิงต๋าก็อยู่ด้วยแต่กลับไม่ได้ดูร่าเริงเหมือนแต่ก่อน เขาดูเงียบขรึมขึ้นมาก
……………………………………………….
[1] เปรียบเทียบการประสบความสำเร็จได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้น และรวดเร็ว จนทำให้คนอื่นต่างตกใจอยู่ไม่น้อย