ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 1440 เป็นเด็กดี + ตอนที่ 1441 ซึน
ตอนที่ 1440 เป็นเด็กดี
เหมยเหมยที่เจอกับลุงเหลาและป้าฟางจึงเกิดอาการขัดเขิน อายไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า แต่ทั้งคู่ต่างทำเหมือนกับว่าไม่รู้อะไรเลย ท่าทีเป็นธรรมชาติเหมือนปกติทุกอย่าง เหมยเหมยถึงไม่ได้อึดอัดเท่าไหร
กลางคืนหนักเอาเรื่องไม่น้อย เหมยเหมยจึงดูเจริญอาหารมาก กินโจ๊กเข้าไปหนึ่งชาม และยังกินเสี่ยวหลงเปาอีกห้าลูก และภายใต้การเกลี้ยกล่อมของเหยียนหมิงซุ่นจึงกินเกี๊ยวนึ่งเข้าไปอีกสองชิ้น กินจนอิ่มแปร้เลย
“เดี๋ยวพี่ไปส่งเธอไปเรียนเอง เลิกเรียนถ้าพี่ไม่อยู่ ลุงเหลาจะไปรับเธอ” เหยียนหมิงซุ่นหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดคราบมันที่มุมปากให้เหมยเหมย ท่าทางดูคุ้นเคยมาก ทำให้เห็นได้ชัดว่าทำบ่อยจนเป็นกิจวัตรไปเสียแล้ว
แม้ว่าสีหน้าท่าทีของลุงเหลาและป้าฟางจะเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ในใจกลับเลิ่กลั่ก หากไม่ใช่เพราะเห็นเข้ากับตาตัวเอง พวกเขาจะเชื่อได้หรือว่านายน้อยที่ปกติแล้วเย็นชาเข้มงวดขนาดนั้น จะมีด้านที่อ่อนโยนเอาใจใส่แบบนี้ด้วยเล่า?
อีกทั้งหลายวันมานี้นายน้อยหมิงเอาแต่กอดรัดฟัดเหวี่ยงคุณหนูจ้าว เหมือนกับหมาป่าที่ป้อนเท่าไหร่ก็ไม่ยอมอิ่ม ไหนเล่าจะเหลือเคล้าของนายน้อยหมิงผู้ฉลาดปราดเปรื่องอยู่อีก?
พูดง่าย ๆก็คือไม่ต่างไปจากทรราชหน้ามืดที่ทิ้งการงานเพื่อหญิงงามเลยจริง ๆ!
เหมยเหมยเอ่ยค้านเสียงเบา “ฉันปั่นจักรยานไปก็ได้ ระยะทางไม่เท่าไหร่เอง ไม่ถึงกับต้องไปรับ…”
ภายใต้สายตากดดันของเหยียนหมิงซุ่น น้ำเสียงของเธอจึงเริ่มเบาลงเรื่อย ๆ จนสุดท้ายเบาจนแทบไม่อาจจับใจความได้ และจากนั้น “…คือว่า…บ่ายนี้ฉันมีเรียนแค่คาบเดียว สองโมงครึ่งก็เลิกแล้ว…”
“เด็กดี!”
เหยียนหมิงซุ่นดึงแก้มเหมยเหมยอย่างพอใจ เขาไม่อยู่เมืองหลวงก็แล้วไป แต่ตอนนี้เขากลับมาแล้วจะยอมให้ภรรยาของตนปั่นจักรยานไปเรียนได้อย่างไรล่ะ?
และเขาจะต้องจัดการเคลียร์กับทางมหาวิทยาลัยเสียหน่อย พวกคนที่คิดไม่ซื่อพวกนั่นไม่ควรจะใจดีอ่อนข้อให้อีก ควรจะลงโทษอย่างไรก็ควรลงโทษตามสมควร เหตุใดถึงได้หลอกใช้ความใจดีของเหมยเหมยได้?
เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้ขับรถทหารคันนั้นไป รถยี่ห้อนั้นเป็นเป้าสายตาเกินไป เขาแค่ไปส่งภรรยาเข้าเรียน ไม่จำเป็นทำขนาดนั้น
และแน่นอนว่าไม่ควรที่จะขับรถที่ดูจะธรรมดาเกินไป แบบนั้นจะทำให้ภรรยาของตนขายขี้หน้าเอาได้ ซึ่งในท้ายที่สุดเหยียนหมิงซุ่นจึงเลือกขับรถโตโยต้าคราวน์ไป เครื่องยนต์อาจดูแย่กว่าของจ้าวเสวียเอ๋อร์ไปบ้าง แต่ในเวลานี้ถือได้ว่าเป็นรถระดับพรีเมียม
เหยียนหมิงซุ่นขับรถตรงเข้าไปในโรงเรียน ใบรับรองของเขาใช้ได้ทั่วประเทศ ไม่มีใครตาต่ำถึงขั้นกล้ามาขวางทางเขาหรอก!
เหมยเหมยแวะเข้าหอพักก่อน เพราะหนังสือยังอยู่ที่นั่น!
สีอันน่าตื่นแต่เช้าตรู่ หลังจากที่อาบน้ำอาบท่าเสร็จ จึงได้มายืนหวีผมด้วยหวีเขาวัวอยู่ตรงระเบียง เส้นผมของเธอทั้งดำทั้งหนา สีอันน่ารักเส้นผมพวกนี้มาก ทุก ๆวันจะต้องหวีผมเป็นพันครั้งด้วยหวีเขาวัว บอกว่าสามารถทำให้เส้นผมดำและเงางามขึ้นอีก
เหมยเหมยลงจากรถ แต่ก็ยื่นหน้าเขาไปหอมแก้มเหยียนหมิงซุ่นที่อยู่ในรถอีกครั้ง นั่นถึงทำให้เหยียนหมิงซุ่นพึงพอใจไม่น้อย และบอกเหมยเหมยว่าหลังเลิกเรียนให้เป็นเด็กดีรอเขา
สีอันน่าดวงตาว่องไวแค่แวบเดียวก็มองเห็นรถด้านล่าง เห็นว่าเหมยเหมยลงมาจากรถ ประสาทสัมผัสของเธอเด้งขึ้นในทันที เส้นผมอันเป็นที่รักก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไป ดวงตาจับจ้องไปยังด้านล่างอย่างไม่ละสายตา
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนที่พึ่งจะอาบน้ำเสร็จก็เห็นท่าทีประหลาดเช่นนั้นจึงเดินเข้าไปหา สีอันน่าจึงใช้มือป้องปากทำเสียงชู่ ทั้งคู่ต่างแอบอยู่ตรงระเบียงอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ
“อื้อหือ จ้าวเหมยกับผู้ชายในรถนั่นจูบปากกัน…” สีอันน่าอุทานเสียงเบา ใบหน้าเผยถึงอาการตกใจ
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเองก็เบิกตากว้าง อย่ามองว่าปกติเธอพูดเหมือนรู้โลกมามาก ในความเป็นจริงแค่จูงมือกันยังไม่เคยเลย ไร้เดียงสาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!
บัดนี้ทั้งคู่จึงเกิดอาการขัดเขิน ทั้งอยากรู้อยากเห็น และที่มากกว่าคือความตื่นเต้น แอบมองจนออกรสออกชาติ โกรธก็แต่เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน!
“ไปแล้ว…” น้ำเสียของสีอันน่าติดเสียดายอยู่บ้าง จู่ ๆก็ถามด้วยเสียงซุบซุบขึ้นมา “เธอว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครเหรอ? ดูเหมือนว่าจะเป็นคราวน์อีกคันนะ!”
ดวงตาของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนฉายแววเป็นประกาย และเอ่ยตอบอย่างตัดรำคาญ “เธอจะสนทำไมว่าคนอื่นเป็นใคร? เธอนี่เป็นดั่งหมาที่พยายามจับหนู เอาแต่ยุ่งเรื่องชาวบ้านไปทั่ว!”
เธอจึงหันกลับไปหวีผมอย่างรวดเร็ว อย่าคิดว่าเธอจะไม่รู้ว่าสีอันน่าคิดอะไรชั่ว ๆอยู่ เหอะ!
เธอไม่ได้โง่เหมือนถังม่านลี่นะ!
………………………………………………..
ตอนที่ 1441 ซึน
เหมยเหมยเดินขึ้นชั้นบนด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ขณะนี้เพิ่งจะราวเจ็ดโมงครึ่ง ส่วนมากนักศึกษาเพิ่งจะตื่นนอนเลยทำให้บริเวณหน้าตึกหอพักเงียบเหงาอยู่ เหยียนหมิงซุ่นดึงดันจะให้เธอมอบจูบลาให้เขา พอคิดถึงเจ้าคนที่ยิ่งอยู่ยิ่งร้ายเหมยเหมยก็ทั้งโมโหทั้งรู้สึกหวานเจี๊ยบไปทั้งหัวใจ
ทั้งที่เมื่อก่อนเห็นเจ้าหมอนี่เย็นชาราวกับก้อนน้ำแข็ง แต่ใครจะรู้เล่าว่าภายใต้ก้อนน้ำแข็งที่ปิดทับอยู่กลับเป็นหัวใจที่ร้อนระอุยิ่งกว่าลาวาจากภูเขาไฟ!
หรือที่เรียกกันซึน[1]นั่นเอง!
เหมยเหมยบ่นอุบอิบเสียงเบาแล้ววิ่งเหยาะมาถึงห้องพักอย่างรวดเร็ว พวกฉีฉีเก๋อเริ่มทยอยตื่นนอนกันแล้ว สีอันน่ายังคงหวีผมสุดหวงแหนนั่นของเธอ พอเห็นเหมยเหมยพลันตาวาวเผลออ้าปากทีแต่ก็รีบหุบลงอย่างไว
เพิ่งโดนทำโทษวิ่งรอบสนามมาสิบรอบเพราะพูดมากเองนะ!
จะไม่เข็ดหลาบไม่ได้!
แต่หากไม่ถามเธอก็อัดอั้นเหลือเกิน ถามหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง?
ความคิดของสีอันน่าตบกันอยู่ในหัวอยู่นาน ในที่สุดก็อดถามไม่ได้เลยเลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง “จ้าวเหมย คนที่มาส่งเธอเมื่อกี้คือแฟนหนุ่มของเธอเหรอ?”
เหมยเหมยหยิบหนังสือที่ต้องใช้เรียนในวันนี้ออกมาจากตู้หนังสือ แล้วมองมาทางเธอแวบหนึ่งถึงค่อยยิ้มพยักหน้าเบา ๆ “อืม คู่หมั้นของฉัน”
‘แกร๊ง’
คนที่ถือหวี ส่องกระจก ถือถ้วยชาม…ล้วนมืออ่อนทำตกพื้นกันระนาว…ตาโตอ้าปากค้าง มีเพียงฉีฉีเก๋อกับเจิ้งเสวี่ยซานที่นิ่งเฉยราวกับภูเขา
“จ้าวเหมยเธอหมั้นแล้วเหรอ? เรื่องจริงหรือโกหกเนี่ย?” สีอันน่าเอ่ยถามเสียงสูงกว่าเดิมหลายเท่าทำให้ฟังแล้วเสียดหูอยู่บ้าง
“ก็ต้องเป็นเรื่องจริงอยู่แล้วสิ เรื่องแบบนี้มีความจำเป็นต้องโกหกด้วยเหรอ?” เหมยเหมยกลอกตาใส่เธอทีหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์แล้วเอ่ยกับเจิ้งเสวี่ยซานเสียงเรียบ “ช่วงนี้ฉันไม่กลับมานอนหอนะ”
ในเมื่อรู้พื้นหลังครอบครัวของเจิ้งเสวี่ยซาน อีกทั้งผู้หญิงคนนี้ยังมีเจตนาร้ายต่อกัน ดังนั้นเหมยเหมยย่อมไม่มีทางเกรงใจเธออีกต่อไปถึงได้ทำสีหน้าเย็นชาใส่
เจิ้งเสวี่ยซานชะงักไปทีเผยให้เห็นสีหน้าลำบากใจ กำลังจะบอกอีกฝ่ายว่าตามกฎมหาวิทยาลัยแล้วห้ามค้างข้างนอกเหมยเหมยก็พูดเสริมมาอีกประโยคหนึ่ง “ทางมหาลัยอนุญาตแล้ว”
“อนุญาตแล้วก็ดี แต่จ้าวเหมยเธอพักข้างนอกก็ต้องรักษาความปลอดภัยด้วยนะ ระมัดระวังหน่อย”
เจิ้งเสวี่ยซานพูดแฝงนัยยะไว้ เพิ่งบอกไปหยก ๆว่ามีคู่หมั้น ไม่ว่าใครจะได้ยินถ้อยคำของเธอก็ต้องตีความหมายได้ทันที ทุกคนต่างแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ
เจิ้งเสวี่ยซานจงใจพูดเช่นนี้อยู่แล้ว เธอรู้สึกอึดอัดใจเหลือเกิน จะว่าไปเธอก็อยากย้ายไปอยู่บ้านของคุณปู่เหมือนกัน แต่คุณปู่ไม่ยอมขอทางมหาวิทยาลัยให้ หนำซ้ำผู้หญิงคนนั้นก็คงไม่มีทางตอบตกลงด้วย
สุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณปู่ก็ยังคงเป็นลูกของผู้หญิงคนนั้น เธอกับคุณพ่อเป็นเพียงคนที่เขานึกขึ้นได้บางครั้งบางคราวก็เท่านั้น
เหมยเหมยหลุดขำทีแสร้งพูดกลั้วหัวเราะ “ฉันพักที่บ้านฉันต้องระวังอะไรเหรอ? หัวหน้าห้องเจิ้งหัวโบราณเกินไปแล้ว ถึงเธอจะอายุไม่น้อยแต่เธอพูดจาเหมือนแม่ยิ่งกว่าแม่แท้ ๆของฉันสียอีก”
“อุ๊บ”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับฉีฉีเก๋อเอามือปิดปากหลุดขำสองไหล่สั่นระริก พวกสีอันน่าเองทำหน้าขบขัน ความจริงพวกเธอก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เจิ้งเสวี่ยซานพูดแล้วให้ความรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ฟังแล้วเหมือนผู้อาวุโสกำลังตำหนิเด็ก ให้คนฟังรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย
เจิ้งเสวี่ยซานตีหน้าขรึมเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ฉันแค่เตือนด้วยความหวังดี จ้าวเหมยเธอไม่จำเป็นต้องแซะฉันขนาดนี้ก็ได้มั้ง?”
เหมยเหมยเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจแล้วพูดตอบด้วยท่าทีเกินจริง “ฉันแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง หัวหน้าห้องเจิ้งคงไม่ใจแคบขนาดนั้นหรอกนะ? ก็ได้ก็ได้ ฉันขอโทษ เมื่อกี้ฉันพูดผิดเอง ไม่ควรบอกว่าเธอแก่กว่าแม่ของฉัน ขอโทษนะ!”
เธอขยิบตาอย่างซุกซนแล้วกล่าวคำขอโทษที่ไร้ความจริงใจสิ้นดี เจิ้งเสวี่ยซานสีหน้าแย่กว่าเดิมพร้อมสายตาที่ฉายแววเย็นยะเยือก
คนร่วมห้องอื่น ๆก็จับสังเกตถึงความผิดปกติระหว่างจ้าวเหมยกับเจิ้งเสวี่ยซาน พลันนึกแปลกใจว่านี่เพิ่งผ่านวันหยุดสุดสัปดาห์ไปเพียงหนึ่งสัปดาห์เอง ทำไมจ้าวเหมยถึงเจาะจงเล่นงานเจิ้งเสวี่ยซานแล้วล่ะ?
………………………….
[1] ซึน มาจากซึนเดเระ หมายถึงคนที่มีบุคลิกแรกเริ่มเย็นชา ไม่เป็นมิตร แต่ลึก ๆแล้วเป็นคนอ่อนหวาน