ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 1464 ระบำกลอง + ตอนที่ 1465 ขัดต่อประเพณีและศีลธรรมอันดี
ตอนที่ 1464 ระบำกลอง
ก่อนหน้านั้นเหมยเหมยเคยดูวีดิโอระบำกลองของครูไต้มาก่อน ช่างเก่งกาจจนน่าอัศจรรย์ราวกับเทพธิดาเต้นระบำอยู่บนกลอง เธอรู้ตัวเองดีว่าความสามารถเทียบเท่ากับคุณไต้ไม่ได้เศษเสี้ยวเลย แต่ก็มีความมั่นใจมากพอที่จะเอาชนะลาตินอะไรนั่นของโฮ่วเซิ่งหนานแน่นอน
“ระบำกลองคือระบำอะไรเหรอ?” ฉีฉีเก๋อแปลกใจมาก ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
เหมยเหมยเผยรอยยิ้มบาง ๆ “ถึงเวลานั้นเธอก็รู้เอง”
ตอนนี้เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนกว่าก็จะถึงวันงานเลี้ยงต้อนรับซึ่งเพียงพอที่เตรียมตัว
พอฉางชิงซงรู้ว่าเหมยเหมยจะเข้าร่วมแสดงในงานเลี้ยงต้อนรับ อย่าให้เอ่ยเลยว่าดีใจแค่ไหน เขารู้อยู่แล้วว่าให้คนแพร่ข่าวเรื่องที่โฮ่วเซิ่งหนานร่วมแสดงด้วย ดาวมหาวิทยาลัยคงไม่นิ่งนอนใจแน่!
ผู้หญิงสองคนสู้กันเพื่อแย่งผู้ชายคนเดียว หากไม่ใช่ลมตะวันออกพัดลมตะวันตกให้ล้ม ก็คงเป็นลมตะวันตกที่พัดลมตะวันออกให้ล้มลง!
คิดไปคิดมางานเลี้ยงต้อนรับที่จัดขึ้นในปีนี้จะต้องครึกครื้นแน่!
ที่เหมยเหมยไม่รู้คือข่าวคราวที่เธอจะแสดงระบำกลองนั้นได้ถูกป่าวประกาศไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัย จากเดิมพวกนักศึกษาปีแก่ที่ไม่ได้สนใจต่องานเลี้ยงต้อนรับนี่เท่าไร แต่ทุกคนต่างก็เหมือนกับฉีดเลือดไก่[1]ก็มิปาน
“ระบำกลองคืออะไร?”
“เหมือนกับจ้าวเฟยเยี่ยนที่ยืนอยู่บนแผ่นเงินแล้วโบยบินไปตามสายลมใช่ไหม?”
“เจ้าโง่ อันหนึ่งคือกลอง อีกอันคือแผ่นเงิน สิ่งของแตกต่างกันแล้วจะไปหาคนที่แข็งแกร่งพอจะแบกดาวมหา’ลัยได้จากที่ไหนเล่า?”
“มามามา…พนันกัน เรามาพนันกันว่าอาจารย์เจสสิก้ากับดาวมหา’ลัย ใครจะเต้นได้ดีจนดึงดูดผู้คนมากกว่ากัน?”
“ฉันพนันเจสสิก้า!”
“ฉันพนันดาวมหา’ลัย!”
…
เหมยเหมยทำราวกับไม่ได้ยินเรื่องเหล่านี้ ทุกวันนี้เธอยุ่งจนหัวหมุน ทั้งเรียน วาดภาพ ไหนจะซ้อมเต้นอีก…ตกดึกยังต้องอยู่กับเหยียนหมิงซุ่น เธอแทบอดใจไม่ไหวที่จะแยกร่างออกเป็นสามส่วน
“งานเลี้ยงต้อนรับคือวันไหน? ถึงเวลานั้นพี่จะไปดู” เหยียนหมิงซุ่นบีบ ๆ นวด ๆขาให้เหมยเหมย แอบฉวยโอกาสเอาเปรียบเธออย่างเปิดเผย
“ต้นเดือนหน้า…ซี๊ด…เบาหน่อยสิ…” เหมยเหมยกัดผ้าปูที่นอนไว้พร้อมกับเปล่งเสียงร้อง ไม่ได้ฝึกซ้อมมาช่วงหนึ่ง กระดูกและข้อต่อแข็งไปหมด
เหยียนหมิงซุ่นไม่เข้าใจเลยว่าเจ้าตัวแสบกำลังคิดอะไรอยู่ หากตามแผนของเขา โฮ่วเซิ่งหนานคงได้ถูกไสหัวออกจากมหาวิทยาลัยไปตั้งนานแล้ว แต่เหมยเหมยกลับไม่เห็นด้วย เอาแต่บอกว่ารอให้ผ่านพ้นช่วงงานเลี้ยงต้อนรับไปก่อนถึงจะยอมให้ผู้หญิงคนนั้นออกไป
ทั้งยังบอกว่าจะมอบของขวัญส่งท้ายที่ยากจะลืมให้กับผู้หญิงคนนั้นด้วย!
จิตใจของผู้หญิงนั้นยากแท้หยั่งถึง แม้แต่เจ้าตัวแสบของเขายังกลายเป็นดั่งเข็มในมหาสมุทร
ในเมื่อเหมยเหมยเตรียมตัวที่จะให้ตัวเองโดดเด่นในงานเลี้ยงจึงเป็นธรรมดาที่จะตระเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อม ชุดเต้นและกลองเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุด และหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือกลอง กลองใหญ่ตัวหนึ่งที่รับน้ำหนักคนยืนได้ และยังมีกลองเล็กอีกแปดตัว เพียงแค่นี้ก็ดูใหญ่โตโอ่อ่าแล้ว
แต่มีเหยียนหมิงซุ่นอยู่ทั้งคนนี่ เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แค่เหยียนหมิงซุ่นออกคำสั่งไม่ถึงสามวันก็ยืมกลองมาจากคณะระบำของเมืองหลวงมาได้
วันเวลาผ่านพ้นไปในแต่ละวันระบำของเหมยเหมยก็ฝึกซ้อมได้ดีมากพอ เพียงไม่นานวันงานเลี้ยงต้อนรับก็ล่วงเลยมาถึง
งานเลี้ยงต้อนรับปีใหม่จัดขึ้นในหอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยในช่วงบ่าย เหมยเหมยเปลี่ยนมาสวมชุดระบำสีแดงสดซึ่งเป็นชุดที่ยืมมาจากคณะระบำ เหยียนหมิงซุ่นยังได้ยืมช่างแต่งหน้าของที่นู่นมาด้วย เพื่อแต่งหน้าให้เหมยเหมยจะได้ขึ้นเวทีอย่างงดงาม
เฮ่อเหลียนชิงว่าง ๆอยู่ในสวนฟาร์มจนรู้สึกเบื่อ ช่วงนี้เห็นเหยียนหมิงซุ่นไม่ค่อยทำการทำงานเท่าไหร่นัก เอาแต่เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับคณะระบำ พอสอบถามจนรู้ความที่แท้ก็ทำเพื่อนางเด็กบ้านั่น และได้ยินมาอีกว่าเตรียมตัวแสดงระบำกลองอะไรนั่น เฮ่อเหลียนชิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนใจ
เมื่อก่อนเขาเคยเห็นไต้ผิ่นเหลียนทำการแสดงระบำกลองมาก่อน นึกไม่ถึงว่านางเด็กบ้านี่จะกล้าท้าทายการเต้นที่มีความยากในระดับนี้ได้ ถึงเวลานั้นจะต้องอับอายขายขี้หน้าเป็นแน่!
เมื่อเป้าหมายคือการรอดูเหมยเหมยขายขี้หน้า เฮ่อเหลียนชิงจึงมาที่มหาวิทยาลัยด้วยความตื่นเต้น นั่นแทบจะทำให้อธิการเป็นโรคหัวใจได้ ไม่อาจรู้เลยว่าท่านผู้นี้มาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร
“คุณอย่ามานั่งข้างผม ไปนั่งที่อื่น อย่าให้คนอื่นรู้ว่าผมมาที่นี่สิ” เฮ่อเหลียนชิงปัดป่ายมืออย่างรังเกียจ ไม่ยอมให้อธิการนั่งขวางหูขวางตาข้าง ๆเขา
อธิการอึดอัดใจ…
โธ่พ่อคุณ ที่นั่งที่อยู่ใต้ก้นคุณก็คือนั่งของอธิการอย่างผมไงล่ะ!
………………………………………………….
ตอนที่ 1465 ขัดต่อประเพณีและศีลธรรมอันดี
ที่คอของเหยียนหมิงซุ่นแขวนกล้องถ่ายรูปเอาไว้และมัวยุ่งอยู่ด้านล่างเวที เขากำลังมองหาที่ที่เหมาะต่อการถ่ายวิดีโอ อีกเดี๋ยวจะต้องถ่ายเก็บภาพความงดงามของภรรยาตัวน้อยของตนเอาไว้
“แกนั่งลงจะได้ไหม ขยับไปขยับมาอยู่ได้ ตาลายหมดแล้ว!” เฮ่อเหลียนชิงตวาดออกมาอย่างไม่พอใจ
ตั้งแต่เข้าหอประชุมมาจนถึงตอนนี้ เจ้าเด็กบ้านี่ไม่ยอมหยุดนิ่ง ใช่ว่าจะไม่มีกล้องถ่ายเสียหน่อย ไม่เห็นด้านข้างที่มีพวกนักข่าวกระโดดโลดเต้นไปทั่วเหมือนกับลิงหรือไง?
เฮ่อเหลียนชิงจึงอดไม่ได้และพูดอีกครั้ง “เรื่องพรรณนี้จำเป็นต้องลงมือทำเองหรือ? อีกเดี๋ยวหานักข่าวสักคน แล้วก็เอากล้องอัดวิดีโอมาก็ได้แล้วไม่ใช่หรือไง?”
เหยียนหมิงซุ่นไม่แม้แต่จะหันกลับ ยังคงตามหาที่ที่เหมาะกับการถ่ายวิดีโอและพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบ “คนอื่นถ่ายไม่ดีเท่าผมถ่าย อีกอย่างเหมยเหมยกำชับไว้ด้วย ว่าผมต้องถ่ายเองกับมือ”
แม้สีหน้าของเขาจะไร้ซึ่งอารมณ์ แต่เฮ่อเหลียนชิงกลับมองเห็นถึงความภาคภูมิใจและการโอ้อวดที่ปรากฏบนใบหน้าของเหยียนหมิงซุ่น ในใจจึงเกิดรู้สึกไม่พอใจจึงบ่นพึมพำไปที
“รังเกียจ!”
เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้สนใจเขาแต่กลับวิ่งไปหลังเวที ระบำกลองของเหมยเหมยถูกจัดไว้ในลำดับที่สิบ แต่ลาตินแดนซ์ของโฮ่วเซิ่งหนานถูกจัดเป็นลำดับแรก อีกสักพักการแสดงก็จะเริ่มขึ้นแล้ว
เขาไม่ได้สนใจที่จะดูยัยผู้หญิงโรคจิตนั่นแสดง ไปหลังเวทีเพื่อดูภรรยาคนสวยของตนไม่ดีกว่าอีกหรือ
ผ้าม่านบนเวทีค่อย ๆลากเปิด พิธีกรชายหญิงสองคนเปี่ยมด้วยท่าทีกระปรี้กระเปร่าได้เดินขึ้นมาบนเวที
พิธีกรชายคือประธานสโมสรสุนทรพจน์ของสีอันน่า เดือนมหาวิทยาลัยเมืองหลวงนามว่าจ่านเฟยไป๋ พ่อแม่ล้วนเป็นศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัย ประวัติครอบครัวนับว่าไม่เลวและตัวเขาเองก็โดดเด่นไม่น้อย ดังนั้นถึงได้ใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้อย่างสำเร็จรุ่งเรือง
พิธีกรหญิงนั้นเป็นบุคคลที่แสนจะคุ้นเคย นั่นก็คือดาวมหาวิทยาลัยที่ถูกเหมยเหมยเข้ามาแทนที่อย่างฮวาเซียวเวย
“เรียนอาจารย์ที่เคารพทุกท่าน และสวัสดีเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆที่น่ารักทุกคนครับ งานเลี้ยงต้อนรับร่วมด้วยงานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ได้เริ่มขึ้นแล้ว!” น้ำเสียงดั่งท่วงทำนองอันไพเราะและเต็มไปด้วยแรงดึงดูดของจ่านเฟยไป๋ดังขึ้น
เซียวเวยเผยรอยยิ้มหวานเยิ้ม น้ำเสียงไพเราะยิ่งกว่า “การแสดงแรกของงานเลี้ยง คือการแสดงเต้นรำแบบลาติน นำโดยมิสโฮ่วผู้งดงามสูงส่งใจกว้างของพวกเรา ทุกคนขอเสียงปรบมือต้อนรับหน่อยค่ะ!”
เหมยเหมยที่อยู่หลังเวทีได้ยินเข้าจึงนึกเย้ยหยัน ยัยเซียวเวยที่ประจบสอพลอได้อย่างไม่มีระดับเอาเสียเลย
งดงามสูงส่งใจกว้าง?
ยัยลิงปากม้านั่นคู่ควรเสียที่ไหน?
แต่นักเรียนด้านล่างเวทีกลับชอบใจกับคำพูดเหล่านี้ เสียงปรบมือราวกับน้ำท่วมดังขึ้นและรวมกับเสียงหวีดปากอีกหลายครั้ง
สงครามระหว่างอาจารย์เต่าทะเลคนสวยกับดาวมหาวิทยาลัยคนสวยเจ้าถิ่น เป็นข่าวลือที่เล่าขานกันไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัยอยู่พักใหญ่ บางคนถึงขั้นเปิดพนันเกมกันเป็นการส่วนตัว พนันว่าใครจะแสดงได้ดีกว่ากัน
และนี่ก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้งานเลี้ยงต้อนรับในปีนี้มีผู้ชมเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
ใครไหนเล่าจะไม่อัดอันจนมาถึงตอนนี้?
เพียงแค่อยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วลมตะวันออกจะเก่งกาจกว่าหรือลมตะวันตกจะดุเดือดกว่ากัน?
เสียงดนตรีดังขึ้น โฮ่วเซิ่งหนานและพอลเดินออกมาตามจังหวะดนตรี ยังไม่ทันได้เริ่มการแสดง เสียงปรบมือก็ดังขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง
เพราะโฮ่วเซิ่งหนานแต่งตัวได้เซ็กซี่เป็นอย่างมาก
เศษผ้ายาว ๆหลายชิ้นถูกเย็บเข้าติดกับสายเดี่ยวกระโปรงสั้นที่ห่อหุ้มแค่ส่วนสะโพกเท่านั้น พอหมุนตัวก็เผยให้เห็นถึงง่ามก้น และบนแถบผ้ายังประดับด้วยแผ่นทองวาวที่ส่องประกายวับวาว ภายใต้แสงไฟของเวทีที่ส่องเล่นไฟระยิบระยับ ทำให้รู้สึกแสบตามาก
เฮ่อเหลียนชิงขมวดคิ้วแน่น หันไปด้านข้างเพื่อบ่นพึมพำกับเสี่ยวเหมิง “เศษผ้าพวกนี้ได้มาจากไหน? ใส่กับไม่ใส่นี่ต่างกันอย่างไรเหรอ? ฉันบอกแล้วว่าไม่ควรไปประเทศทุนนิยม ดูสิ่งที่ร่ำเรียนมาสิ!”
เขาเป็นพวกพรรคบอลเชวิคผู้แน่วแน่ สิ่งที่ไม่เข้าตาเขาที่สุดก็คือพวกงานเลี้ยงของประเทศทุนนิยม และแน่นอนว่ารู้สึกขัดตากับชุดเศษผ้าของโฮ่วเซิ่งหนานเป็นอย่างมาก
เฮ่อเหลียนชิงจึงนึกถึงคำพูดพวกนั้นของเหยียนหมิงซุ่นขึ้นมาอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะคิดพิจารณาต่อโฮ่วเซิ่งหนานใหม่
หากว่าที่เหยียนหมิงซุ่นพูดนั้นเป็นความจริง ผู้หญิงที่ขัดต่อประเพณีและศีลธรรมอันดีอย่างโฮ่วเซิ่งหนาน แท้จริงแล้วเทียบไม่ได้กับนางเด็กบ้านั่นแม้แต่นิดเดียวเลย!
………………………………………………………….
[1] เป็นคนเชื่อทางแพทย์แผนจีนยุค 60 ที่มองว่าการฉีดเลือดไก่เข้าไปจะทำให้มีอาการคึก เลือดลมสูบฉีด หน้าแดง ภายหลังจึงกลายเป็นสำนวนที่ใช้เปรียบคนที่มีอาการคึก และตื่นเต้น