ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 1520 ขับไล่ + ตอนที่ 1521 จัดทำนิทรรศการภาพวาด
ตอนที่ 1520 ขับไล่
เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้บอกเหมยเหมยเรื่องหนังสือพิมพ์ นายใหญ่เรียกจ้าวหวายซานมาคุยด้วยพักหนึ่ง ว่ากันว่าตอนที่จ้าวหวายซานออกมา ยังไม่ทันทำอะไรก็ตกม้าตายเสียก่อน ผลกระทบที่ชายชราผู้นี้ได้รับคงไม่น้อยเลย
แต่ไม่ควรเห็นใจเลยสักนิด
พอลและไฟซาลถูกขับไล่ออกจากมหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่ทันแม้แต่จะยื่นเรื่องพิจารณากลับถูกสถานทูตของประเทศตนรับตัวกลับไป เชื่อว่าช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกเขาไม่มีทางราบรื่นแน่นอน
ตามที่ศาสตราจารย์อาวุโสพูดสองคนนี้ไม่ได้โชคดีไปกว่าโฮ่วเซิ่งงหนานที่ติดเชื้อไวรัส HIV ธรรมดาเลย ไม่เกินหนึ่งปีก็จะมีอาการกำเริบ และตอนนี้ยังไม่มียารักษาโรคเอดส์เฉพาะซึ่งนั่นก็เท่ากับเป็นนักโทษประหาร
ชีวิตก้าวเข้าสู่การนับเวลาถอยหลัง ผ่านพ้นไปหนึ่งวันก็นับว่าเป็นกำไรแล้ว!
ส่วนโฮ่วเซิ่งงหนาน เมื่อตระกูลโฮ่วรู้ว่าเธอเป็นโรคเอดส์ ไหนเล่าจะกล้าให้เธอเข้าบ้าน แม้แต่ข้าวของของเธอก็โยนทิ้งนอกบ้าน นายใหญ่ยังคงห่วงเรื่องหน้าตาอยู่บ้าง แต่คุณผู้หญิงที่ไม่ชอบใจโฮ่วเซิ่งงหนานมานานแล้วก็อาศัยครั้งนี้หลบพ้นจากหล่อนได้สักที
คุณผู้หญิงพูดกับนายใหญ่เช่นไรใครเล่าจะรู้ แต่ก็ยืนยันได้ว่าโฮ่วเซิ่งงหนานได้สูญเสียนายใหญ่ที่เป็นดั่งภูเขาพักพิงให้เธอไปเรียบร้อยแล้ว เพราะนายใหญ่สั่งให้เธอกลับต่างประเทศไปเสีย หากจะสร้างความพินาศก็ให้ไปทำกับชาวต่างชาติ พ่อแม่ตายก็ไม่ต้องกลับประเทศ
เท่ากับว่าเป็นการขับไล่โฮ่วเซิ่งงหนานทางอ้อม
แต่นายใหญ่ประนีประนอมให้ระยะเวลาโฮ่วเซิ่งหนานนานกว่า ซึ่งต่างจากพอลและคนอื่นที่ซึ่งแม้แต่ช่วงเวลาเก็บข้าวของก็ไม่มีให้ ช่วงที่ไฟซาลจากไปมือเท้ายังไม่ทันสมานแผลหายดีด้วยซ้ำ
จนถึงตอนนี้ถังม่านลี่ยังไม่กลับสู่สภาวะปกติเลย ดูงงงวยทึ่มทื่อ ไม่พูดไม่จา เอาแต่เหม่อลอยอยู่บนเตียง สภาวะจิตใจไม่ปกติมาก ๆ
“จ้าวเหมย เธอพูดความจริงกับฉันมา มิสโฮ่วเป็นซิฟิลิสหรือหนองใน? ถังม่านลี่ติดเชื้อไปด้วยใช่ไหม?” ช่วงพักกินมื้อเที่ยง เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกระซิบกระซาบถามข้างหูเหมเหมยอย่างลับ ๆล่อ ๆ
เธอทนมาตั้งหลายวันแล้วนะ!
เหมยเหมยเหลือบมองเธอทีหนึ่งก่อนจะพูดล้อเล่นว่า “เธอก็เข้าใจเยอะเหมือนกันนี่!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนหัวเราะคิกคักโดยไม่สามารถแสดงท่าทีหยาบคายออกมาได้ “บนเสาไฟฟ้ามีแผ่นโฆษณาเล็ก ๆนั่นเต็มไปหมด ไม่อยากรับรู้คงยาก”
“ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ เป็นเชื้อไวรัส HIV นั่นก็คือโรคเอดส์ พวกเธอรู้ใช่ไหม?” เหมยเหมยไม่ได้ปิดบัง
ฉีฉีเก๋อฟังไม่เข้าใจ เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกลับตกใจจนถาดเกือบหล่นคว่ำ ใบหน้าอ้วนกลมซีดเซียว ตะโกนขึ้นอย่างร้อนรน “ไม่ได้ ฉันต้องกลับไปอยู่ที่บ้าน ไม่สิ ต้องย้ายมหาวิทยาลัย จำเป็นต้องย้ายมหาวิทยาลัย อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว…”
โรคเอดส์เลยนะ!
หากติดเชื้อก็เท่ากับตาย!
เธอยังเป็นวัยรุ่นสดใสวัยแรกแย้ม แม้แต่รสปากของผู้ชายเป็นแบบไหนยังไม่ทันได้ลิ้มลองเลย หากต้องมาตายเพราะเรื่องนี้ มันช่างไร้ความอยุติธรรมยิ่งกว่าโต้วเอ๋อ[1]เสียอีก!
“เธอจะลนลานไปทำไม? ถังม่านลี่ไม่เป็นไร สองคนนั้นที่เป็นก็ถูกส่งตัวกลับประเทศไปแล้ว มหาวิทยาลัยของเราปลอดภัยดี” เหมยเหมยจ้องเธอเขม็งอย่างไม่สบอารมณ์ ฟังเสียงลมเป็นฝน นิสัยแบบนี้นี่ช่าง…
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนได้ยินว่าไม่เป็นไรจึงวางใจทันทีแล้วนั่งลงกินข้าวอีกครั้ง ฉีฉีเก๋อที่นั่งอยู่ข้าง ๆยังคงมึนงง ไม่เข้าใจถึงความกลัวของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเลยสักนิด
ความไม่รู้บางครั้งนับว่าเป็นความสุขแหละเนอะ!
เหมยเหมยไม่ได้ใส่ใจถังม่านลี่สักนิด เส้นทางเบื้องหน้าเธอเป็นคนเลือกเอง จะเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องหรือบนเส้นทางที่เต็มด้วยขวากหนามล้วนเป็นสิ่งที่เธอเลือกเอง ไม่อาจโทษคนอื่นได้ ต่อให้นึกเสียใจก็เปล่าประโยชน์
ข่าวลือในโรงเรียนมีอยู่มาก ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นข่าวที่กระทบกับนักศึกษาหญิงอย่างถังม่านลี่ มีจำนวนคนอยู่มาก แค่ในมหาวิทยาลัยก็มีเป็นจำนวนยี่สิบคนแล้ว ล้วนแต่เป็นสาวน้อยวัยรุ่ยหน้าตาสะสวย กระทั่งมีบางคนเคยทำแท้งค์ นักเรียนหญิงบางคนรับไม่ได้กับข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆจึงแอบลาออกแล้วกลับบ้านไป
อันที่จริงพึ่งพาตัวเองก็สามารถมีชีวิตในอุดมคติได้แต่ผู้หญิงพวกนี้กลับคิดไม่ได้ คิดแค่จะทำลายตัวเอง ไม่น่าเห็นใจเลยสักนิด
เพียงชั่วข้ามคืนโฮ่วเซิ่งหนานจากเจ้าหญิงผู้สูงส่งก็ตกร่วงไปอยู่ในโคลนตม ไม่มีเลยสักคนที่จะคอยยื่นโบกมือให้เธอ แม้แต่เถียนมู่ยังตกใจกลัวจนต้องบินกลับญี่ปุ่นไปทันที
ยามนี้ไม่มีแม้แต่เงาของเพื่อนพ้องน้องพี่ในวันวาน ไหนยังต้องคอยแบกรับการเยาะเย้ยจากคนอื่นไม่ซ้ำหน้า มีหรือที่โฮ่วเซิ่งงหนานจะยอมรับได้จึงเกลียดเหมยเหมยเข้ากระดูกดำยิ่งกว่าเดิม เธอรู้สึกว่าความโชคร้ายในตอนนี้ล้วนเป็นนังจ้าวเหมยที่นำพามาให้
………………………………………………………….
ตอนที่ 1521 จัดทำนิทรรศการภาพวาด
อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ เหมยเหมยเองก็เริ่มจะยุ่งมากขึ้นจึงไม่ได้สนใจคนอย่างโฮ่วเชิ่งหนานอีกต่อไป
ได้ยินจากเหยียนหมิงซุ่นว่าโฮ่วเชิ่งหนานยังอยู่ที่เมืองหลวง ทว่าเอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหน ไม่เหมือนกับแต่ก่อนที่ชอบออกมาเที่ยวระเริงคงเพราะไม่อาจสู้หน้าใครได้ เหยียนหมิงซุ่นจึงส่งลูกน้องสองคนคอยจับดูเธอไว้ ตราบใดที่ผู้หญิงคนนี้ยังไม่ออกไปจากเมืองหลวง ก็ไม่มีวันไหนที่จะทำให้วางใจได้เลย
จ้าวอิงหัวสองสามีภรรยามาถึงเมืองหลวงแล้ว เหยียนซินหย่าไม่แม้แต่จะทำความสะอาดบ้าน มาถึงก็มัวยุ่งอยู่แต่กับงานนิทรรศการภาพวาด เหมยเหมยสงสารผู้เป็นแม่จับใจจึงคอยประกบตามเป็นลูกมือให้ ยุ่งจนหัวหมุนไปด้วย
ส่วนจ้าวอิงหัวนั้นยุ่งกว่าพวกเธอมาก ตำแหน่งงานใหม่ของเขาเป็นงานที่ต้องรับผิดชอบการนำเข้าและส่งออกสินค้า ฮวาเซี่ยในปี 1990 เพราะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าหรือส่งออก ฮวาเซี่ยถือได้ว่ามีส่วนแบ่งของโลกที่มากพอตัว ซึ่งไม่อาจดูถูกได้เลย
เพราะเหตุนี้ตำแหน่งของจ้าวอิงหัวจึงสำคัญมาก ข้าราชการคนใหม่ก็ล้วนจะต้องทำงานบางอย่างเพื่อแสดงศักยภาพในตัวเองออกมา เขาเพิ่งคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของงานได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกส่งไปสำรวจงานในต่างประเทศ ใช้เวลาอยู่บนเครื่องบินมากกว่าอยู่บ้านเสียอีก
แม้จ้าวอิงหัวมีใจอยากจะอบรมสั่งสอนลูกสาว แต่เขาไม่อาจแยกร่างออกไปทำสิ่งอื่นได้เลย มีใจอยากทำแต่เกินความสามารถที่จะทำได้
ส่วนเหยียนซินหย่ามองเหยียนหมิงซุ่นเป็นลูกเขยไปแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นคนพูดง่าย อีกทั้งในหนึ่งวันเธอแทบอยากจะนอนในหอนิทรรศการตลอด 24ชั่วโมง จึงไม่มีอารมณ์จะสนใจลูกสาวนัก
ดังนั้นการที่คู่รักอย่างจ้าวอิงหัวจะกลับมาหรือไม่ ชีวิตของทั้งคู่นั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก
ยามค่ำคืน เหยียนหมิงซุ่นสวมกอดภรรยาของตนไว้พลางยิ้มพอใจ
นับจากนี้ต้องให้จ้าวอิงหัวบินทุกวัน!
เพื่อชีวิตที่มีความสุขของเขาและเหมยเหมย คงต้องทรมานว่าที่พ่อตาแม่ยายในอนาคตเสียแล้ว!
ถึงอย่างไรคู่สองสามีภรรยาคงไม่มาใส่ใจเรื่องเจอกันน้อยจากกันมากในช่วงหนึ่งถึงสองปีนี้หรอก!
นิทรรศการภาพวาดกำหนดจัดในวันที่ 5 ธันวาคมเป็นระยะเวลาสิบวัน ทางด้านเหยียนซินหย่าตระเตรียมงานอย่างขันแข็ง นำผลงานตลอดชั่วอายุของเหยียนตานชิงทั้งหมดมาที่เมืองหลวงและจัดแบ่งหมวดหมู่เป็นอย่างดี
ครั้งนี้เหยียนซินหย่าตั้งใจจะจัดแสดงผลงานทั้งหมดของพ่อให้โลกได้เห็น ไม่ใช่แค่เพียงภาพวาด แต่ยังมีความเรียง ต้นฉบับการแปล ศิลปะภาพวาดบนกำแพงของเหยียนตานชิงเป็นต้น เธออยากให้โลกรู้จักตัวตนที่แท้จริงของพ่อ ซึ่งไม่ใช่อาจารย์เหยียนในตำนาน
เจิ้งซื่อหลินและคนอื่น ๆต่างก็ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว เหมยเหมยรู้ดีว่าพวกเขาไม่มีทางนิ่งดูดายแน่ เพียงแค่ไม่รู้ว่าครั้งนี้พวกเขาจะทำเช่นไร เหมยเหมยไม่กล้าประมาทจึงให้เหยียนหมิงซุ่นส่งคนไปจับตาดูสามคนนี้มาตลอด
งานนิทรรศการใกล้เข้ามาแล้ว เหมยเหมยขอลาโดยเฉพาะเพื่อไปช่วยงานที่หอนิทรรศการ เมื่อสามวันก่อนมีคนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ล้วนมาจากแวดวงวรรณกรรมและศิลปะและประชาชนทั่วไป แล้วยังมีนักข่าวคนดังจากสื่อต่าง ๆด้วย ทำให้หอนิทรรศการเนืองแน่นจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ไม่อาจไหลผ่านไปได้
“คุณเหยียน ทำไมคุณปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนหลายปีถึงได้ตัดสินใจจัดนิทรรศการภาพวาดของอาจารย์เหยียน?” มีนักข่าวถามขึ้น
เหยียนซินหย่าอมยิ้มเล็กน้อยเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “เพราะว่าหลายปีมานี้ฉันคัดแยกผลงานของคุณพ่อที่ยังเหลืออยู่มาตลอด และในปีนี้ก็พึ่งจะคักแยกเสร็จ เพราะงั้นฉันถึงตัดสินใจจัดนิทรรศการภาพวาดขึ้นในปีนี้”
“สำนักเหยียนมีแค่คุณเหยียนคนเดียวที่เป็นผู้สืบทอดหรือเปล่า? ท่านอาจารย์ยังมีผู้สืบทอดอีกไหม?”
สีหน้าเหยียนซินหย่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เอ่ยเสียงดัง “ไม่ค่ะ ยังมีรุ่นพี่อีกคนชื่อว่าเซี่ยทิงเทา เขาเป็นศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของพ่อฉัน ความสามารถของฉันยังไม่ถึงครึ่งพี่เขาเลยค่ะ”
“ตอนนี้คุณเซี่ยอยู่ที่ไหน? ดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขาเลย!” มีคนถามขึ้น
เหยียนซินหย่าถอนหายใจเฮือกใหญ่เผยท่าทีเจ็บปวด “รุ่นพี่ของฉันหายตัวไปเมื่อยี่สิบปีก่อน ทุกวันนี้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร”
หลายปีมานี้จ้าวอิงหัวและเหยียนหมิงซุ่นส่งคนไปเสาะหาเบาะแสที่ฮ่องกงแต่กลับไม่มีข่าวคราวของเซี่ยทิงเทาเลย เกรงว่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี เพียงแค่เหยียนซินหย่านึกถึงรุ่นพี่ที่พ่อของตนถือเสมือนเป็นลูกชายแท้ ๆและอาจไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว ใจของเธอก็เหมือนดั่งถูกมีดกรีดแทง
หากว่ารุ่นพี่ยังอยู่ เธอจะพ่ายแพ้ต่อพวกเจิ้งซื่อหลินสามคนนั้นเป็นเวลาหลายปีขนาดนี้ได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตามยังถือว่าพละกำลังของเธอนั้นอ่อนแอเกินไป!
ทันใดนั้นมีเสียงแหลมสูงดังขึ้น “ได้ยินว่าอาจารย์เหยียนยังมีลูกศิษย์อีกสองคน ตอนนี้ล้วนเป็นคนดังในวงการศิลปะของประเทศเรา พวกเขาคือหร่วนหวาไฉ่และเจิ้งซื่อหลิน เหตุใดคุณเหยียนถึงไม่เอ่ยชื่อพวกเขาล่ะ?”
…………………………………………………………..
[1] โต้วเอ๋อ เป็นตัวละครจากบทละครเรื่อง “ความทุกข์ระทมของโต้วเอ๋อ” (窦娥冤)