ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 1526 พวกแกมีชีวิตอยู่ก็ผิดแล้ว + ตอนที่ 1527 นางหนูไม่มีสิทธิ์สืบทอดมรดก
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- บทที่ 1526 พวกแกมีชีวิตอยู่ก็ผิดแล้ว + ตอนที่ 1527 นางหนูไม่มีสิทธิ์สืบทอดมรดก
ตอนที่ 1526 พวกแกมีชีวิตอยู่ก็ผิดแล้ว
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ทั้งหอนิทรรศการเสียงหัวเราะของเธอกับฉีฉีเก๋อดังที่สุดแล้ว จนทำให้บางคนต้องหันมามองพวกเธอ ทั้งคู่จึงรีบปิดปากแต่ไหล่ทั้งสองข้างสั่นกระเพื่อมไม่หยุด
สีหน้าผู้เฒ่าสวีบึ้งตึงจนเปลี่ยนเป็นเขียวปัด มือไม้สั่นไม่หยุด “เด็กไม่รู้…เธอ…เธอ…”
เธออยู่แบบนั้นนานสองนานก็ไม่พูดออกมาสักที
โมโหจนเลอะเลือนแล้ว!
เหมยเหมยไม่ได้มองเขาอีกแล้วหันกลับไปมองผู้เฒ่าอวี๋คนก่อนหน้านี้ สองคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร จะต้องเป็นคนที่พวกเจิ้งซื่อหลินขอมาให้ช่วยแน่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกรงใจอะไร
“ผู้อาวุโสท่านนี้ทำไมถึงคิดว่าแม่ของฉันมีใจอยากทำแต่กำลังไม่พอล่ะคะ? ทุกท่านลองออกไปไถ่ถามโลกภายนอกดู สำนักภาพวาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกคือสำนักไหนดูสิ? ไม่ใช่ว่าฉันคุยโวโอ้อวดนะแต่หลายปีมานี้สำนักเหยียนมีชื่อเสียงโด่งดังไม่มีตก ทั้งหมดล้วนมาจากความพยายามของแม่ฉัน แข็งแกร่งกว่าศิษย์จอมหลอกลวงบางคนตั้งหลายร้อยเท่า
ท่านผู้อาวุโสคะชื่อเสียงของท่านได้มาไม่ง่าย อย่าทำตัวเหมือนว่ายิ่งแก่ก็ยิ่งแยกแยะผิดถูกไม่ได้จนทำลายชื่อเสียงอันน้อยนิดที่ได้มาอย่างยากลำบากเลย”
ผู้เฒ่าอวี๋มีสีหน้าบึ้งตึงทันทีพลันตวาดใส่ “ผู้ใหญ่อย่างเราพูดกันอยู่ เด็กกะโปโลอย่างเธอจะพูดเหลวไหลอะไรนักหนาไม่รู้จักมีมารยาทบ้างเลย”
“คุณตาของฉันคือเหยียนตานชิง เป็นคนในสำนักเหยียน ทำไมจะไม่มีสิทธิ์พูดล่ะ?”
เหมยเหมยไม่ยอมผ่อนปรนสักนิด สำหรับผู้อาวุโสแบบนี้ เธอไม่ชี้หน้าด่าก็นับว่าใจดีมากแล้ว
ผู้ช่วยคนอื่น ๆที่ถูกเจิ้งซื่อหลินเรียกมาต่างเข้าใจว่าเหยียนซินหย่าไม่ถนัดต่อปากต่อคำ คิดว่าเพียงร่วมมือกันปลุกปั้นสักหน่อยก็สามารถช่วยพวกเจิ้งซื่อหลินได้แล้ว
แต่ไหนเล่าจะรู้ว่าเหยียนซินหย่ากลับมีลูกสาวฝีปากดีไม่เบา ดูปากเล็ก ๆนั่นสิดุดันเสียยิ่งกว่าปืนกล ผู้เฒ่าอวี๋และผู้เฒ่าสวีต่างถูกเธอจัดการด้วยคำพูดเหน็บแนมจนหมดซึ่งศักดิ์ศรีแล้ว
อีกอย่างแม่เด็กกะโปโลนี่ก็ไม่ได้พูดผิด ไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะได้รับชื่อเสียงอันน้อยนิดนั้นมา แต่ยังไม่ทันแก่ก็แปดเปื้อนมลทินเสียแล้ว!
คนพวกนี้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วปิดปากเงียบพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย ทำให้เจิ้งซื่อหลินและคนอื่นต้องผิดหวัง
เจิ้งซื่อหลินและหร่วนหวาไฉ่ส่งสายตาให้กัน เรื่องในวันนี้พวกเขาต้องทำให้สำเร็จ
ทั้งสองมองดูผลงานมากมายของเหยียนตานชิงที่อยู่ในหอนิทรรศการ แววตาส่อประกายความโลภ
พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเหยียนซินหยาจะเก็บของมีค่าไว้มากมายถึงเพียงนี้ ของพวกนี้ล้วนเป็นของมีค่าที่ไม่อาจตีราคาได้ พวกเขาจะยอมรามือได้เช่นไร?
ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นศิษย์ที่เหยียนตานชิงรับเข้าสำนักอย่างเป็นทางการ เหยียนตานชิงเองก็ไม่มีลูกชายด้วย พวกเขาก็เสมือนลูกชาย มรดกเหล่านี้ต้องตกเป็นของพวกเขาถึงจะถูก
เหยียนซินหย่าเป็นเพียงหญิงสาวที่แต่งงานออกไปแล้วมีสิทธิ์อะไรที่จะได้ของเหล่านี้?
ต้องทำให้ผู้หญิงคนนี้ยกทุกอย่างให้อย่างว่าง่ายให้ได้!
จู่ ๆตานเหอเจิ้งก็ดิ้นพล่านไปมาเหมือนจะลุกขึ้น หร่วนหัวไฉ่จึงออกแรงกดตัวเขาลง พร้อมพูดข้างหูเขาว่า “ไอ้แก่ แกอยากให้ตระกูลตานธูปหัก[1]หรือไง?”
“พวก…แก…” พวกแกต้องถูกกรรมตามสนอง!
ตานเหอเจิ้งได้รับแรงกระตุ้น น้ำลายไหลยืดมากกว่าเดิม ทำให้ปกคอเสื้อด้านหน้าเปียกชื้น แต่ไม่มีผู้ใดเห็นใจเขาสักคน
คนชั่วที่ใช้มีดแทงข้างหลังผู้อื่น ต่อให้ต้องตายก็สมควรแล้ว!
หร่วนหวาไฉ่ยิ้มอย่างพอใจ เหตุที่เก็บชีวิตตานเหอเจิ้งเอาไว้ก็เพื่อให้เขาเป็นแพะรับบาปแทนพวกเขาสองพี่น้องในวันนี้
มิเช่นนั้นพวกเขาจะไหว้ไอ้แก่นี่เป็นอาจารย์ในปีนั้นไปทำไม?
“น้องเหยียน พี่เซี่ยจะเป็นตายเช่นไรบ้างก็ไม่รู้ เกรงว่าจะเจอเคราะห์ร้ายเข้าเสียมากกว่า บัดนี้เรื่องที่แย่ลงจะผงาดกลับมาดีขึ้นใหม่ เป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่ควรปล่อยวางและทำการใหญ่ให้สำเร็จ พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องควรจะทิ้งอดีตไปเสีย แล้วร่วมมือกันสร้างชื่อเสียงให้สำนักเหยียน ทำให้ท่านอาจารย์ตายตาหลับสักที!”
เจิ้งซื่อหลินพูดด้วยความจริงใจ ถึงกับบีบน้ำตาที่น่าขยะแขยงออกมา
เหยียนซินหย่าก่นด่าอย่างโมโห “หากพวกแกยังมีชีวิตอยู่ พ่อแม่ฉันคงไม่มีทางตายอย่างสงบสุขในหลุมศพหรอก!”
……………………………………………….
ตอนที่ 1527 นางหนูไม่มีสิทธิ์สืบทอดมรดก
เจิ้งซื่อหลินมองเหยียนซินหย่าอย่างเจ็บปวด ชี้ไปยังตานเหอเจิ้งพูดว่า “น้องเหยียน ความจริงในตอนนั้นก็เป็นอย่างที่พี่พูด ตานเหอเจิ้งยอมรับแล้ว น้องดูสินี่คือหนังสือสารภาพของตานเหอเจิ้ง เขาเป็นคนเขียนเองกับมือ ครั้งนี้น้องจะได้ยอมเชื่อพวกพี่เสียที!”
เขาหยิบกระดาษไม่กี่แผ่นออกมาจากกระเป๋า ซึ่งไม่ได้ยื่นให้เหยียนซินหย่า แต่กลับเอาให้ผู้อาวุโสสูงส่งที่น่าเคารพในวงการศิลปะดู
“ถูกต้อง เป็นลายลักษณ์ที่ตานเหอเจิ้งเขียนกับมือ ลายเซ็นก็เป็นของจริง เฮ้อ ตานเหอเจิ้งเป็นคนชั่วช้าเช่นนี้จริงหรือ ยากจะคาดเดาได้เลยจริง ๆ!” ฝูงชนจำนวนมากทอดถอนหายใจไปตาม ๆกัน สายตาที่จ้องมองตานเหอเจิ้งฉายแววรังเกียจมากกว่าเดิม
ทำให้อาจารย์เหยียนผู้มีความสามารถล้นหลามต้องตาย ยังกล้ามีชีวิตอยู่ต่ออีกเหรอ?
เหยียนซินหย่ากลับไม่ได้ดู ‘หนังสือรับสารภาพ’ อะไรนั่นเลย เธอมองออกว่าตานเหอเจิ้งถูกเจิ้งซื่อหลินสองคนนั้นควบคุมไว้อยู่ หนังสือรับสารภาพฉบับนี้คงเขียนตามความปรารถนาของสองคนนี้แน่นอน มีอะไรน่าดูนักล่ะ?
“ตอนนี้ตานเหอเจิ้งพูดไม่ได้ พวกคุณจะพูดอะไรก็พูดได้นี่ ความจริงที่เกิดขึ้นในตอนนั้นแม่ฉันรู้ดีที่สุด เจิ้งซื่อหลิน หร่วนหวาไฉ่ พวกคุณทำอะไรไว้ต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ อย่ามาเล่นละครตบตาเสียเลย!”
เหมยเหมยก่นด่าอย่างโมโห แต่เสียดายที่เวลาผ่านมานานเกินไป มีหลักฐานมากมายที่หาไม่เจอ
หนำซ้ำในตอนนั้นคุณตาคุณยายยังถูกเอาตัวไปอย่างลับ ๆ คนที่รู้ความจริงมีอยู่ไม่มาก ตอนนี้ไม่พบใครที่พอจะเป็นพยานชี้ตัวพวกเจิ้งซื่อหลินได้เลย เกลียดจริง ๆ!
“เด็กกะโปโลอย่างเธอมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉัน ไม่รู้เด็กไม่รู้ผู้ใหญ่เลย วันนี้ฉันจะสั่งสอนมารยาทแทนอาจารย์เธอเอง สำนักเหยียนไม่ควรปล่อยให้นางหนูนี่มาทำลายชื่อเสียง!”
เจิ้งซื่อหลินตีหน้าขรึมสั่งสอนเหมยเหมยอย่างไม่แยแส แต่กลับไม่มีใครกล้าออกหน้าพูดแทนเหยียนซินหย่าสองแม่ลูกเลย ดูเหมือนจะเห็นดีด้วยกับฐานะของพวกเจิ้งซื่อหลินว่าเป็นศิษย์ของสำนักเหยียน
เจียงจื้อหรู่ที่ยืนอยู่ด้านข้างทนดูต่อไปไม่ได้ รีบเอ่ยแทรก “ตอนนี้พวกคุณยังเป็นคนสำนักตานเหอเจิ้ง จะเข้ามายุ่มย่ามคนของสำนักเหยียนได้อย่างไร? ไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบเอาเสียเลย!”
คนอื่น ๆต่างพากันพยักหน้า
ซึ่งนับว่าเป็นหลักเหตุผลที่ถูกต้อง ตอนนั้นพวกเจิ้งซื่อหลินไหว้ตานเหอเจิ้งเป็นอาจารย์ ผ่านตามกระบวนการขั้นตอนอย่างเป็นทางการ
“พวกเราแยกตัวออกมาจากตานเหอเจิ้งเมื่อสิบปีก่อนแล้ว นี่คือจดหมายในตอนนั้น เชิญทุกท่านดูได้”
เจิ้งซื่อหลินเตรียมการณ์ไว้แต่แรกแล้ว หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาอย่างผ่อนคลาย เป็นจดหมายของเขากับหร่วนหวาไฉ่ที่ขอตัดความสัมพันธ์อาจารย์ศิษย์กับตานเหอเจิ้ง กระดาษสีขาวอักษรสีดำ ชัดเจน ระบุช่วงเวลาเมื่อสิบปีก่อนจริง
“ในเมื่อสิบปีก่อนตัดความสัมพันธ์กันแล้ว ทำไมพวกคุณถึงยังคงใช้ชื่อในนามศิษย์ของตานเหอเจิ้งมาตลอดสิบปีนี้ล่ะคะ ฉันไม่เคยเห็นพวกคุณออกมาปฏิเสธเลยสักครั้ง!” เหมยเหมยพูดประชด
เจิ้งซื่อหลินสีหน้าเปลี่ยนไป พูดไม่ออกเสียแล้ว
จดหมายฉบับนี้เป็นเขาเองที่ปลอมแปลงขึ้นมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ช่วงสิบปีก่อนเป็นช่วงเวลาที่ตานเหอเจิ้งมีหน้ามีตาที่สุด พวกเขาจะโง่ตัดความสัมพันธ์ได้อย่างไร
เหมยเหมยพูดประชดต่อ “ไม่ใช่แค่พวกคุณไม่ออกมาปฏิเสธ แล้วยังอาศัยเกียรติอิทธิพลของตานเหอเจิ้งไม่น้อยเลย มิเช่นนั้นแค่อาศัยคุณสมบัติธรรมดา ๆของพวกคุณ ไหนเล่าจะมีสิทธิ์ได้เป็นถึงผู้อำนวยการและเลขาธิการของสมาคมศิลปะได้”
สายตาของคนอื่นที่มองพวกเจิ้งซื่อหลินก็เปลี่ยนไป ความจริงเป็นเช่นนั้น
ฝีมือการวาดภาพของสองคนนี้ยังเทียบกับพวกเขาไม่ได้เลยแต่กลับก้าวหน้ากว่าพวกเขา นั่นไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นศิษย์เอกของตานเหอเจิ้งหรือ!
อีกอย่างแม้ว่าตานเหอเจิ้งทำตัวเป็นคนต่ำช้าไร้ยางอายแต่ฝีมือการวาดภาพของเขานั้นดีเยี่ยม หนำซ้ำยังสร้างสำนักขึ้นมาเอง แข็งแกร่งกว่าพวกเจิ้งซื่อหลินเยอะเลย
เจิ้งซื่อหลินแอบโมโห รู้ดีว่าหากปล่อยให้เหมยเหมยพูดต่อไป มีหวังได้เผยพิรุธแน่
ต้องรีบเบี่ยงเบนประเด็นจะดีกว่า เขาพูดหัวเราะเยาะ “สรุปแล้วคือพวกเราไม่ได้รู้สึกอับอายอะไร ถูกผิดคงไม่ต้องอธิบายคนรุ่นหลังตัดสินเองได้ วันนี้เราสองพี่น้องมาที่นี่ก็เพื่ออนาคตของสำนักเหยียน น้องเหยียนไม่มีแม้แต่ลูกศิษย์ เธอคิดจะสร้างชื่อเสียงให้สำนักเหยียนไดอย่างไร?”
“ใครบอกว่าไม่มี? ฉันนี่แหละที่เป็นศิษย์ของแม่ ไม่จำเป็นต้องเปลืองสมองพวกคุณ” เหมยเหมยตะเบ็งเสียงดัง
เจิ้งซื่อหลินมองเธออย่างไม่สบอารมณ์ ทันใดนั้นได้หยิบภาพวาดภาพหนึ่งออกมาจากกระเป๋า พูดประชดว่า “คนอย่างเธอเนี่ยนะ? นี่คือภาพที่เธอวาดสินะ? ฝีมือแค่นี้จะสร้างชื่อเสียงให้สำนักเหยียนได้อย่างไร?”
………………………………………………………………
[1] ธูป เปรียบเสมือนลูกหลานที่เป็นชาย หรือคนรุ่นหลังในตระกูล หัก หมายถึง การตัดขาด การฆ่าล้มล้าง ดังนั้น ธูปหัก จึงหมายถึงการล้มล้างคนในตระกูลที่เหลืออยู่