ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 1594 ของลอกเลียนแบบ + ตอนที่ 1595 เป็นของจริง
ตอนที่ 1594 ของลอกเลียนแบบ
ที่แท้แล้วพวกเจิ้งซื่อหลินกับจ้าวซานเอ๋อร์กำลังปรึกษาเรื่องผิดศีลธรรมอย่างการหลอกลวงผู้คนเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง หัวข้อรายการในสัปดาห์นี้คือเรื่องศิลปะการวาดรูปที่จะมีการรวบรวมของสะสมเป็นผลงานศิลปะอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก่อนส่วนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งของปลอมและของจริง
จริงหรือปลอมนั้นต้องการการพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญทั้งสี่ท่านเพราะในยุคสมัยนี้ชาวบ้านทั่วไปยังใสซื่อ อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญในยุคสมัยนี้ยังไม่มีการแต่งเติมใด ๆ เป็นคำสรรพนามที่เรียกขานด้วยความนับถือจากใจจริง
ฉะนั้นชาวบ้านที่มาร่วมรายการพิสูจน์ของเก่าจึงเชื่อในถ้อยคำของผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้อย่างไม่มีข้อสงสัย โดยปกติไม่มีทางไปขอตรวจสอบจากทางหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญกันอยู่แล้วเพราะมีค่าใช้จ่ายไม่น้อย คนทั่วไปจึงไม่อยากเสียเงินก้อนนี้สักเท่าไร
ฉะนั้นจึงกลายเป็นช่องโหว่ให้คนสารเลวอย่างเจิ้งซื่อหลินได้มีโอกาสใช้วิธีสกปรกสร้างฐานะให้ตนเอง
วิธีที่ใช้กันเป็นปกติที่สุดคือกล่าวหาว่าของจริงเป็นของเลียนแบบ หลังจากนั้นค่อยสั่งให้คนไปติดต่อเจ้าของแล้วกว้านซื้อของในราคาถูก จากนั้นก็นำมาออกขายในราคาสูง กำไรมหาศาลนี้ทำให้พวกเจิ้งซื่อหลินเหมือนเสพยาที่ยิ่งเสพก็ยิ่งติดและยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อย ๆ
รายการสัปดาห์นี้ก็มีผลงานชิ้นเอกที่ทรงคุณค่าอย่างมาก พวกเจิ้งซื่อหลินต่างตรวจสอบมาแล้วพบว่าเป็นผลงานของจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งยังเป็นผลงานวาดต้นไผ่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในแปดมหัศจรรย์แห่งหยางโจวของเจิ้งป่านเฉียว ผลงานวาดของเจิ้งป่านเฉียวจะเห็นได้น้อยนักในตลาดการซื้อขาย ภาพวาดชิ้นนี้เป็นของจริงล้ำค่าที่หากขายออกนอกประเทศไม่มีทางต่ำกว่าหลายแสนเลยทีเดียว
เจิ้งซื่อหลินคิดจะครอบครองผลงานวาดต้นไผ่ชิ้นนี้ เมื่อก่อนเขาไม่ใจกล้าพอจึงกล้าคิดจะครอบครองแต่ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ไม่มีราคาเท่าไรอย่างมากก็ได้แปดพันเหยียบหมื่นเท่านั้น
แต่พอเวลาผ่านไปนานวันเข้าเขารู้สึกว่ามันไม่เพียงพอ อีกทั้งยังไม่เคยโดนจับได้จนถึงทุกวันนี้จึงทำให้เขาใจกล้ามากขึ้น ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยไม่มีทางเข้าตาเขาและเลือกลงไม้ลงมือแต่กับของราคาแพง
เหมยเหมยเล่าเรื่องนี้ให้เหยียนซินหย่าฟัง เหยียนซินหย่าก็โกรธมากเช่นกันก่อนจะแสดงท่าทีว่ามีแผนในใจอยู่แล้ว
เริ่มถ่ายทำช่วงครึ่งหลังแล้ว จ้าวซานเอ๋อร์เองก็นั่งอยู่ตรงที่นั่งผู้ชมล่างเวที เหมยเหมยมุ่นคิ้วแน่นต้องหาทางช่วยแม่ก่อนและไม่นานเธอก็มีแผนจึงลุกขึ้นเดินไปหาจ้าวซานเอ๋อร์เพื่อขอเปลี่ยนที่นั่งกับชายหนุ่มวัยรุ่นข้าง ๆเขาแล้วนั่งลง
จ้าวซานเอ๋อร์เป็นพยานบุคคลที่หากอีกสักครู่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น จ้าวซานเอ๋อร์จะต้องมีประโยชน์มากแน่ ๆ
“ที่กำลังเอาขึ้นเวทีมานั้นเป็นภาพวาดต้นไผ่ของเจิ้งป่านเฉียว ขอเชิญผู้เชี่ยวชาญทุกท่านพิสูจน์ได้” พิธีกรรายการพูดเสียงดัง เหมยเหมยตั้งสติ ในที่สุดก็มาเสียที
คนที่ตั้งสติเช่นเดียวกันก็ยังมีจ้าวซานเอ๋อร์ ดวงตาของเขาเป็นประกายวาวจนน่าตกใจ พอจะเห็นได้ว่าตื่นเต้นมากเพียงใด!
ภาพวาดรูปนี้เขาจะได้เงินส่วนแบ่งสองหมื่น เงินจำนวนนี้สามารถเอากลับไปสร้างบ้านขนาดสองชั้นหลังเล็กที่บ้านเกิดได้ จากนั้นค่อยหาสาววัยใสหน้าตาสะสวยสักคนแต่งงาน
เจ้าของภาพวาดเป็นหญิงวัยประมาณสี่สิบกว่าปีที่หน้าตาดูอ่อนโยน หว่างคิ้วดูตึงเครียดเล็กน้อย พอจะดูออกว่าผู้หญิงคนนี้ฐานะทางบ้านไม่ดีเท่าไร มาร่วมรายการโทรทัศน์ก็ไม่ได้สวมเสื้อชุดใหม่แต่อย่างใด
อีกทั้งเสื้อตัวนี้น่าจะผ่านการซักมาไม่น้อยแล้ว
จะว่าไปมีอีกหนึ่งสิ่งที่น่าแค้นใจที่สุดของตาแก่สารเลวเจิ้งซื่อหลินก็คือเขาเจาะจงเล่นงานชาวบ้านทั่วไป หากคนที่มีสถานะหน่อยเขาไม่เคยคิดเล่นตุกติกเพราะกลัวจะสร้างปัญหา
หญิงผู้นี้ได้เล่าที่มาของภาพอย่างกระชับโดยบอกว่าเป็นของสะสมเก่าของสามีเธอ สามีเสียชีวิตจากการป่วยเธอจึงอยากดูว่าภาพวาดรูปนี้มีราคาหรือไม่ หากขายได้ราคาดีจะมีเงินพอเลี้ยงทั้งครอบครัว
พวกเจิ้งซื่อหลินมองตากันแล้วแสร้งทำท่าตรวจดูภาพวาดก่อนที่ทั้งสามคนจะมีข้อสรุปเป็นเสียงเดียวกัน
“ของลอกเลียนแบบ แต่เป็นของลอกเลียนแบบเกรดดีที่ราคาตามท้องตลาดน่าจะราว ๆหนึ่งพัน ไม่มีทางเกินไปกว่านี้แล้ว”
หญิงผู้นี้หน้าเสียทันที ดวงตาแดงก่ำเอ่ยเสียงแหบแห้ง “เมื่อก่อนสามีฉันซื้อมาราคาสามพันหยวน แล้วทำไมมีค่าไม่ถึงสามพันได้ล่ะ?”
เธอไม่หวังให้เป็นของจริงอยู่แล้วแค่หวังว่าจะขายได้สามพันเพื่อไปใช้แก้ปัญหาคับขันที่บ้าน
แต่คิดไม่ถึงว่าขายได้ไม่ถึงสามพันด้วยซ้ำ แล้วเธอจะทำอย่างไรดีล่ะ?
หญิงผู้นี้ตัวอ่อนแทบทรงตัวยืนไม่ไหว ดูท่าทางน่าสงสารจับใจ
แต่กลับไม่ทำให้พวกเจิ้งซื่อหลินนึกสงสารเลยสักนิด
………………………..
ตอนที่ 1595 เป็นของจริง
เหยียนซินหย่านึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้อย่างมากและยิ่งโกรธแค้นเจิ้งซื่อหลินกว่าเดิม ไร้ซึ่งความเป็นคนจริง ๆ แม้แต่หญิงหม้ายเลี้ยงเดี่ยวยังข่มเหงรังแก
“ฉันขอดูรูปนี้หน่อย” เหยียนซินหย่าเอ่ยปาก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอปริปากพูดในค่ำคืนนี้
พิธีกรชะงัก เขาเกือบลืมแขกรับเชิญสาวงามผู้นี้ไปแล้ว เขากำลังจะยื่นรูปไปให้แต่เจิ้งซื่อหลินแสยะยิ้มพูดเสียดสี “ของลอกเลียนแบบมีอะไรน่าดูกัน? อีกอย่างเธอดูออกเหรอ?”
เหยียนซินหย่าไม่ยอมแพ้ “เป็นของลอกเลียนแบบหรือเปล่ายังไม่แน่หรอก คุณเจิ้งซื่อหลินบอกว่าใช่ก็ต้องใช่งั้นเหรอ? คุณก็แค่ผู้เชี่ยวชาญจอมปลอมที่เพิ่งเข้าวงการมา คุณจะเป็นตัวแทนตัดสินอะไรได้?”
เธอตั้งใจฉีกหน้าจึงไม่มีทางเกรงใจอยู่แล้ว พอเธอสลัดภาพลักษณ์อันโอนอ่อนผ่อนพันก่อนหน้าเป็นคนปากร้ายขึ้นมา ทำให้ผู้ชมล่างเวทีกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที มีเรื่องสนุก ๆให้ดูกันแล้วล่ะ!
เหมยเหมยล้วงกล้องจากกระเป๋ามาเริ่มบันทึกภาพเพราะถึงเวลานั้นแล้วทางช่องต้องตัดส่วนนี้ออกแน่ ๆ เธอต้องบันทึกไว้เพื่อเป็นหลักฐาน
พิธีกรทำหน้าลำบากใจแต่เพื่อให้เรื่องนี้จบลงอย่างสันติ เขาจึงพูดกู้สถานการณ์ไม่กี่ประโยคแล้วส่งรูปไปให้เหยียนซินหย่า
เหยียนซินหย่าสังเกตอย่างละเอียด แถมยังใช้แว่นขยายตรวจสอบรอยตราประทับ ตราประทับเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่บ่งบอกว่าผลงานเป็นของเจิ้งป่านเฉียวจริงหรือเปล่า แม้ทุกคนจะแยกแยะของจริงของปลอมไม่ได้แต่เหยียนซินหย่ากำลังตรวจสอบดูด้วยความตั้งใจอย่างเห็นได้ชัด ไม่เหมือนพวกเจิ้งซื่อหลินที่ดูไม่ถึงหนึ่งนาทีก็สรุปว่าเป็นของลอกเลียนแบบแล้ว
ไม่ใส่ใจเลยสักนิด!
เหยียนซินหย่าดูไปถึงห้านาทีเต็ม ๆถึงเงยหน้าขึ้นพูดด้วยเสียงหนักแน่น “เป็นของจริง มั่นใจได้ และถูกนำไปประมูลขายที่ฮ่องกงเมื่อปีที่แล้ว รูปวาดต้นไผ่รูปหนึ่งของเจิ้งป่านเฉียวขายได้เจ็ดหมื่นแปดพันดอลลาร์สหรัฐ รูปนี้ของคุณขนาดพอ ๆ กับรูปนั้น คุณสามารถใช้ราคานี้เป็นเกณฑ์ได้”
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นท่ามกลางผู้ชมในฉับพลัน
ผู้เชี่ยวชาญสามคนบอกว่าขายได้ไม่ถึงหนึ่งพัน
แต่ผู้เชี่ยวชาญสาวงามกลับบอกว่าขายได้ถึงหลายแสนหยวน
นี่มันต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยนะ!
ใครกันแน่ที่พูดความจริง?
หญิงผู้นี้ก็ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เธอไม่ใช่หญิงแม่บ้านความรู้น้อย เงินเจ็ดหมื่นแปดพันดอลลาร์สหรัฐเท่ากับเงินหยวนเท่าไรเธอรู้ชัดเจนดี ต่อให้ปัดเป็นเลขกลม ๆก็เป็นเงินก้อนมหาศาลเลยทีเดียวและเพียงพอให้เธอเอาไปใช้จ่ายเลี้ยงดูทั้งครอบครัวอย่างดีเชียว
แต่ว่ามันใช่ความจริงหรือเปล่านะ?
“พูดเหลวไหล จะเป็นของจริงได้ไง? เป็นของลอกเลียนแบบชัด ๆ หรือว่าเราสามคนจะดูผิดได้งั้นเหรอ?” เจิ้งซื่อหลินพูดเหน็บแนมใส่ไม่หยุด ส่วนอีกสองคนที่เหลือก็มีสีหน้าย่ำแย่มาก
เหล่าผู้ชมเริ่มลังเลและเริ่มเอนเอียงไปทางเจิ้งซื่อหลิน
สามต่อหนึ่งเชียวนะ อย่างไรเสียแววตาของสามคนก็ดูน่าเชื่อถือมากกว่าสิ!
สิ่งสำคัญก็คือเหยียนซินหย่ายังสาวยังสวยเกินไป จนทำให้ทุกคนอดรู้สึกไม่ได้ว่าผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ไม่มีทางที่จะมีความรู้อย่างลึกซึ้งเพราะอาศัยเพียงใบหน้าก็สามารถมีชีวิตอันสุขสบายได้แล้วนี่นา!
พิธีกรเองก็รู้สึกว่าเหยียนซินหย่าพูดจาเหลวไหล ในเมื่อเขาร่วมงานกับพวกเจิ้งซื่อหลินมาหลายตอนเลยสนิทกันมากกว่า
ขณะที่เขาเตรียมประกาศว่ารูปวาดต้นไผ่เป็นของลอกเลียนแบบ เหยียนซินหย่าก็ลุกพรวดอย่างร้อนใจพลางตะโกนเสียงดัง “ฉันกล้าสาบานด้วยเกียรติของฉัน รูปนี้คือของจริง พวกเจิ้งซื่อหลินสามคนก็รู้ว่าเป็นของจริง แต่ทำไมพวกเขาถึงบอกว่าเป็นของปลอม ทุกท่านรู้ไหมว่าเพราะอะไร?”
เหล่าผู้ชมต่างส่ายหน้าเป็นพัลวันก่อนเร่งเร้าให้เหยียนซินหย่าบอกเหตุผลมา
สองคนนั้นสีหน้าดูลนลานเล็กน้อย ส่วนเจิ้งซื่อหลินกลับทำหน้าเรียบนิ่งแถมยังใช้สายตาบอกเพื่อนที่สมคบคิดให้ใจเย็นแล้วนั่งอย่างสบายใจก็พอ
ต่อให้เหยียนซินหย่าเปิดโปงแล้วอย่างไรล่ะในเมื่อเธอไม่มีหลักฐาน อย่างมากพอถึงตอนนั้นเขาก็แค่บอกว่าแก่แล้วตาลายถึงดูพลาดไปก็ไม่มีผลกระทบอะไรต่อเขาแล้ว
“เหยียนซินหย่าเธอพูดแบบนี้ต้องมีหลักฐาน ไม่มีหลักฐานฉันสามารถฟ้องข้อหาจงใจใส่ร้ายได้นะ” เจิ้งซื่อหลินพูดเสียงเย็นชา
…………………………..