ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 1772 เศษเดน + ตอนที่ 1773 แฉกันต่อหน้า
ตอนที่ 1772 เศษเดน
“การแลกเปลี่ยนความรู้จะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ ฝ่ายผู้จัดเป็นมหาวิทยาลัยฮ่องกง ระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ พวกหร่วนหวาไฉ่พักที่โรงแรมฮอลิเดย์ มีทั้งหมดสิบคนล้วนเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงไม่ค่อยดีในประเทศสักเท่าไรนัก” เสี่ยวอวิ๋นบอก
เหมยเหมยได้อ่านข้อมูลของทั้งสิบคนนั้นคร่าว ๆ ส่วนมากเป็นศิลปินที่มีความสนิมสนมกับหร่วนหวาไฉ่กับเจิ้งซื่อหลินซึ่งเมื่อก่อนล้วนมีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนัก แต่มีศิษย์พี่อย่างเจิ้งซื่อหลินคอยหนุนหลังอยู่จึงพอจะเอาตัวรอดได้
แต่หลังศิษย์พี่เจิ้งซื่อหลินถูกเหยียนซินหย่าโค่นล้มคนกลุ่มนี้ก็ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ชื่อเสียงเน่าเฟะ ครั้งนี้ยังส่งกลิ่นเหม็นโชยมาถึงต่างประเทศ
“ทางฝ่ายฮ่องกงใครเป็นคนเชิญ? เขารู้เบื้องลึกเบื้อหลังของหร่วนหวาไฉ่ไหม?” เหมยเหมยถามอีก
“เจ้าหมอนี่ชื่อเจียงโส่วเฉิง เป็นศาตราจารย์ชื่อดังของมหาวิทยาลัยฮ่องกง ถนัดวาดรูปผู้หญิงและผลงานค่อนข้างได้รับความนิยมในตลาดฮ่องกง แต่คนนี้คุณธรรมไม่ค่อยดีนักมักใช้ข้ออ้างในการเปิดรับศิษย์เอาเปรียบผู้หญิง อีกอย่างเจียงโส่วเฉิงยึดมั่นใน GD” เสี่ยวอวิ๋นพูดติดดูถูก
เหมยเหมยแค่นเสียงกล่าว “คนประเภทเดียวกันมักจะรวมตัวอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่คนดีเหมือนกันซะด้วย งั้นช่วยฉันสืบประวัติของเจียงโส่วเฉิงคนนี้ให้หน่อย มีรูปด้วยจะดีที่สุด รอฉันจัดการหร่วนหวาไฉ่ได้ค่อยจัดการเจียงโส่วเฉิง”
เจ้าพวกคนที่กล้าทอดทิ้งหักหลังบรรพบุรุษก็ต้องจัดการอย่างเด็ดขาด!
“วางใจได้ ฉันจะตามสืบยันถึงกางเกงในเลย!” เสี่ยวอวิ๋นพูดเสียงมั่นใจเต็มร้อย
เช้าวันรุ่งขึ้นเหมยเหมยแต่งตัวดีใส่ชุดค่อนข้างเป็นทางการ เป็นเสื้อเชิ้ตผ้าไหมสีม่วงอ่อนคู่กับกางเกงสูทสีเทาอ่อน รองเท้าหนังแกะสีขาวและใช้ปิ่นหยกสีขาวเนียนโปร่งเกล้าผมขึ้นกลางศีรษะ เรียบง่ายดูดีไม่ให้เสียภาพลักษณ์
วันนี้พวกหร่วนหวาไฉ่จะทำการกล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัย ทั้ง ๆที่ปิดเทอมแล้วไม่รู้ว่าเขาจะพูดให้ใครฟังกัน?
อากาศหรือ?
แต่พอพวกเหมยเหมยเดินทางไปถึงก็พบว่ามีนักศึกษารวมตัวกันในหอประชุมไม่น้อย แน่นอนว่ามากกว่านั้นคือบรรดาผู้ใหญ่ที่ส่วนมากเป็นชาวบ้านที่สนใจเกี่ยวกับศิลปะพู่กันจีน ทำให้บรรยากาศในห้องประชุมครึกครื้นกันมาก
เหมยเหมยยังสังเกตเห็นนักข่าวหลายคน เธออมยิ้มให้น้อย ๆแล้วเลือกนั่งลงที่นั่งแถวหน้าโดยไม่มีใครสังเกตเห็นพวกเขา
เจียงโส่วเฉิงรับหน้าที่เป็นพิธีกรที่ดูเหมือนจะอายุน้อยกว่าหร่วนหวาไฉ่น่าจะราว ๆห้าสิบกว่าปีทั้งที่ความจริงเขาอายุมากกว่าหกสิบปีแล้ว เจียงโฉ่วเฉิงมีคิ้วเข้มโก่งโค้งดวงตาสุกใสประกาย จมูกโด่งเป็นสัน องค์ประกอบบนใบหน้าเด่นชัด ขนาดตัวบึกบึนแข็งแรงไม่มีไขมันส่วนเกินสักนิดเดียว เป็นตาแก่ที่ดูดีคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ยามหนุ่มคิดว่าต้องหน้าตาดีมีสง่าอย่างมากแต่นิสัยดันตรงกันข้ามกับหน้าตาของเขาเสียอย่างนั้น
ทอดทิ้งภรรยาหลอกล่อหญิงสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ พอความแตกก็ใช้เงินปิดปาก…
ส่วนเรื่องไร้ศีลธรรมระหว่างเขากับลูกศิษย์ผู้หญิงไม่พูดก็คงไม่ได้ เรื่องนี้ยิ่งเป็นเรื่องขัดตา
เจียงโฉ่วเฉิงทำท่าให้ผู้ชมล่างเวทีเงียบเสียงแล้วพูดเสียงดังว่า “คิดว่าทุกท่านคงรู้จักอาจารย์เหยียนตานชิงดี ในวัยหนุ่มผมโชคดีมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับอาจารย์เหยียนที่ประเทศฝรั่งเศสและได้คำชี้แนะจากท่านมาไม่น้อย ซึ่งเป็นผลประโยชน์สำหรับผมมาก”
เสียงปรบมือจากล่างเวทีดังกระหึ่ม เหยียนตานชิงมีชื่อเสียงโด่งดังในฮ่องกงเพราะช่วงหลายปีมานี้ผลงานของเขาถูกนำมาประมูลขายในราคาสูง คนในวงการหลายคนล้วนรู้จักชื่อของเหยียนตานชิงกันดี
ที่กำลังนั่งอยู่บนเวทีถือได้ว่าเป็นคนในวงการ พอพวกเขาได้ยินว่าเจียงโฉ่วเฉิงเคยได้รับคำชี้แนะจากอาจารย์เหยียนก็ยิ่งชื่นชมในตัวเจียงโส่วเฉิงมากกว่าเดิม
เหมยเหมยดึงหน้าตึง เจียงโส่วเฉิงคนนี้หน้าด้านเสียจริง คุณปู่ของเธอจะไปรู้จักกับเศษเดนแบบนี้ได้อย่างไร?
เสี่ยวอวิ๋นสืบมาว่าเจียงโส่วเฉิงไม่ใช่คนดีอะไรมาตั้งแต่วัยหนุ่มแล้ว ตอนเรียนต่างประเทศก็เจ้าชู้ไปทั่วหยอดรักไปทุกหนแห่ง เมื่อนั้นเขามีภรรยาและลูกอยู่บ้านเกิดแล้วแต่กลับแอบมีความสัมพันธ์ลับ ๆกับนักศึกษาสาวสวยคนหนึ่ง ขณะเดียวกันยังแอบมีความสัมพันธ์ลับกับหญิงหม้ายในพื้นที่ด้วยอีกคน
สิ่งที่น่าแค้นใจที่สุดคือตอนเจียงโส่วเฉิงกลับประเทศก็หนีกลับโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยลาสักคำ แล้วยังหลอกเอาเงินเก็บทั้งหมดของหญิงหม้ายไปด้วยทำเอาหญิงหม้ายเสียใจไปช่วงหนึ่งจนผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ แต่นักศึกษาสาวคนนั้นกลับรับความสะเทือนใจนี้ไม่ไหวถึงขนาดทานยาฆ่าตัวตาย
เดิมทีเป็นหญิงสาวในวัยที่กำลังมีอนาคตแสนสดใส แต่กลับต้องจบลงด้วยน้ำมือของเศษเดนอย่างเจียงโส่วเฉิงคนเดียว!
เจียงโส่วเฉิงพูดต่อ “อาจารย์เหยียนจากไปก่อนวัยอันควรเลยไม่เห็นบารมีของท่านอีก แต่วันนี้ผมได้เชิญคุณหร่วนหวาไฉ่ลูกศิษย์คนโปรดของอาจารย์เหยียนมาโดยเฉพาะ เรียนเชิญเลยครับ!”
……………………….
ตอนที่ 1773 แฉกันต่อหน้า
เสียงปรบมือในหอประชุมดังกึกก้องยิ่งกว่าเดิม มีหลายคนที่ลุกขึ้นยืนด้วยจิตสำนึกถือเป็นการให้เกียรติลูกศิษย์คนโปรดของอาจารย์เหยียน
หร่วนหวาไฉ่ลอบได้ใจคนเดียว เหอะ ดอกไม้จากข้างในกำแพงผลิบานมาถึงนอกกำแพง ใครจะรู้ว่าชื่อเสียงเหยียนตานชิงจะใช้ได้ดีในต่างประเทศขนาดนี้ อีกทั้งคนฮ่องกงไม่รู้เรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างเขากับเหยียนซินหย่า ดูสิว่าพวกเขาหลอกง่ายแค่ไหน!
เจียงโส่วเฉิงพูดอีกไม่กี่ประโยคซึ่งไม่พ้นเรื่องที่ว่าหร่วนหวาไฉ่เป็นผู้สืบทอดสำนักเหยียน เหตุผลที่เขามาฮ่องกงก็เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์สำนักเหยียน…
เหมยเหมยได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นจากรอบกายไม่น้อย…
“วันนี้คิดถูกที่มาจริง ๆ อาจารย์เหยียนเป็นศิลปินที่ฉันเคารพมากที่สุดเลย เดี๋ยวฉันต้องไปขอคำชี้แนะจากคุณหร่วนบ้าง!”
“ดูเหมือนคุณหร่วนคนนี้อายุไม่น้อยแล้ว น่าจะได้รับความรู้ถึงแก่นแท้ของศิลปะสำนักเหยียนมาสินะ?”
“แน่นอนสิ ศาสตราจารย์เจียงบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าคุณหร่วนคนนี้เป็นผู้สืบทอดสำนักเหยียนน่ะ? ไม่มีความรู้อย่างลึกซึ้งแล้วจะสืบทอดอย่างไร?”
……
เหมยเหมยยิ่งฟังก็ยิ่งหงุดหงิด คนพวกนี้ถูกปิดหูปิดตาไม่รู้เรื่องอะไร เจิ้งซื่อหลินยังรับโทษอยู่ในคุกคงผงาดขึ้นมาไม่ได้อีก ส่วนตานเหอเจิ้งกำลังใช้ชีวิตแบบนับถอยหลัง ตอนนี้ก็เหลือเพียงตาแก่อย่างหร่วนหวาไฉ่
ขณะที่หร่วนหวาไฉ่เตรียมอ้าปาพูดเหมยเหมยก็ลุกยืนใช้โทรโข่งตะโกนเสียงดัง “เดี๋ยว!”
ทุกคนต่างหันหน้ามองไปทางเธอแล้วทำหน้าสงสัย ไม่รู้ว่าเหมยเหมยคิดจะทำอะไร!
หร่วนหวาไฉ่สีหน้าเปลี่ยนไปแอบสบถในใจ ตัวกาลกินีจ้าวเหมยมาฮ่องกงได้อย่างไร?
เขากวาดตามองรอบข้างแต่ไม่พบเหยียนซินหย่าจึงค่อยสบายใจหน่อย ลำพังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างจ้าวเหมยคนเดียวไม่มีอะไรต้องกลัว!
เหมยเหมยยกโทรโข่งเดินขึ้นไปบนเวที เดินไปด้วยก็ซักถามไปด้วย “หร่วนหวาไฉ่ คุณไม่ใช่ลูกศิษย์สำนักเหยียนแล้วคุณมีสิทธิ์อะไรใช้ชื่อคุณตาฉันมาหลอกหากินข้างนอก?”
“ทุกท่าน ฉันคือจ้าวเหมย เป็นหลานสาวของอาจารย์เหยียนตานชิง หร่วนหวาไฉ่คนนี้เคยเป็นลูกศิษย์ของคุณตาฉัน แต่เมื่อยี่สิบปีก่อนไอ้สารเลวคนนี้กลับร่วมหัวกับเจิ้งซื่อหลินลูกศิษย์อีกคนของคุณตาฉันทำให้คุณตาคุณยายฉันต้องตาย เรื่องนี้ขอแค่ทุกท่านไปตามดูหนังสือพิมพ์ของแผ่นดินใหญ่ก็จะเห็น
แม่ของฉันคุณเหยียนซินหย่าได้ออกคำแถลงอย่างเป็นทางการเมื่อปีที่แล้วว่าช่วยปฏิรูปสำนักแทนคุณตาฉัน ขับไล่คนหน้าไม่อายไร้คุณธรรมไร้ความกตัญญูอย่างหร่วนหวาไฉ่กับเจิ้งซื่อหลินออกจากสำนักเหยียนแล้ว นอกจากนี้ยังเตือนไม่ให้สองคนนี้อ้างตัวเป็นศิษย์สำนักเหยียนอีก เพราะพวกเขาไม่คู่ควร!”
เหมยเหมยเล่าเรื่องบุญคุณความแค้นในเฮือกเดียวแล้วจ้องมองหร่วนหวาไฉ่ที่ทำหน้าถมึงทึงอย่างเย็นชาด้วยสายตาที่มีแต่ความดูถูกเหยียดหยาม
มีคนจำเหมยเหมยได้เลยตะโกนขึ้น “คนนี้คือนักเขียนนิยายเรื่องเจ้าหญิงอัปลักษณ์ หลายวันก่อนช่องทีวีเคยสัมภาษณ์เธอ ไม่คิดว่าเธอจะเป็นหลานสาวของอาจารย์เหยียน!”
เหมยเหมยอมยิ้มพยักหน้าให้พวกเขาน้อย ๆ คราวก่อนในรายการของเซี่ยเข่ออิ๋งเธอไม่ได้เอ่ยถึงคุณตาเพราะไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเธออาศัยบารมีของคุณตา
เจียงโส่วเฉิงย่อมรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของหร่วนหวาไฉ่ดี แต่เขาไม่คิดว่าจะโชคร้ายดันมาเจอจ้าวเหมยที่ฮ่องกงพอดี
เขายิ้มกล่าว “คุณจ้าวเหมย ผมว่ามีเรื่องเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า? ผมกับคุณตาของคุณ…”
เหมยเหมยพูดขัดเขาแล้วพูดเสียงเย็นชา “คุณเจียงอย่าพูดว่าคุณเป็นเพื่อนเก่าของคุณตาฉันเลยค่ะ สิ่งที่คุณตาฉันเกลียดมากที่สุดก็คือคนโลเลหลายใจ ไม่ว่าคุณเจียงจะตอนหนุ่มหรือตอนแก่ก็ดูจะใช้ชีวิตเสเพลได้เต็มที่จริง ๆ คุณตาฉันจะรู้จักกับคุณได้ไง แล้วจะให้คำชี้แนะคุณได้อย่างไร?”
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นจากล่างเวทีในฉับพลัน
เหมยเหมยเป็นหลานสาวแท้ ๆของอาจารย์เหยียน คำพูดของเธอย่อมเรียกความน่าเชื่อถือได้มากที่สุด ความอิจฉาและความนับถือเพียงน้อยนิดที่พวกเขาเคยมีต่อเจียงโส่วเฉิงมลายหายไปในพริบตา
คราวนี้ตาเฒ่าเจียงโส่วเฉิงทำหน้าตึงบ้าง เขาตวาดเสียงดุดัน “คุณจ้าว ที่นี่คือฮ่องกง จะพูดอะไรเหลวไหลไม่ได้ไม่งั้นผมฟ้องคุณหมิ่นประมาทคุณได้นะ!”
…………………………