ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 1866 ความเหมาะสม + ตอนที่ 1867 ข้ายกใจให้แก่พระจันทร์ เหตุใดพระจันทร์ต้องสาดส่องคูคลอง
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- บทที่ 1866 ความเหมาะสม + ตอนที่ 1867 ข้ายกใจให้แก่พระจันทร์ เหตุใดพระจันทร์ต้องสาดส่องคูคลอง
ตอนที่ 1866 ความเหมาะสม
เหมยเหมยเห็นด้วยกับคำพูดของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีการแต่งงานแบบคลุมถุงชนแล้ว แต่ทุกคนยังคงให้ความสำคัญกับความเหมาะสมทางฐานะครอบครัว ตระกูลเล็ก ๆไม่มาคิดเรื่องพวกนี้หรอก แต่กลุ่มชนชั้นกลางอย่างตระกูลเจียงมักจะพิถีพิถันต่อเรื่องนี้เสมอ
ตระกูลของคุณนายเจียงสูงศักดิ์กว่าตระกูลเจียงไปหนึ่งระดับ หากไม่เป็นเพราะคุณนายเจียงชื่นชอบเจียงจื้อหรู่จริง ๆ พ่อแม่ของคุณนายเจียงไม่มีทางยินยอมให้ลูกสาวแต่งออกเรือนไปแน่นอน!
แต่จากจุดเล็ก ๆนี้ก็ทำให้เห็นได้ว่าจุดยืนเรื่องการแต่งสะใภ้เข้าตระกูลเจียง รูปลักษณ์เป็นรอง ฐานะครอบครัวต่างหากที่สำคัญที่สุด
เด็กนักเรียนยากจนที่มาจากเมืองชนบทเล็ก ๆอย่างสวีจื่อเซวียน แถมชื่อเสียงก็ป่นปี้ หากตระกูลเจียงยอมรับสิแปลก!
ตอนนี้ก็คงต้องรอดูว่าเจียงจื้อหรู่จะรักเธอจริงแค่ไหน!
พอฉีฉีเก๋อได้ฟังในสิ่งที่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนวิเคราะห์ก็นึกปวดหัวขึ้นมาเลย “พระเจ้า การแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนสองคนหรอกเหรอ? ทำไมต้องพิถีพิถันอะไรขนาดนั้นด้วย?”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนมองค้อนใส่แล้วพูดว่า “ผิดแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาการแต่งงานไม่เคยเป็นเรื่องของคนสองคน แต่มันเป็นปัญหาของสองครอบครัวต่างหากล่ะ ทั้งครอบครัวฝ่ายหญิงของเธอและครอบครัวของฝ่ายชายเธอ เพราะงั้นเธอควรจะดูรสนิยมของพ่อแม่สามีให้ดีก่อนแต่งงาน นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”
ฉีฉีเก๋อไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ฉับพลันก็เข้าใจขึ้นมาทันที “ฉันเข้าใจแล้ว เธอไปที่บ้านของอิงจวี้กังครั้งนี้ก็เพื่อจับสังเกตพ่อแม่ของเขาใช่ไหม? ฉันว่าพ่ออิงกับแม่อิงใจดีนะ เชี่ยนเชี่ยนเธอพึงพอใจไหมล่ะ?”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจะรู้ได้อย่างไรว่าพูดอยู่ดี ๆกลับเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองเสียอย่างนั้น ทั้งโมโหทั้งเขินอายจึงเหวี่ยงหมัดใส่ตัวฉีฉีเก๋อไปหลายที
“เพ้อเจ้อ ฉันไปปีนเขาลดน้ำหนักย่ะ เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย ถ้าเธอยังพูดบ้า ๆอยู่อีกฉันจะฆ่าเธอ…”
“ปากเธอบอกว่าจะไปปีนเขา แต่กลับกินเนื้อสัตว์ที่บ้านอิงจวี้กังจนเกลี้ยง พ่อแม่ของเขาก็ดูแลเธอดีไม่น้อย เลี้ยงดูจนเธออวบอ้วนขาวผ่องเลย…” ฉีฉีเก๋อหลบหมัดพลางพูดต่อปากต่อคำ เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนตัวแดงเถือก เหมยเหมยกุมท้องหัวเราะไม่หยุด
ทัศนียภาพแห่งช่วงวสันต์ฤดูมีอยู่ทุกทีจริง ๆ!
ทั้งสามคนหยอกเหย้ากันพลางเดินกลับหอพัก แต่กลับเห็นพ่อพระเอกที่เพิ่งเอ่ยถึงรออยู่ด้านล่างตึก นั่นก็คืออิงจวี้กัง
เดิมทีเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเปิดเผยมาก แต่เมื่อครู่โดนฉีฉีเก๋อแซวจึงทำตัวเฉไฉกลบความเขินอายตะโกนเสียงดุ ๆใส่อิงจวี้กัง “นายมาทำอะไร?”
อิงจวี้กังรอมาเนิ่นนานในที่สุดก็ได้เจอเสียที เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายลงมาก แต่ยิ่งร้อนรนเขาก็ยิ่งพูดไม่ออกจนใบหน้าแดงเถือก
เหมยเหมยเห็นเข้าก็นึกขำ สองคนนี้คนหนึ่งใจร้อนทำอะไรรีบเร่ง อีกคนหนึ่งใจเย็นทำอะไรอืดอาด นี่มันเหมือนดั่งมุมป้านมาเจอกับมุมแหลมชัด ๆ เติมเต็มกันได้ดีจริง ๆ!
“เชี่ยนเชี่ยน เธอกับอิงจวี้กังไปคุยกันทางนั้นสิ ฉันกับฉีฉีเก๋อจะรอเธอตรงนี้” เหมยเหมยพูด
ฉีฉีเก๋อหัวเราะร่าพลางผลักเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนออกไป พร้อมยืดคอยาวแอบฟังอยู่ข้างกำแพงกับเหมยเหมย
“เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกับอิงจวี้กังตกลงคบกันตอนปิดเทอมหน้าร้อนเหรอ?” เหมยเหมยคันยุบยิบในใจ ทั้ง ๆที่ก่อนออกเดินทางไม่เห็นมีท่าทีอะไรเลย
“ก็ไม่ถือว่าตกลงคบกันหรอก แค่ทั้งคู่ต่างก็คิดแบบนั้นแต่ไม่ได้สารภาพออกมา ยังคลุมเครืออยู่เลย” ฉีฉีเก๋ออธิบายอย่างมีเหตุผล
“นี่คือสิ่งที่เธอนิยามขึ้นเองเหรอเนี่ย ไม่เลวเลยนี่!” เหมยเหมยมองเพื่อนอย่างแปลกใจ แค่ปิดเทอมฤดูร้อนเองนะ มีการพัฒนาขึ้นมากเลยทีเดียว!
ฉีฉีเก๋อยิ้มแหย่ “ฉันไม่มีความสามารถขนาดนั้นหรอก รุ่นพี่ฉางเป็นคนพูดต่างหาก”
“นั่นสิ แล้วเธอกับฉางชิงซงนี่ยังไง? เปิดตัวชัดเจนแล้วใช่ไหม” เหมยเหมยถามขึ้นเหมือนรู้อยู่แล้ว
“ฉางชิงซงสารภาพรักกับฉัน ฉันก็เลยตอบตกลงไป ฉันบอกพ่อกับแม่แล้วด้วย พ่อบอกว่าถ้าว่างจะมาเยี่ยมพวกเราที่เมืองหลวง”
มีความเขินอายปรากฏบนใบหน้าของฉีฉีเก๋อแต่เธอก็เปิดเผยชัดเจนดี เพราะสาวน้อยแห่งทุ่งหญ้าอย่างเธอถ้าชอบก็คือชอบ ไม่มีทางเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้อยู่แล้ว
……………………………………………………………………
ตอนที่ 1867 ข้ายกใจให้แก่พระจันทร์ เหตุใดพระจันทร์ต้องสาดส่องคูคลอง
เหมยเหมยรู้สึกดีใจแทนเพื่อน แม้ฉางชิงซงจะเป็นคนชอบหนีปัญหาแต่ก็เป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ แถมยังมีความชอบที่คล้ายคลึงกับฉีฉีเก๋อ ได้อยู่ด้วยกันจะต้องมีความสุขมากแน่ ๆ
“แล้วพ่อแม่ของฉางชิงซงล่ะ? เธอจะไปที่บ้านของเขาเมื่อไร?”
ฉีฉีเก๋อพูดอย่างขวยเขิน “ช่วงตรุษจีนจะไปเที่ยวที่ฮาร์บินแล้วถือโอกาสแวะฉลองตรุษจีนที่บ้านของรุ่นพี่ฉางเลย เขาเองก็บอกกับพ่อแม่แล้ว”
เหมยเหมยถึงค่อยวางใจหน่อย บอกกล่าวกับผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าฉางชิงซงเองก็จริงจังกับความสัมพันธ์ในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่พูดเล่น ๆ
จู่ ๆทางด้านเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกลับโมโหขึ้นมา เสียงดังขึ้นเล็กน้อย เหวี่ยงมือฟาดลงบนตัวอิงจวี้กังไปทีหนึ่งจนเสียงดังก้อง แต่อิงจวี้กังกลับไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงพยายามจะอธิบาย
“ทำไมทะเลาะกันเสียล่ะ? เราเข้าไปช่วยพูดหน่อยไหม?” ฉีฉีเก๋อมึนงงสงสัย
“รอดูสักพักก่อน เข้าไปตอนนี้ไม่ค่อยเหมาะ”
เหมยเหมยดึงฉีฉีเก๋อไว้ไม่ให้เธอบุ่มบ่ามเข้าไป
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนโยนกระเป๋าใบหนึ่งใส่อิงจวี้กัง ตะโกนขึ้นว่า “นายไม่อยากได้ก็โยนลงคลองน้ำเน่าไปสิ!”
เธอจากไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง กระทืบเท้าขึ้นตึกไปด้วยความโมโห
อิงจวี้กังทำหน้าสลดพร้อมเดินเข้ามาหา ในมือยังถือกระเป๋าหนังไว้อยู่ ในนั้นมีเงินก้อนหนึ่งโผล่ออกมา แต่ละใบเป็นธนบัตรใบร้อย หากนับด้วยสายตาคงมีอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยน่าจะสักสองพันหยวนได้
“จ้าวเหมย ฉีฉีเก๋อ พวกคุณช่วยเอาเงินพวกนี้ไปคืนเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนแทนฉันหน่อยได้ไหม?” อิงจวี้กังพูดอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“เงินพวกนี้คืออะไรเหรอ?”
อิงจวี้กังอธิบายอย่างตะกุกตะกัก ผลก็คือเงินนั้นเป็นเงินค่าเนื้อสัตว์ที่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนทิ้งไว้ให้ก่อนกลับ แม่อิงเห็นเข้าในช่วงเข้านอน ทั้งหมดเป็นเงินจำนวนสองพันห้าร้อยหยวน นั่นทำเอาเธอตกใจแทบแย่ เพียงแต่ตอนนั้นเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนและคนอื่น ๆเดินทางออกไปแล้ว หาอย่างไรก็คงหาไม่เจอจึงได้ให้อิงจวี้กังพกกลับมาด้วยตอนเปิดเทอมด้วย
“เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนบอกว่ากินเนื้อสัตว์ของบ้านนายไปตั้งเยอะเลยรู้สึกเกรงใจ เงินพวกนี้ถือเป็นค่าเนื้อสัตว์ ” ฉีฉีเก๋อพูดอมยิ้ม
อิงจวี้กังเกาหนังหัวอย่างทำอะไรไม่ถูก “พวกเธอจ่ายค่าอาหารมาหมดแล้ว เก็บเงินเพิ่มอีกไม่ได้หรอก”
ก่อนไปที่นั่นฉางชิงซงและคนอื่น ๆต่างก็จ่ายเงินค่าอาหารหมดแล้ว ในเขตชนบทไม่จำต้องซื้อพวกผักหรือเนื้อสัตว์ใด ๆและไม่ได้ใช้เงินมากมายอะไรด้วย
“พวกเราไม่ช่วยนายถือเงินไปหรอกนะ นายเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน ฉันไม่กล้ามีปัญหากับเธอหรอก” เหมยเหมยเอ่ยกวน ๆ อิงจวี้กังหน้าบูดบึ้งเป็นมะระขม เงินในมือจึงกลายเป็นเผือกร้อน[1]ไปแล้ว
เหมยเหมยกึ่งหยอกล้อกึ่งหยั่งเชิง “นายคืนให้เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนตอนนี้เธอก็คงโกรธน่าดู หรือไม่คราวหน้านายก็ให้เธอเพิ่มสิถือเป็นค่าสินสอด”
“ใช่ ๆ เงินก้อนนี้นายเอาไปใช้ก่อน อีกหน่อยก็หาให้ได้เยอะ ๆแล้วค่อยซื้อเนื้อสัตว์ให้เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกิน เธอชอบกินเนื้อสัตว์เป็นที่สุดเลย” ฉีฉีเก๋อพยักหน้าเห็นด้วย อิงจวี้กังพวงแก้มแดงเป็นผลส้ม ดวงตาพลันเป็นประกายวาววับ
ภายใต้คำชักจูงของเหมยเหมยและฉีฉีเก๋ออิงจวี้กังจึงตัดสินใจเก็บเงินนั้นไว้ เขาไม่กล้ายั่วโมโหคุณหนูเหริ่นอีกแล้ว กลัวว่าถ้าเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนโกรธขึ้นมาจริง ๆคงจะโยนเงินก้อนนั้นลงไปในคลองน้ำเน่า
สองพันห้าร้อยหยวนเลยนะ น่าเสียดายแย่!
วันหลังเขาค่อยหาโอกาสคืนให้เธอก็แล้วกัน!
ถึงอย่างไรเงินก้อนนี้เขาก็ไม่มีทางเอาไปใช้เด็ดขาด นี่มันเป็นเรื่องศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย
เหมยเหมยและฉีฉีเก๋อกลับหอพัก เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนนั่งโกรธปึงปังอยู่ในห้องคนเดียว แล้วลากพวกเธอมาระบายความคับแค้นใจ นัยยะสำคัญก็คือการที่อิงจวี้กังไม่เห็นถึงความหวังดีของเธอ เห็นความจริงใจของเธอเป็นดั่งขี้หมา
“ข้ายกใจให้แก่พระจันทร์ เหตุใดพระจันทร์ต้องสาดส่องคูคลอง[2]”
ในหัวสมองของเหมยเหมยพลันปรากฏบทกวีท่อนหนึ่งขึ้นมา มันช่างเข้ากับสถานการณ์นี้เสียเหลือเกิน เธอจึงอมยิ้มพร้อมท่องออกมาอย่างอดไม่ได้ ฉีฉีเก๋อเองก็หัวเราะตาม จากตอนแรกที่เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนโกรธอยู่ไม่น้อยกลับต้องหลุดขำเพราะโดนสองคนตรงหน้าแหย่เข้า
“สายตาของฉันต้องมีปัญหาแน่ ๆ…” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนหัวเราะไปได้สักพัก จู่ ๆก็รู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมา
ในเมืองหลวงมีคุณชายหล่อเหลาตั้งมากมาย ทำไมเธอถึงได้มาชอบผู้ชายหน้าตาบ้าน ๆจอมอืดอาดอย่างอิงจวี้กังได้นะ?
……………………………………………………………………
[1] เรื่องราวหรือปัญหาที่ยากจะรับมือ
[2] หมายถึง ข้าปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความหวังดี แต่เจ้ากลับไม่เห็นคุณค่า ไม่แยแส