ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 1878 เคราะห์ร้ายที่หนีไม่พ้น + ตอนที่ 1879 เข้าถึงบทแล้ว
ตอนที่ 1878 เคราะห์ร้ายที่หนีไม่พ้น
อากาศร้อนเกินไป คุณพ่อสวีถูกหามไปเผาที่ลานเผาศพในวันนั้นทันที ขามายังมีชีวิตดี ๆอยู่เลยแต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงเถ้ากระดูก เฮ้อ!
“สวีจื่อเซวียนตอนนี้เป็นไงบ้าง? มาเรียนไม่ได้แล้วจริง ๆเหรอ?”
ขณะที่ทานอาหารมื้อเที่ยงที่โรงอาหารฉีฉีเก๋อถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ หลังจากเกิดเรื่องคุณพ่อสวีสวีจื่อเซวียนก็ไม่ปรากฏตัวอีก และไม่รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง
“ประกาศไล่ออกไปแล้วทางมหาวิทยาลัยจะให้เธอกลับมาเรียนได้ยังไงล่ะ? ถ้าเธออยากเรียนต่อมีแค่วิธีเดียวก็คือเข้าร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกรอบ” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนทานผักคำโต หลายวันนี้เธอแทบไม่ได้ทานเนื้อ ทานแต่ผักทุกวัน
เหมยเหมยรู้ว่าผู้หญิงคนนี้อารมณ์ไม่ดีเพราะการตายของคุณพ่อสวี ความจริงเธอเองก็ไม่ได้อารมณ์ดีไปกว่ากันเท่าไรนักหรอก หลายวันนี้รู้สึกหนักอึ้งมาตลอด
“งั้นก็ต้องรอปีหน้า สวีจื่อเซวียนมีพื้นฐานดี ถ้าสงบจิตสงบใจตั้งใจอ่านหนังสือดี ๆ รอสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงใหม่ก็ไม่มีปัญหาหรอก”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเคี้ยวผักอีกคำหนึ่งแล้วแค่นเสียงหัวเราะทีหนึ่ง “ถึงอย่างนั้นก็ต้องดูว่าตัวเธอเองอยากเรียนหรือเปล่า เพราะตอนนี้คิดแต่อยากจะเป็นคุณนายเจียง จะสงบจิตสงบใจอ่านหนังสือได้เหรอ?”
คนที่น่าสงสารที่สุดคงเป็นคุณพ่อสวีที่ต้องมาเสียชีวิตเพราะลูกสาวอกตัญญูแบบนี้ แล้วยังไม่ได้ผลประโยชน์อะไรอีกต่างหาก!
ทั้งสามคนถอนหายใจอย่างพร้อมเพรียงแล้วส่ายหน้าหมดความอยากอาหารไปโดยปริยาย
แม้แต่ฉีฉีเก๋อที่ปกติเจริญอาหารที่สุดตอนนี้ก็ทานอาหารไม่ลง เธอทิ้งช้อนลงอย่างหงุดหงิดแล้วเอ่ยอย่างรู้สึกผิดว่า “ถ้าวันนั้นฉันไม่พูดแบบนั้นคุณลุงสวีอาจจะไม่ตายใช่ไหม?”
“อย่าคิดเหลวไหลไปเลย ต่อให้เธอไม่พูดคุณลุงสวีก็ต้องได้ข่าวจากที่อื่นอยู่ดี เคราะห์ร้ายนี้เขาหนีไม่พ้นหรอก” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดเสียงเอื่อยตอบ
สวีจื่อเซวียนก็คือตัวเคราะห์ร้ายในชีวิตของคุณพ่อสวีที่ฟ้ากำหนดชะตามาแล้วว่าเขาจะต้องตายด้วยน้ำมือของลูกสาวแท้ ๆตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น!
ฉีฉีเก๋อกลับยังทำใจไม่ได้พลางทานข้าวไปคำแล้วคำเล่า กระทั่งจู่ ๆเอ่ยขึ้นมาว่า “ฉันอยากไปไหว้คุณลุงสวี แบบนี้ฉันจะได้รู้สึกดีขึ้นสักนิด”
“ฉันไปด้วย รู้สึกเหมือนมีตราชั่งถ่วงที่ใจเลย อึดอัดจะแย่!”
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนทิ้งช้อนลงทันที มีแต่รสชาติเหม็นเขียวในปาก ไม่ทานแล้ว!
คุณพ่อสวีถูกฝังอยู่ในสุสานของเมืองหลวง จากแหล่งข่าวของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนได้ยินมาว่าความจริงบ้านเกิดของคุณพ่อสวีอยู่ทางตอนเหนือแต่คุณแม่ของสวีจื่อเซวียนกลับมาจากเมืองเล็ก ๆทางตอนใต้ เพราะความรักจึงทำให้คุณพ่อสวีไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดของภรรยาแต่สุดท้ายกลับแยกทางกัน
นอกจากนี้บ้านของคุณพ่อสวีก็ไม่มีญาติพี่น้องคนอื่นอีก เหลือเพียงเขาคนเดียว ฉะนั้นสวีจื่อเซวียนจึงฝังคุณพ่อสวีไว้ในเมืองหลวงอย่างที่คุณพ่อสวีเคยวาดฝันว่าอยากมาใช้ชีวิตที่นี่มากที่สุด
พวกเหมยเหมยซื้อดอกเบญจมาศสีขาว ส่วนเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็ไม่รู้ว่าไปเอาธูปเทียนมาจากไหน รวมถึงกงเต๊กที่หอบมาเป็นถุงใหญ่
“แหะ ๆ เผาเยอะ ๆไว้ให้ลุงสวีมีใช้ในอีกโลกเยอะ ๆ ชาติหน้าจะได้เกิดใหม่มีชีวิตที่ดีนะคะ!” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนลูบจมูกอธิบาย เธอค่อนข้างงมงายเรื่อพวกนี้เลยต้องเผากงเต๊กให้บรรพบุรุษเป็นถุงกระสอบใหญ่ในทุกงานประเพณีเพื่อความสบายใจ
ลุงเหลาขับรถพาพวกเธอไปที่สุสานซึ่งเจียงจื้อหรู่เป็นคนหาสุสานนี้เอง สุสานเขาชุ่ยหลงนับว่าเป็นสุสานที่ค่อนข้างดูดีในเมืองหลวงและราคาไม่ถูกเลย
“เจียงจื้อหรู่มีเงินอยู่นี่นา สุสานที่นี่ถูกสุดก็ตั้งหลายพันเลยนะ!” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเอ่ย
เหมยเหมยใจกระตุกวูบ เจียงจื้อหรู่ไม่มีทางมีเงินเยอะขนาดนี้หรอก แล้วเขาได้เงินมาจากไหนนะ?
ตระกูลเจียงก็ทะเลาะกับเขาอย่างหนักจึงไม่มีทางให้เงินเขาแน่นอน ถ้าอย่างนั้นมีแค่คนเดียว–อดีตคุณนายเจียง
เหมยเหมยถอนหายใจเฮือกหนึ่ง อนาคตของสวีจื่อเซวียนช่างเลือนรางเหลือเกิน!
ปัดกวาดสุสานให้คุณพ่อสวีเสร็จชีวิตของพวกเธอก็กลับมาสงบดังเดิม ผู้ตายตายจากไปแล้วแต่คนที่ยังอยู่ก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป
ชั่วพริบตาเดียวก็ล่วงมาถึงเดือนตุลาคม อากาศเริ่มเย็นลง โจวซิ่งเอ๋อร์มาถึงเมืองหลวงแล้ว
……………………………………………………
ตอนที่ 1879 เข้าถึงบทแล้ว
เดิมทีโจวซิ่งเอ๋อร์ควรมาตั้งแต่เดือนกันยายนแล้วแต่เธอไม่วางใจเรื่องสุขภาพของโจวจื่อหัวจึงอยู่เป็นเพื่อนเพิ่มอีกหนึ่งเดือน เหมยเหมยช่วยติดต่อวิทยาลัยภาพยนตร์เมืองหลวงให้ เธอจึงกลายเป็นศิษย์น้องของเจียงซินเหมยไปแล้ว
พอเห็นโจวซิ่งเอ๋อร์ที่กลับมาร่าเริงมีชีวิตชีวาท่ามกลางผู้คนที่เดินหลั่งไหลออกมานั้น เหมยเหมยก็อารมณ์ดีขึ้นโดยปริยายเลยโบกมือให้โจวซิ่งเอ๋อร์ไม่หยุด
โจวซิ่งเอ๋อร์เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก ใบหน้ารูปไข่ห่านที่เรียวแหลมขึ้นทำให้ความแก่นแก้วลดลงมากกว่าเมื่อก่อนและดูอ่อนโยนมากขึ้น ผิวก็ขาวขึ้นมากเช่นกัน ทั้งละเอียดและลื่นมือ คิ้วที่เคยเข้มก็จางลงมากทีเดียว มองดูแล้วมีกลิ่นอายของเจ้าหญิงอัปลักษณ์ขึ้นมาเล็กน้อย
เหมยเหมยคิดไม่ถึงว่าโจวซิ่งเอ๋อร์จะเริ่มเข้าถึงบทก่อนเวลามากขนาดนี้ พอเธอเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งดีใจและรู้สึกมั่นใจในตัวโจวซิ่งเอ๋อร์กว่าเดิมเท่าตัว!
“ซิ่งเอ๋อร์ ทำดีมาก!”
เหมยเหมยสวมกอดโจวซิ่งเอ๋อร์
โจวซิ่งเอ๋อร์ยิ้มแก้มปริ “พี่เหมย ฉันไม่มีวันทำลายเจ้าหญิงอัปลักษณ์ของพี่แน่ พี่สบายใจได้!”
ตลอดสองเดือนนี้นอกจากเธอจะดูแลคุณปู่แล้ว เวลาที่เหลือก็ใช้ไปกับการวิเคราะห์เรื่องลักษณะนิสัยและสภาพจิตใจของเจ้าหญิงอัปลักษณ์ คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงอัปลักษณ์อยู่ทุกวันจนบางครั้งเธอก็ชักจะแยกไม่ออกว่าเธอเป็นใครกันแน่?
“พี่เชื่อมั่นในตัวเธอนะ ไปกันเถอะ เรากลับไปทานข้าวกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยพาเธอไปรายงานตัวที่วิทยาลัยแล้วกัน” เหมยเหมยฉุดแขนเธอเดินไปข้างนอก
เพราะสถานะของโจวซิ่งเอ๋อร์ที่ค่อนข้างพิเศษจึงไม่มีทางให้นอนหอพักของทางวิทยาลัยอยู่แล้ว เหยียนหมิงซุ่นได้จัดหาที่พักให้เธอและลูกพี่ลูกน้องอีกสองคน อีกทั้งยังจัดหาบอดี้การ์ดกับคนขับรถไว้ให้ด้วย เรื่องความปลอดภัยจึงไม่ใช่ปัญหาแน่นอน
เหมยเหมยกำชับเจียงซินเหมยให้ช่วยสอดส่องดูแลโจวซิ่งเอ๋อร์ด้วย เจียงซินเหมยเป็นคนกระตือรือร้นชอบช่วยเหลือผู้อื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เธอย่อมรับปากในทันทีว่าหลังจากนี้ตนจะช่วยดูแลโจวซิ่งเอ๋อร์อีกทาง
เจียงซินเหมยก็ร่วมเล่นเรื่องเจ้าหญิงอัปลักษณ์ด้วยเช่นกันซึ่งเธอรับบทเป็นตัวเอง เธอจึงแสดงบทบาทของตัวละครออกมาได้เหมือนเป๊ะทุกประการ
จ้าวเสวียเอ๋อร์กับเหมยซูหานเองก็คุยกันเรื่องสัญญาเสร็จสรรพเรียบร้อย นักแสดงหลักก็ได้มาครบทุกตัวละครแล้ว ทุกอย่างเตรียมการไว้หมดแล้วเหลือเพียงเรื่องสำคัญสุดท้าย
“หานจื่อจวินจะว่างอีกทีตอนสิ้นปีเลย แล้วก็รอได้ใบอนุญาตให้ถ่ายทำก็พอ เรื่องนี้น่าจะไม่เป็นปัญหาเพราะเราถ่ายละครแนวรักวัยรุ่นใส ๆ ไม่มีประเด็นสุ่มเสี่ยงอะไร พวกเขาไม่มีทางขัดได้หรอก”
จ้าวเสวียเอ๋อร์มั่นใจอย่างมากเพราะละครแนวประวัติศาสตร์หรือสงครามต่างหากที่ควรกังวล ละครประเภทรักใส ๆอย่างเจ้าหญิงอัปลักษณ์ต้องผ่านฉลุยอย่างแน่นอน
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาระยะเวลาในการตรวจสอบก็จะราว ๆครึ่งปีซึ่งจะตรงกับช่วงสิ้นปีพอดี ช่วงนี้ควรเริ่มเตรียมการเบื้องต้นกันได้แล้วเพราะมีเรื่องยิบย่อยเล็ก ๆน้อย ๆมากทีเดียว!
วันเวลาผ่านพ้นไปวันแล้ววันเล่าจนผ่านไปอีกหนึ่งเดือนชีวิตทุกอย่างก็ราบรื่นดีไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้แต่อู่เยวี่ยเองก็สงบเสงี่ยมที่จะโผล่มาให้เห็นหน้ากันเป็นระยะ ๆเพื่อโอ้อวดครรภ์ของเธอบ้าง
แต่พอถึงช่วงเดือนพฤศจิกายนกิจกรรมของอู่เยวี่ยกลับเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอผ่านช่วงอันตรายสามเดือนแรกมาแล้วครรภ์จึงปลอดภัยดี ขอเพียงไม่เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ครรภ์นี้จะต้องอยู่รอดปลอดภัยจนคลอดแน่ ๆ
หนิงเฉินเซวียนเองก็อารมณ์ดีขึ้นตามอายุครรภ์ของอู่เยวี่ยเลยคุยง่ายเป็นพิเศษแทบจะตอบตกลงทุกข้อเรียกร้อง
ผ่านไปได้สามเดือนโอหยางเซี่ยงหมิงก็ถูกย้ายกลับมาเมืองหลวง เขายังคงทำงานในหน่วยงานกิจการวิทยุและโทรทัศน์เหมือนเดิมแถมยังได้เลื่อนตำแหน่งอีกต่างหาก
เพราะตอนทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันครั้งหนึ่ง อันที่จริงตั้งแต่อู่เยวี่ยท้องหนิงเฉินเซวียนก็ตั้งกฎให้มีการทานข้าวร่วมโต๊ะกันทั้งครอบครัวทุกสามวัน เขาบอกว่าอยากจะพัฒนาความสัมพันธ์กับหลานชายโดยเริ่มตั้งแต่อยู่ในท้อง
เฮ่อเหลียนเช่อจะไปหรือไม่นั้นหนิงเฉินเซวียนไม่สนใจเลยสักนิด ในเมื่อเขาอยากสร้างสายสัมพันธ์กับแค่หลานชายเท่านั้น ส่วนทางลูกชายนั้นสานสัมพันธ์กันมายี่สิบกว่าปีแล้ว ซึ่งดูท่าไม่น่ารอด
อู่เยวี่ยปากหวานช่างเอาอกเอาใจ หลังจากทานข้าวร่วมโต๊ะกับหนิงเฉินเซวียนไม่กี่มื้อก็สร้างความประทับใจมากขึ้นถึงขั้นสงสัยว่าสิ่งที่เหมยเหมยเคยพูดเรื่องพ่อบุญธรรมนั้นน่าจะเป็นเรื่องที่จงใจใส่ร้ายอู่เยวี่ยแน่นอน เช่นนี้เองอู่เยวี่ยกับหนิงเฉินเซวียนจึงเข้ากันได้ดีเกินคาด เฮ่อเหลียนเช่อเองยังรู้สึกแปลกใจแต่ก็รู้สึกดีที่เป็นเช่นนี้
ตอนนี้หนิงเฉินเซวียนใจผูกอยู่แต่กับหลานชายเลยไม่มีเวลามายุ่งเรื่องเขากับเหมยซูหาน อิสระมากขึ้นเยอะทีเดียว!
………………………………………………