ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 1908 ปล่อยไปตามยถากรรม + ตอนที่ 1909 เปิดกล้อง
ตอนที่ 1908 ปล่อยไปตามยถากรรม
เหมยเหมยจ้องเธอตาเขม็งพูดอย่างหัวเสียว่า “คัดลอกเก็บไว้แล้วไง? สมุดบัญชีของจริงก็คืนให้เธอแล้วไง ต้องทำอย่างไรต่อไปต้องให้ฉันเป็นคนบอกด้วยเหรอ?”
อู่เยวี่ยแน่นหน้าอก พยายามสะกดกลั้นความโกรธแล้วสั่งให้ลูกน้องรับสมุดบัญชีมาเก็บไว้ แม้ว่าจ้าวเหมยจะพูดจาไม่น่าฟังแต่เธอก็พูดถูก ขอแค่สมุดบัญชีอยู่ในมือ เธออยากจะทำอะไรก็ขึ้นอยู่กับตัวเธอแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าเหยียนหมิงซุ่นจะข่มขู่อีก
“ข้อแลกเปลี่ยนสำเร็จด้วยดี ขอให้ละครของคุณหนูจ้าวราบรื่นทุกอย่าง ประสบความสำเร็จนะคะ” อู่เยวี่ยพูดพลางยิ้มสดใส
เหมยเหมยก็ยิ้มตอบอย่างเสแสร้ง “ขอแค่ไม่มีพวกคนชั้นต่ำคอยแอบเล่นตุกติก ละครของฉันต้องราบรื่นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ต่อให้มีพวกชั้นต่ำคิดไม่ซื่อฉันก็ไม่กลัวหรอก โผล่มาเดี่ยวก็ฆ่าเดี่ยว มาคู่ก็ฆ่าคู่!”
จังหวะที่เธอพูดประโยคนี้ดวงตาก็จับจ้องอู่เยวี่ยไม่วางตา ไอสังหารปะทุขึ้นมา
อู่เยวี่ยไม่คิดเช่นนั้น สมุดบัญชีอยู่ในมือแล้ว อำนาจก็กลับมาเป็นของเธอดังเดิม คิดว่าเธอจะกลัวยัยชั่วจ้าวเหมยเหรอ!
“คุณหนูจ้าวคิดมากไปหรือเปล่า บางทีมันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้ จะมีคนชั้นต่ำมากอะไรขนาดนั้น!”
เหมยเหมยแค่นหัวเราะเสียงเบาพร้อมสำรวจเธอครู่หนึ่ง เอ่ยตอบไม่ตรงคำถามว่า “ฉันก็ขอให้คุณนายเฮ่อเหลียนรีบ ๆคลอดลูก และอย่าได้เจอเรื่องร้ายแรงอะไรอีกเลย!”
อู่เยวี่ยใจสั่น จ้าวเหมยหมายความว่าอย่างไร?
หรือว่าเธอคิดจะฆ่าเด็ก?
อู่เยวี่ยกุมหน้าท้องของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว เด็กคนนี้เป็นถึงไพ่ตายของเธอ จ้าวเหมยอย่าได้คิดจะทำร้ายเด็กแม้แต่น้อย!
เหมยเหมยหัวเราะเยาะแล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ไม่ว่าเธอจะเกลียดอู่เยวี่ยแค่ไหนก็ไม่มีทางไปลงที่เด็กอย่างเปิดเผยหรอก อย่างมากก็แค่ปากหมาหาเรื่องให้อู่เยวี่ยโมโหก็เท่านั้นแหละ
ถ้ารอดก็ถือว่าเป็นชะตากรรมของเด็กคนนี้ แต่ถ้าไม่รอดก็เป็นชะตากรรมของเด็กคนนี้เช่นกัน!
ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรมเถอะ!
แม้จะคืนสมุดบัญชีให้อู่เยวี่ยไปแล้ว ตอนนี้จึงยังถือว่าเงียบสงบได้ชั่วคราว แต่เงินหนึ่งล้านของเธอกลับไม่ได้คืน เหยียนหมิงออกคำสั่งแล้วว่าให้เปิดเผยยอดบริจาคอย่างโปร่งใส มีหรือที่อู่เยวี่ยจะกล้าปกปิดอีกจึงทำได้แค่ตัดใจจากเงินหนึ่งล้าน ทุกครั้งที่นึกถึงก็มักจะปวดใจจนต้องฉีดยากันแท้ง
ใช่ว่าอู่เยวี่ยจะไม่ไปหาเฮ่อเหลียนเช่อ เฮ่อเหลียนเช่อไม่ได้ขาดแคลนเงิน เงินล้านหนึ่งสำหรับเขาก็แค่เศษเงินเท่านั้น อู่เยวี่ยเล่าเรื่องที่ถูกเหมยเหมยหลอกเอาเงินไปล้านหนึ่งให้ฟัง
อันที่จริงเฮ่อเหลียนเช่อได้ยินมาสักพักแล้วล่ะแต่เขาไม่ได้คิดจะใส่ใจ
เขาไม่ได้เข้าร่วมมูลนิธิเสียหน่อย แถมเขายังไม่เห็นด้วยกับการที่หนิงเฉินเซวียนใช้ประโยชน์จากมูลนิธิในการหาเงิน แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เพราะเขาจิตใจดีหรือมีคุณธรรมสูงส่งแต่อย่างใด
แต่เป็นเพราะเฮ่อเหลียนเช่อทะนงตนเป็นอย่างมาก เขามีความมั่นใจต่อความสามารถในการหาเงินของตัวเองมาก ดังนั้นเขาคิดว่ามีวิธีการหาเงินอยู่นับพันนับหมื่นวิธี เหตุใดต้องเลือกหนทางที่เลวร้ายที่สุดด้วยเล่า?
หนิงเฉินเซวียนไม่ยอมฟังเขา เอาความสุขของตัวเองไปสร้างบนความทุกข์ของคนอื่น ความจริงเขาอาจจะไม่ได้ขาดแคลนเงินส่วนนี้เลย แต่อาจจะชื่นชอบแบบนี้มากกว่าจึงเสพสุขอย่างมีความสุข
เฮ่อเหลียนเช่อไม่พึงพอใจต่อการร่วมมือกระทำความชั่วของหนิงเฉินเซวียนกับอู่เยวี่ยมาตั้งแต่แรกแล้ว แล้วจะยอมให้เงินเธอได้อย่างไรล่ะ?
“เธอนี่เอาชนะไม่ได้แม่แต่คนโง่อย่างจ้าวเหมย ฉันเก็บเธอไว้จะมีประโยชน์อะไรฮะ?” เฮ่อเหลียนเช่อมีสีหน้าเย้ยหยัน แล้วอู่เยวี่ยจะกล้าเอ่ยถึงเงินหนึ่งล้านอีกหรือ จึงได้แต่หนีออกมาด้วยความหวาดกลัว
เธอหมดหวังกับเงินหนึ่งล้านแล้ว ครั้งหน้าค่อยหาวิธีหากลับมาใหม่แล้วกัน!
เหมยซูหานยืนอยู่นอกระเบียงอาคารชั้นสองมองอู่เยวี่ยที่นั่งรถจากไปอย่างเย็นชา ผู้หญิงคนนี้นี่แหละที่แย่งชิงชื่อเสียงและสถานะที่เขาไม่มีวันได้ครอบครองไปจากเขา แต่กลับไม่ยอมสงบเสงี่ยมเจียมตัวเอาแต่ก่อปัญหาไม่เว้นวัน ซ้ำยังคิดทำร้ายเหมยเหมยอีก
หึ!
อยากได้เงินหนึ่งล้านคืนงั้นเหรอ?
ถ้ามีเขาอยู่ แม้แต่สลึงเดียวก็จะไม่มีวันให้!
เขาเป็นคนจัดการดูแลเงินของเฮ่อเหลียนเช่ออยู่ จะให้หรือไม่ให้เงินมันขึ้นอยู่กับเขาต่างหาก!
………………………………………………………
ตอนที่ 1909 เปิดกล้อง
พิธีเปิดกล้องของเจ้าหญิงอัปลักษณ์จัดขึ้นอย่างราบรื่น เหมยเหมยเข้าร่วมพิธีด้วย อู่เชากับสยงมู่มู่ก็ไปด้วย อีกอย่างเพลงประกอบละครและดนตรีประกอบละครเหมยเหมยยกให้สยงมู่มู่เป็นคนจัดการทั้งหมดเลย เชื่อว่าเขาจะไม่ทำให้เธอผิดหวังแน่นอน
โปสเตอร์โปรโมทเหมยเหมยก็เป็นคนวาดเองซึ่งเป็นภาพการ์ตูน แต่วาดออกมาได้สวยมาก ผู้ชมที่ชื่นชอบไม่ใช่แค่กลุ่มวัยรุ่นเท่านั้น แต่ผู้ชมที่ค่อนข้างมีอายุก็มองว่าน่ารักเช่นกัน ทำเอาสาวน้อยหัวใจพองตัวเลยทีเดียว
นอกจากแขกรับเชิญแล้ว จุดที่ดึงดูดใจที่สุดก็คงไม่พ้นพระเอกของเรื่องตามคาด ตอนที่จ้าวเสวียเอ๋อร์โฆษณาก็ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนเลยว่าหานจื่อจวินคือพระเอก บอกเพียงแค่ว่าจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังนั่นจึงยิ่งเป็นจุดขาย
จนกระทั่งก่อนพิธีเปิดกล้องหนึ่งวันจ้าวเสวียเอ๋อร์ถึงได้ป่าวประกาศว่าพระเอกคือใคร แค่ระยะเวลาอันสั้นก็กลายเป็นกระแสดังไปทั่วทั้งประเทศ
ใคร ๆต่างก็คิดไม่ถึงว่าหานจื่อจวินที่เล่นหนังฟอร์มยักษ์มาตลอดจะเล่นละครทีวีเล็ก ๆแบบนี้ด้วย?
นับว่าเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว!
เนื่องด้วยการสร้างกระแสเช่นนี้เจ้าหญิงอัปลักษณ์ที่ยังไม่ทันได้เริ่มถ่ายทำก็กลายเป็นที่พูดถึงทั่วบ้านทั่วเมือง คนทั่วทั้งประเทศต่างก็เฝ้ารอให้ละครเรื่องนี้รีบถ่ายทำให้เสร็จ พวกเขาจะต้องได้เห็นเจ้าหญิงอัปลักษณ์ในฉบับคนตัวเป็น ๆ!
หวังว่าจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังนะ!
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายทำ โจวซิงเอ๋อร์จึงได้ย้ายเข้าไปอยู่ในกองตั้งแต่แรก สมุดบันทึกถูกจดอย่างละเอียด จากที่เจียงซินเหมยเล่าให้ฟังโจวซิงเอ๋อร์เข้าถึงตัวละครจนเสียความเป็นตัวเองไปแล้ว แต่ผลลัพธ์นั้นเห็นได้อย่างชัดเจน แม้แต่เหมยเหมยเองยังรู้สึกได้ ราวกับว่าโจวซิงเอ๋อร์ก็คือเจ้าหญิงอัปลักษณ์จากปลายปากกาของเธอ ไม่มีความต่างกันเลย
ความจริงแล้วนี่คือเซอร์ไพรส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เหมยเหมยได้รับต่างหาก
หานจื่อจวินมีประสบการณ์ทำงานมามากเธอจึงไม่กังวลเลย บัดนี้โจวซิงเอ๋อร์ก็เข้าสู่สภาวะสมบูรณ์พร้อมแล้ว เธอสามารถคาดการณ์ถึงความสำเร็จของละครทีวีเรื่องนี้ได้แล้วล่ะ!
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาเจ้าหญิงอัปลักษณ์ก็เริ่มถ่ายทำได้หนึ่งเดือนแล้ว อากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อย ๆ หิมะในเมืองหลวงตกลงมาเป็นครั้งที่สาม วันนี้หิมะตกโปรยปรายราวกับขนห่าน ทั่วทุกพื้นที่ล้วนปกคลุมไปด้วยผ้าห่มสีเงิน
หิมะตกตลอดทั้งคืนช่วงเช้าพึ่งจะหยุดตก แต่หิมะบนท้องถนนมีความหนาราวหนึ่งฟุตและมีความอ่อนตัว พอเหยียบก็จมยวบลงไปจนเกือบจะถึงช่วงเข่า
ในตัวบ้านกลับอบอุ่นเหมือนช่วงฤดูใบไม้ผลิ ใส่เสื้อผ้าแค่ชั้นเดียวก็เอาอยู่แล้ว วันนี้มีคาบวิชาเรียนที่สำคัญหลายวิชา โดดเรียนไม่ได้เลย เหมยเหมยตื่นแต่เช้าอย่างยากลำบากเพื่อเตรียมตัวไปมหาวิทยาลัย
“สายกว่านี้หน่อยค่อยไป ตอนนี้หิมะบนถนนยังตักออกไม่หมดเลย ขับรถลำบาก”
เหยียนหมิงซุ่นทาซอสเนื้อบนหน้าขนมปังแผ่น จากนั้นก็ประกบด้วยเบคอนและไข่ดาวแล้วก็ใส่ผักสดไม่กี่ใบ แซนวิชแสนอร่อยก็เป็นอันเสร็จสิ้น ช่วงนี้เหมยเหมยชอบกินอาหารตะวันตก เหยียนหมิงซุ่นจึงกินกับเธอด้วย
“ไม่เอาผักสดนะ เหม็นเขียว”
เหมยเหมยเขี่ยผักสดในขนมปังออกอย่างไม่พอใจ เกลียดที่สุดคือการกินผักสดนี่แหละ เพราะรู้สึกเหมือนแพะกินหญ้าเลย
เหยียนหมิงซุ่นไม่พูดอะไร แค่จ้องเธอด้วยสายตาเรียบนิ่ง…
ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง…
“แต่ถ้าเป็นแซนวิชที่พี่หมิงซุ่นทำ ต่อให้เป็นผักสดที่เกลียดที่สุดก็ยังถือว่าอร่อยค่ะ…”
เหมยเหมยจำนนต่อท่าทีข่มขู่ของใครบางคนแล้วยัดผักสดเข้าปากอย่างว่าง่าย นิ่วหน้าจนเป็นก้อน กินผักสดสองใบกลืนลงคอรวดเดียวอย่างไม่กลัวตาย จากนั้นก็หันมากัดแซนวิชคำหนึ่งถึงทำให้รสชาติในช่องปากดีขึ้นมาบ้าง
เหยียนหมิงซุ่นอมยิ้มที่มุมปาก นัยน์ตาฉายแววขำขัน ช่วงนี้เขาค้นพบแล้วว่าหากจะต้องต่อปากต่อคำกับยัยปีศาจน้อย สู้เขาส่งสายตาไปให้เธอดีกว่าแล้วให้เธอสัมผัสเอง
ผลลัพธ์ไม่ใช่แค่ดีธรรมดาเชียวล่ะ!
รถกวาดหิมะบนท้องถนนทำงานกันอย่างขันแข็ง พอถึงช่วงที่ทุกคนเตรียมตัวไปทำงานหิมะบนท้องถนนก็ถูกกวาดจนสะอาดเกลี้ยง เพียงครู่เดียวคนก็พลุกพล่านวุ่นวาย และทุกคนก็เริ่มต้นวันชุลมุนท่ามกลางลมหนาว
สวีจื่อเซวียนสวมเสื้อกันหนาวผ้าฝ้ายสีขาวคลุมยาวถึงเข่า ผมเผ้ายุ่งเหยิง ช่วงน่องเปลือยเปล่า แถมยังใส่แค่รองเท้าแตะและสวมถุงเท้าคู่หนึ่งเดินบนถนนด้วยจิตใจที่ล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
……………………………………………………………….