ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 628 เราจะสู้ไปด้วยกัน + บทที่ 629 แผนการเล็กๆ
บทที่ 628 เราจะสู้ไปด้วยกัน
จ้าวเสวียหลินเข้าใจความรู้สึกของแม่ตนดี ยิ่งในตอนนี้มีฐานะเป็นคนตระกูลจ้าว ทำการใดต้องมีความละเอียดรอบคอบ หากไม่ระวังตัวไว้ก็สามารถถูกผู้ไม่หวังดีขุดคุ้ยหลักฐานขึ้นมา และพร้อมที่จะใช้มีดแทงข้างหลังได้ทุกเมื่อ
ความจริงตระกูลจ้าวถูกมีดแทงจนหวาดกลัวไปหมดแล้ว!
พวกตานเหอเจิ้งทั้งสามคนนี้ แค่ได้ยินก็รู้เลยว่าเป็นพวกตีสองหน้า หน้าเนื้อใจเสือ ทั้งยังเป็นบุคคลอันมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก ใช่ว่าตระกูลจ้าวจะไม่สามารถจัดการพวกเขาทั้งสามคนได้ เพียงแต่นั่นมีความเสี่ยงสูง
หากถูกคนมีแผนการชั่วร้ายหลอกใช้จะทำเช่นไร หากร่วมมือกับพวกตานเหอเจิ้งแล้วทำให้เรื่องเล็กกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ นั่นคงไม่ต่างไปจากขี้หมาที่สะบัดไม่หลุดจากก้น และวุ่นวายจนพลาดท่าได้!
อีกทั้งแม่ของเขาเป็นแค่ภรรยาของลูกชายในตระกูลจ้าวเท่านั้น คุณตาของเขาจึงถือเป็นเพียงญาติที่เข้ามาเกี่ยวดองกัน คุณปู่จ้าวคงไม่มีทางทำอะไรบุ่มบ่ามวู่วามเพื่อช่วยญาติโกโหติกาประเภทนี้ ญาติพี่น้องของตระกูลจ้าวก็มีอยู่ไม่น้อย หากว่าพวกเขาเปิดช่องโหว่ทางเหยียนซินหย่า แล้วญาติคนอื่นๆจะทำเช่นไรได้?
เมื่อถึงเวลานั้นตระกูลจ้าวคงไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อีก!
“แม่อย่าโกรธเลย รอให้หนูกับพี่โตขึ้น พวกเราจะแก้แค้นให้กับคุณตาแทนแม่เองค่ะ ทำให้ชื่อเสียงเกียรติยศของทั้งสามคนพังพินาศจนย่อยยับ เสื่อมเสียชื่อเสียงไปเลย!” เหมยเหมยพูดปลอบใจ
เหยียนซินหย่ายิ้มขึ้นอย่างชื่นชม “แม่เองก็จะพยายามจ้ะ!”
รอให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นมากกว่านี้ เธอจะเริ่มจับพู่กันวาดภาพอีกครั้ง ทักษะการวาดของเธอถือว่าดีไม่น้อย แต่ก่อนยังเคยได้รับคำชมจากผู้เป็นพ่อ ท่านบอกว่าภาพวาดของเธอดูมีชีวิต แต่น่าเสียดายที่หลายปีมานี้ทิ้งมันไปเสีย เธอจะต้องถ่ายทอดภาพวาดของสำนักเหยียนให้เป็นที่ประจักต่อคนหมู่มากแทนผู้เป็นพ่อ!
จ้าวเสวียหลินขุดลงไปลึกเกินเมตรครึ่ง พลั่วกระทบเข้ากับสิ่งของบางอย่าง จนเกิดเสียงข่วนชวนอึดอัดขึ้น เขาจึงค่อยๆผ่อนจังหวะลง ระวังที่จะขุดดินบริเวณรอบๆ จนปรากฏให้เห็นโถเคลือบบรรจุน้ำที่มีขนาดใหญ่ราวครึ่งเมตร
ซึ่งไม่รู้เลยว่าในปีนั้น คุณตา คุณยาย รวมถึงแม่ของเขาขุดยังไงให้หลุมลึกได้ถึงเพียงนี้?
ช่วงปากโถน้ำถูกพันด้วยกระดาษน้ำมันอย่างแน่นหนา จ้าวเสวียหลินปัดเศษฝุ่นเศษดินออกจนสะอาด จากนั้นค่อยๆฉีกกระดาษน้ำมันนั้นทิ้ง เขาดึงเอาของที่มีลักษณะเหมือนๆกันออกมาทีละชิ้นสองชิ้น วางอยู่ด้านบนสุดส่วนใหญ่จะเป็นภาพวาดพู่กัน
มีผลงานของตัวเหยียนตานซิง และยังมีผลงานที่ถูกเขาเก็บสะสมไว้ ทั้งหมดต่างเป็นสิ่งของล้ำค่าที่หาได้ยากบนโลกใบนี้ ไม่ว่าภาพวาดภาพไหนถูกหยิบออกไปด้านนอกก็จะมีแต่คนพร้อมจะแย่ง ส่วนด้านล่างเป็นของชิ้นใหญ่พอควร ที่มีทั้งเครื่องหยก เครื่องเซรามิค และยังมีเฟอร์นิเจอร์หวงฮวาหลี[1] ในโถน้ำใบใหญ่ที่ถูกยัดเต็มด้วยสิ่งของ
เพราะใช้กระดาษน้ำมันห่อจึงไม่มีอากาศผ่านได้ แม้นว่าข้าวของในโถน้ำใบนี้จะถูกฝังมานานยี่สิบกว่าปี แต่กลับไม่มีความชื้นใดๆปรากฏอยู่ แม้แต่ภาพที่วาดด้วยพู่กันยังคงแห้งสนิท
เหยียนซินหย่าสั่งให้จ้าวเสวียหลินหยิบเพียงภาพวาดพู่กันออกมาไม่กี่ภาพ ส่วนที่เหลือก็ให้วางคืนไว้ที่เดิม และใช้กระดาษน้ำมันห่อทับอย่างหนาแน่น และปิดทับลงไปให้สนิทอีกครั้ง
“สิ่งของล้ำค่าพวกนี้ เอาวางไว้แถวนี้น่าจะปลอดภัยบ้างเล็กน้อย รอให้ซ่อมแซมบ้านเสร็จ ค่อยหยิบขึ้นมาให้พวกมันได้เห็นเดือนเห็นตะวัน”
เหยียนซินหย่าถอดถอนหายใจไปครั้งหนึ่ง ของพวกนี้เปรียบดั่งพละกำลังทั้งชีวิตของท่าน เธอจะต้องรักษาไว้ให้ดี เธอจะทำให้ผู้เป็นพ่อที่นอนอยู่ใต้พื้นไม่สงบสุขได้รึ
อู่เหมยทนฟังอยู่นาน ท้ายสุดเธอจึงเลือกที่จะเงียบ ความลับของฉิวฉิวจะพูดออกมาให้พวกเขารับรู้ไม่ได้!
ภาพวาดพู่กันที่เหยียนตานซิงสะสมมีอยู่เยอะมาก เมื่อวางรวมกันเกือบสามารถเทียบเท่าหนึ่งร้อยชิ้น สามเปอร์เซ็นนั้นถือว่าเป็นของเธอ ที่เหลืออีกเจ็ดเปอร์เซ็นแน่นอนว่าต้องเป็นผลงานร่วมสมัยชิ้นเอกอันมีชื่อเสียง เหมือนกับปาต้าซันเหริน ซ่งเวยจง น่าหลานหรงรั่ว สือฉือ ถางโป๋หู่ เจิ้งป่านเฉียว[2] และจิตกรท่านอื่นอีกมากมาย สามารถพูดได้เลยว่าเป็นดั่งสิ่งของล้ำค่าจนไม่อาจตีค่าราคาได้
เหยียนซินหย่าเลือกหยิบภาพวาดเพียงไม่กี่ชิ้นออกมาเพื่อนำกลับไปเรียนรู้ ของอย่างอื่นเธอไม่ได้หยิบออกไป แต่กลับนำของทั้งหมดเก็บไว้ดั่งเดิม หลังจากที่นำเศษดินฝังกลบลงไปอีกครั้ง ทั้งสามคนแม่ลูกจึงเดินออกจากสวนเหมยไป
ไม่มีใครสังเกตเห็นฉิวฉิวที่แอบเล่นอยู่บนต้นเหมยในสวน มุดเข้าไปในดินอย่างง่ายดาย ไม่นานก็โผล่ออกมา
หากในเวลานี้กลับไปขุดดินบริเวณนั้นอีกครั้ง จะพบว่าสิ่งของในโถน้ำใบนั้นหายไปเกินกว่าครึ่ง!
คุณชายฉิวที่หมอบอยู่ในทรวงอกของเหมยเหมยเรอออกมาอย่างสบายใจ ดูแล้วเจ้านายของมันจะเกิดความกังวลอยู่ไม่น้อย มันจำต้องฝืนทนเก็บไว้เสียแล้ว!
ความจริงคือ ในโถน้ำใบนั้นมีสิ่งของที่มันต้องการอยู่ จึงถือโอกาสหยิบเอาของที่ดูมีราคาออกมาเก็บให้
……………………………………………..
บทที่ 629 แผนการเล็กๆ
ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ ในเวลาเพียงไม่นานก็ย่างเข้าสู่เดือนเมษายน ซึ่งเหมยเหมยจะต้องออกเดินทางไปยังเมืองหลวง โดยมีสำนักการศึกษาประจำเมืองจินและสมาคมภาพวาดที่เป็นฝ่ายนำทีม หัวหน้าหลักที่ดูแลก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นบุคคลที่คุ้นหน้าคร่าตากันดีอย่างคุณพ่อของเหยียนหมิงซุ่น เหยียนโฮ่วเต๋อ
เมื่อขึ้นมาบนรถแล้วเห็นรอยยิ้มที่ดูเสแสร้งของเหยียนโฮ่วเต๋อ เหมยเหมยจึงรู้สึกผะอืดผะอมอยากจะอวกเอาอาหารที่พึ่งกินเข้าไปเมื่อคืน
“ใช่ไหมเหมยเหมย ลุงเป็นพ่อของพี่หมิงซุ่นของหนู และเป็นผู้ดูแลกิจกรรมในครั้งนี้ เหมยเหมยมีปัญหาอะไรให้บอกกับลุงเหยียนเลยนะ!”
เหยียนโฮ่วเต๋อส่งยิ้มให้อย่างมีเมตตา เผยให้เห็นฟันซี่หน้าสีอมเหลืองซี่ใหญ่ๆ ทำให้เหมยเหมยรู้สึกขยะแขยง
“ขอบคุณค่ะ!”
เหมยเหมยขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมส่งยิ้มให้อย่างเป็นมารยาท เธอไม่อยากพูดคุยกับคนเห็นแก่ตัวเหมือนคนประเภทเดียวกับอู่เจิ้งซือ เธอจึงหลับตาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เดิมทีเหยียนโฮ่วเต๋ออยากพูดคุยกับลูกสาวของท่านรองผู้ว่าประจำเมืองเรื่องในครอบครัวของพวกเขา นั่นคือเหยียนหมิงซุ่น แต่เหมยเหมยมีท่าทีเช่นนี้ แน่นอนว่าเขารู้ดีอยู่เต็มอกว่าไม่สามารถพูดได้!
“เหมยเหมยพักผ่อนเถอะ มีปัญหาอะไรให้รีบบอกลุงเหยียนล่ะ ลุงอยู่ห้องข้างๆนี่”
เหยียนโฮ่วเต๋อจำต้องเดินออกไปอย่างเสียไม่ได้ เดินไปไม่กี่ก้าวจำต้องหันหลังกลับมามองอย่างอดอาลัยตายอยาก
หัวหน้าเหยียนกลับมาถึงห้องของตนก็เอาแต่พูดบ่นกับตัวเอง ลูกสาวของท่านรองผู้ว่าประจำเมืองสนิทชิดเชื้อกับลูกชายเขาอะไรกัน!
เมื่อครู่ที่เขาพูดถึงเหยียนหมิงซุ่น แม้แต่หนังตาของลูกสาวท่านรองผู้ว่ายังไม่แม้แต่จะขยับ เฉยชาคล้ายราวกับว่าไร้ซึ่งความรู้สึก หรือว่าที่เธอพูดจาแบบนั้นต่อเหยียนหมิงซุ่น คงเพราะลูกสาวท่านรองผู้ว่าดูถูกคนธรรมดาอย่างพวกเขา และไม่ควรจะข้องเกี่ยวด้วย?
เหยียนโฮ่วเต๋อประมวลความคิดของตนอย่างรวดเร็ว หากความสัมพันธ์ไม่ดีจริงจะโทรมาเพื่อสวัสดีปีใหม่ในช่วงต้นปีไปเพื่ออะไร?
ไม่แน่ว่าเหยียนหมิงซุ่นเกิดทะเลาะกับแม่สาวน้อย นิสัยใจคอของลูกชายตนก็เป็นคนไม่ยอมใคร และยังอวดดี แม้แต่ตัวเขาเองยังเอาไม่อยู่ ลูกสาวท่านผู้ว่าเสมือนกับหญิงสาวผู้ละเอียดอ่อนและมีไหวพริบ จะต้องเป็นเพราะลูกชายเขาทำอะไรให้ลูกสาวของท่านผู้ว่าโกรธเป็นแน่
ใช่แน่ๆ ต้องเป็นเช่นนี้!
เหยียนโฮ่วเต๋อวางใจลงได้บ้าง เพียงแต่เขาไม่ค่อยพอใจเหยียนหมิงซุ่นเท่าไรนัก เขาตัดสินใจว่าหลังจากกลับจากเมืองหลวง จะต้องสั่งสอนลูกชายคนโตเสียหน่อย เหตุใดถึงไม่ยอมๆให้แม่สาวน้อยเสียบ้าง?
แม่สาวน้อยเป็นถึงลูกสาวของท่านผู้ว่าประจำเมือง!
ยอมให้เธอสักร้อยครั้งคงไม่เกินไปหรอก!
“หัวหน้าเหยียน เด็กผู้หญิงหน้าตาสละสวยที่ชื่อว่าจ้าวเหมยอะไรนั่นเป็นญาติคุณหรือ?” คุณครูที่เดินทางพร้อมกับเขาถามขึ้นอย่างสนใจ
เหยียนโฮ่วเต๋อยิ้มอย่างอบอุ่น และพูดขึ้นอย่างพอใจ “ไม่ใช่ญาติหรอก แต่เป็นท่านรองผู้ว่าฝากฝังมา ให้ผมช่วยดูแลลูกสาวของท่านให้มากหน่อย”
แน่นอนว่าเขาจงใจพูดแบบนั้น เพื่อให้คนอื่นเข้าใจว่าเขามีความสัมพันธ์อันดีกับจ้าวอิงหัว ดีเสียจนถึงขั้นที่ต้องฝากฝังให้เขาดูแลลูกสาว แล้วแบบนี้คนอื่นจะคิดเช่นไร……
“ลูกสาวของท่านรองผู้ว่าจ้าว? ปัดโถ่ว ท่านรองนี่จริงๆเลย ไม่ออกปากพูดอะไรสักนิดเลย!” ครูท่านอื่นตกใจจนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ทุกคนตกใจจนทำตัวไม่ถูก
เหยียนโฮ่วเต๋อยิ้มอย่างมีเลศนัย อ้าปากพูดว่า “ท่านรองผู้ว่าพอจะคาดเดาท่าทีของพวกคุณได้ ท่านจึงกำชับผมเป็นการส่วนตัว มิเช่นนั้นผมจะนำทีมมาด้วยตัวเองอย่างนี้หรือ!”
ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ จึงพูดออกมาด้วยความอิจฉา “รองหัวหน้าเหยียนกับท่านรองผู้ว่าดูสนิทกันดีเป็นการส่วนตัวนะครับ แต่ก่อนไม่เคยเห็นรองหัวหน้าพูดถึงมาก่อนเลย!”
“คุณก็พูดเกินไป เป็นแค่การรู้จักกันโดยส่วนตัว มีอะไรที่ควรพูดถึงหรือไง”
เหยียนโฮ่วเต๋อพูดอย่างถ่อมตัว แต่รู้สึกปลื้มใจเหมือนในช่องท้องกลับเบ่งบานด้วยดอกไม้ เขาเชื่อว่าหลังจากที่กลับจากเมืองหลวง ความสัมพันธ์ของเขาและท่านรองผู้ว่าคงจะกลายเป็นข่าวลือ เหมือนดั่งดอกปุยหยางที่พัดพาลอยไปทั่วทั้งเมืองในช่วงฤดูร้อน!
แผนการหลังจากนั้น เหมยเหมยรับรู้ได้ถึงท่าทีของคุณครูแต่ละคนที่เปลี่ยนไป และเอาใจใส่เธอมากเป็นพิเศษ ขาดเพียงแค่นิดเดียวคือยังไม่ได้กราบไหว้บูชาเธอราวกับพระโพธิสัตว์ เธอจึงไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
…………………………………………………………………………………………..
[1] สิ่งที่ทำมาจากไม้จริงล้วนทั้งหมด ชนิดไม้ที่ใช้ทำมักเป็นไม่เนื้อแข็งแรง
[2] จูตา หรือ ปาต้าซันเหริน จิตกรผู้เลอชื่อในยุคปลายราชวงศ์หมิง-ต้นราชวงศ์ชิง จักรพรรดิซ่งเวยจงหรือซ่งฮุ่ยจง จักรพรรดิผู้เป็นเลิศด้านผลงานพู่กันจีนในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ น่าหลานหรงรั่วเป็นอีกหนึ่งท่านที่เป็นพหูสูตผู้มีพรสวรรค์มากล้นรอบรู้ทางด้านพู่กันจีน การแต่งกาพย์กลอน หรือเรียกนักประพันธ์แห่งราชวงศ์ชิง สือฉือเป็นจิตกรผู้เลืองลือในช่วงต้นราชวงศ์ชิง ถางโป๋หู่เป็นจิตกรชื่อดังแห่งราชวงศ์หมิง ผลงานชิ้นโดดเด่นจะเป็นการเขียนพู่กัน เจิ้งป่านเฉียวจิตกรและนักวรรณคดีแห่งราชวงศ์ชิง