ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 630 วิธีการวาดที่คุ้นเคย + บทที่ 631 ศัตรูอยู่ตรงหน้า
บทที่ 630 วิธีการวาดที่คุ้นเคย
คณะเดินทางมาถึงล่วงหน้ามาก่อนการแข่งขันเป็นเวลาหนึ่งวัน เหมยเหมยไม่ได้พักรวมกับทุกคนที่เดินทางมาด้วย แต่เธอกลับไปพักที่บ้านหลังใหญ่ของตระกูลจ้าว เหยียนโฮ่วเต๋อน่ารำคาญยิ่ง แต่เขาอยู่ในฐานะผู้ดูแล จึงทำให้สะดวกสบายต่อตัวเหมยเหมยไม่น้อย ตลอดทางเขาเปิดไฟเขียวให้เธอ ไม่ต้องพูดอะไรมากก็ตอบตกลงทันที อีกทั้งยังอาสาไปส่งเหมยเหมยกลับบ้านด้วยตัวเอง
“ขอบคุณค่ะครูเหยียน แต่คุณปู่จะส่งคนมารับหนูเอง”
เหมยเหมยปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย เหยียนโฮ่วเต๋อที่หวังดีให้หน้าแต่กลับทำให้อีกฝ่ายไม่ค่อยพอใจ
ชื่อของคุณตาต้องตั้งชื่อมาผิดแน่นอน ชื่อโฮ่วเต๋ออะไรกันล่ะ ต้องชื่อว่าหนังหน้าหนาชัดๆ เรียกเขาว่าเหยียนหน้าหนาสิถึงจะถูก!
เหยียนโฮ่วเต๋ออยากจะชวนเหมยเหมยคุยต่ออีกสักนิด แต่รถของตระกูลจ้าวมาถึงเสียก่อน จึงทำได้เพียงมองลูกสาวของท่านผู้ว่าจากไปตาปริบๆ ในใจพร่ำด่าทอต่อลูกชายของเขา
หากลูกชายของเขาอดทนสักนิด ตามง้อลูกสาวท่านผู้ว่าอย่างว่าง่าย ไม่แน่ว่าวันนี้อาจจะได้เป็นแขกของคุณท่านหัวหน้าใหญ่ตระกูลจ้าวไปแล้ว!
ดีพอที่จะเป็นแขกคนสำคัญของท่านหัวหน้าใหญ่ได้ เป็นสิ่งที่ส่งเสริมเกียรติยศบารมีแค่ไหน!
เหยียนโฮ่วเต๋อกลับไม่รู้ ว่าแท้จริงแล้วลูกชายของตนกำหลาบลูกสาวของท่านผู้ว่าได้สำเร็จไปนานแล้ว
สาวน้อยที่เชื่อฟังคำพูดของเหยียนหมิงซุ่น ในตอนนี้ตีตัวเพื่อรักษาระยะห่างจากคนเป็นพ่อมากกว่า!
เหมยเหมยที่กลับมาถึงบ้านมีแต่ผู้คนมากหน้าหลายตาห้อมล้อม เป็นดั่งดาวล้อมเดือน ขาดเพียงแต่เอาข้าวมาป้อนให้เธอถึงปาก คุณย่ายังแสดงออกด้วยว่าจะไปให้กำลังใจเหมยเหมยถึงที่ แต่กลับถูกเหมยเหมยปฏิเสธไป
คุณย่าของเธอเป็นถึงบุคคลสำคัญของประเทศ หากว่าไปยังสถานที่แข่งขันจริงๆ คงทำให้ฝ่ายจัดงานตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ!
“เอ่อใช่ ซานซานก็จะไปเข้าร่วมแข่งขันด้วย เมื่อสองวันก่อนอวี้เหลียนบอกกับฉันแล้ว เธอบอกว่าซานซานได้รับรางวัลการประกวดวาดภาพจากเมืองหลวง เธอจะเข้าสู่การแข่งขันระดับประเทศ”
เมื่อถึงเวลาทานข้าวคุณย่าได้พูดถึงสองแม่ลูกอย่างโอหยางซานซาน ทุกคนในบ้านต่างพากันขมวดคิ้ว จ้าวเสวียกงสบถออกมาครั้งหนึ่ง “ยัยโอหยางซานซานที่โง่เง่าทั้งสมองและการกระทำ จะสามารถวาดอะไรได้ หากไม่เป็นเพราะเบื้องหลังมีคนคอยหนุนอยู่”
“นั่นสิ คนในโรงเรียนของฉันต่างรู้ๆกันว่ายัยหมีสีน้ำตาลโอหยาง…… ยัยขาหมูโอหยางซานซานนั่นจะวาดอะไรออกมาได้งั้นเหรอ อาจารย์ของเธอเป็นถึงเลขานุการของสมาคมวาดภาพ ใครจะกล้าให้เธอไม่ผ่านล่ะ?”
จ้าวเสวียไห่มีสีหน้าเหยียดหยาม แต่ดีที่เขาแก้ตัวได้ทันท่วงที มิเช่นนั้นคงถูกคุณย่าตีหัวแบะเพราะความโมโห
“ไม่รู้ว่าซานซานไปทำอะไรให้พวกแกไม่พอใจ แต่ละคนเอาแต่จะให้ร้ายเธอ แม้ว่าฝีมือการวาดภาพซานซานจะเทียบเหมยเหมยของพวกเราไม่ติด แต่ยังถือว่าเธอมีความสามารถแค่นิดหน่อย ยังไงเธอก็เรียนมาได้หลายปีแล้ว วาดภาพเหมือนให้ย่าก็ไม่เลวเลยนะ”
คุณย่าเพิ่งพูดจบ จ้าวเสวียกงจึงวิ่งเข้าไปในห้องนอนของเธอแล้วหยิบภาพวาดภาพนั้นออกมา เป็นภาพสเก็ตช์สีขาวดำที่บรรจุกรอบเรียบร้อย มีลักษณะคล้ายคลึงกับเธอมาก แต่ลักษณะการวาดดูงดงามเกินไปบ้าง มีลักษณะคล้ายคลึงกับภาพการ์ตูน
เหมยเหมยขมวดคิ้วแน่น วิธีการวาดเช่นนี้ถือว่าพบเห็นได้น้อยมากในหัวเซี่ย เป็นเพราะวิธีการวาดไม่เป็นที่นิยมนัก การวาดภาพแบบนิยมมากมายไม่ค่อยเป็นที่นิยมแก่การวาด และในหมู่นักวาดที่ยอมรับจริงๆ เกรงว่าจะมีเพียงแค่คุณตาของเธอเท่านั้น!
อาจารย์ของโอหยางซานซานไม่ใช่เลขานุการของสมาคมวาดภาพหรอกเหรอ?
สมาคมวาดภาพถือเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของจิตรกรแนวนิยม แล้วจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
เหมยเหมยถามด้วยความสงสัย “อาจารย์ของโอหยางซานซานเป็นอาจารย์ท่านใดหรือคะ?”
คุณย่าส่ายหน้าไปมา เธอจะเอาเวลาว่างจากไหนมาจดจำชื่อของคนอื่นล่ะ เอาเวลาไปจดจำชื่อเมนูอาหารไม่ดีกว่าหรือ!
จ้าวเสวียกงตะโกนเสียงดัง “ฉันรู้ เขาชื่อหร่วนหวาไฉ่ ถือว่าช่วงนี้ได้เห็นหน้าคร่าตาบ่อยขึ้น และยังมีศิษย์น้องของเขา ดูเหมือนจะชื่อว่า เจิ้งอะไรหลินเนี่ยแหละ เห็นพวกเขาในทีวีอยู่บ่อยๆ จริงด้วย สองคนนี้ยังเป็นผู้มีความรู้ที่ได้รับการเชิญพิเศษจากประเทศอะไรสักที่ ได้ยินมาว่าเขายังเก่งในการพินิจพิเคราะห์พวกโบราณวัตถุ”
…………………………………………………
บทที่ 631 ศัตรูอยู่ตรงหน้า
เหมยเหมยใจเต้นระส่ำ หร่วนหวาไฉ่?
ชื่อนี้เธอเพิ่งได้ยินมาเอง!
“พี่คะ ศิษย์ผู้พี่ของคนคนนี้คือเจิ้งซื่อหลินใช่ไหม?” เหมยเหมยถามซักไซ้ด้วยท่าทีร้อนรน
จ้าวเสวียกงคิดเพียงชั่วครู่ก็พยักหน้ารับ “ใช่ คือชื่อนี้ ชื่อเดียวกับลูกชายของฉวี่เซียนไป๋เหนียงจื่อ[1] ฉันพอจำได้”
เหมยเหมยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ สูญเสียแรงกายมากมายเพื่อตามหากลับไม่เจอ แต่พอหยุดอยู่นิ่งดันปะเจอเข้าซะงั้น ศัตรูที่ทำให้คุณตาคุณยายของเธอต้องตายมาอยู่ตรงหน้าแล้ว!
จ้าวเสวียเอร่อเป็นคนรอบครอบช่างสังเกต เพียงครู่เดียวเข้าก็สังเกตได้ถึงท่าทีของน้องเล็กที่ไม่ปกติ จึงถามด้วยความห่วงใย “เหมยเหมยรู้จักสองคนนี้หรือ?”
“ชื่อ เสียง เลื่อง ลือ!”
เหมยเหมยพูดเน้นทีละคำจนครบประโยคด้วยท่าทีเรียบเฉย คุณปู่และคุณย่าไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ถึงอย่างไรทั้งคู่อย่างหร่วนหวาไฉ่ถือว่ามีชื่อเสียงมากในวงการจิตกรภาพวาด เหมยเหมยเรียนวาดภาพต้องเป็นเรื่องธรรมดาที่จะรู้จักทั้งสองคนนี้
แต่จ้าวเสวียกงและคนอื่นๆที่ฉลาดเฉลียว พวกเขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติ หลังจากทานข้าวเสร็จ พวกเขาทั้งสามพี่น้องจึงมุ่งไปยังห้องของเหมยเหมย เพื่อถามให้รู้เรื่องว่าเธอมีความเกี่ยวข้องอันใดกับหร่วนหวาไฉ่และเจิ้งซื่อหลิน
“พวกเราเป็นพี่ของเธอนะ เหมยเหมยมีเรื่องอะไรก็บอกพวกพี่ได้ หรือว่าเจ้าสองคนนั้นรังแกเธอ?” จ้าวเสวียกงถาม
จ้าวเสวียไห่กรอกตาใส่เขาไปทีหนึ่ง ช่างโง่เสียจริง น้องสาวอาศัยอยู่เมืองจิน แต่สองคนนี้อยู่ที่เมืองหลวง อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทั้งคู่ พวกเขาจำเป็นต้องรังแกเด็กงั้นหรือ?
ชนะแบบไม่ใสซื่อนี่!
“เหมยเหมยไม่ชอบยัยหมีสีน้ำตาลโอหยางหรือ? ผู้หญิงคนนี้น่าเกลียดชังนัก วันวันชอบเข้ามาทำตัวน่าเบื่อหน่าย แต่เหมยเหมยวางใจได้ ในใจของคุณย่าคนที่ท่านชอบที่สุดยังเป็นเธอนะ ยัยหมีสีน้ำตาลโอหยางนั่นเทียบไม่ติดเลยล่ะ!”
จ้าวเสวียไห่คิดว่าน้องสาวของตระกูลอาจกำลังรู้สึกหวง เขาจึงตบทรวงอกเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอจะเป็นเจ้าหญิงของบ้านหลังนี้ตลอดไป ส่วนหมาแมวตัวอื่นๆอย่าริอาจแม้แต่จะคิด
ในใจของเหมยเหมยรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก เธอวางพู่กันลงและไม่คิดจะปิดบังต่อพวกเขา เธอได้พูดเรื่องที่ตานเหอเจิ้งและลูกศิษย์ทั้งสามคนได้ทำร้ายคุณตาคุณยายของเธอจนต้องจบชีวิตลง
“พวกชิงหมาเกิด มิน่าถึงพูดกันว่ายึดมั่นสัจจะในหมู่ปีจอ ชั่วช้าสามานย์ในหมู่ปราชญ์[2] ไอ้พวกหน้าเนื้อใจเสือ ภายนอกดูสง่าผู้ดี แต่กระทำแต่เรื่องชั่วร้าย!”
จ้าวเสวียกงพลั้งปากด่า เดิมทีเขาก็ไม่ได้ถูกชะตากับหร่วนหวาไฉ่สักเท่าไหร่ เพราะเขาคิดว่าคนที่ตาบอดรับเอาโอหยางซานซานมาเป็นศิษย์ ทั้งยังใช้เส้นสายเปิดทางให้เธอมากมาย อาจารย์ประเภทนี้คงไม่ค่อยจะมีคุณธรรมนัก
ตอนนี้ทุกคนได้ฟังน้องสาวของบ้านพูดถึงด้านมืดหลังฉากในปีนั้น พวกเขาต่างโกรธแค้นหร่วนหวาไฉ่และทั้งสามคนเป็นที่สุด!
พี่น้องตระกูลจ้าวอยู่ภายใต้การอบรมสั่งสอนเรื่องความซื่อสัตว์จากคุณปู่มาแต่ไหนแต่ไร ทั้งชีวิตของพวกเขาเกลียดที่สุดคือคนประเภทชอบแทงข้างหลัง เรื่องราวแบ่งแยกแตกหักของตระกูลจ้าวในช่วงนั้น ไม่ใช่เพราะถูกคนชั่วช้าสามานย์อย่างพวกมันแทงข้างหลังหรอกหรือ?
เพียงแต่คุณปู่คุณย่าและพ่อแม่ของพวกเขาเข้มแข็งพอ จึงไม่แตกหักจนล้มลงเพราะเรื่องราวร้ายๆและความเจ็บปวดในครานั้น พวกเขาข้ามผ่านมันมาได้ แต่คุณตาคุณยายของเหมยเหมยกลับไม่สามารถข้ามผ่านมันมาได้!
“ไอ้พวกชาติชั่วทรยศหักหลังได้แม้กระทั่งผู้มีพระคุณ ทั้งยังกล้าเชิดหน้าชูตาเรียกตัวเองว่าอาจารย์อีก ถุ้ย ช่างน่าไม่อายจริงๆ ไม่แปลกเลยที่จะรับเอาโอหยางซานซานไว้เป็นศิษย์ ที่แท้ก็เป็นสินค้าประเภทเดียวกัน!” จ้าวเสวียไห่กร่นด่า
ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เหมยเหมยโกรธ จากภาพวาดของโอหยางซานซานก็ทำให้เธอมองออก ว่าฝีมือการวาดทั้งหมดของหร่วนหวาไฉ่เป็นการลอกเลียนแบบศิลปะการวาดแขนงเหยียนของคุณตาเธอ ทำร้ายคุณตาเธอจนตาย แต่ยังหน้าหนาใช้สิ่งที่คุณตาของเธอสอนมาเป็นสิ่งดำรงชีพอีก ถุ้ย หน้าด้านหน้าทนเสียยิ่งกะไร!
“เหมยเหมยกำลังวาดอะไรอยู่?”
จ้าวเสวียเอ่อร์สังเกตเห็นกระดาษวาดภาพของเหมยเหมยที่วางอยู่บนโต๊ะ เธอวาดลงไปไม่น้อย แต่ยังไม่สามารถมองออกว่าต้องการจะวาดอะไร
“หนูวาดภาพเหมือนให้คุณย่าค่ะ หนูวาดได้ดีกว่าโอหยางซานซานหลายเท่า ทำไมจะต้องแขวนภาพวาดของเธอไว้ด้วย ต่อไปนี้ทั้งบ้านต้องแขวนรูปที่หนูวาดเท่านั้น ภาพวาดของโอหยางซานซานต้องทิ้งไปให้หมด!”
เหมยเหมยพูดขึ้นด้วยความขุ่นเคือง เธอหยิบพู่กันขึ้นและเริ้มลงมือวาดอีกครั้ง
“ใช่เลย ทำไมบ้านเราต้องแขวนภาพวาดของยัยหมีสีน้ำตาลโอหยางด้วย เหมยเหมยวาดภาพเหมือนให้พวกเราทุกคนในบ้านเลยสิ แขวนมันให้เต็มบ้านเลย จะได้ทำให้ยัยหมีสีน้ำตาลไม่มีข้ออ้างเอาภาพวาดมาให้บ้านเราได้อีก!”
จ้าวเสวียกงยกสองมือสองเท้าขึ้นแสดงท่าทีเห็นด้วยอย่างที่สุด หากพูดถึงคนที่เบื่อหน่ายโอหยางซานซานทั้งสองแม่ลูกนั่น นอกจากจ้าวเสวียหลิน ก็คือตัวเขานั่นเอง!
…………………………………………………………………………………………..
[1] เรื่องราวความรักระหว่างฉวี่เซียนที่เป็นคนกับไป๋เหนียงจื่อพญางู หนึ่งในนิทานพื้นบ้านของจีนที่เป็นเรื่องเล่าขานในอดีต
[2] ผู้มีคุณธรรมเหลือล้นส่วนใหญ่คือคนธรรมดาสามัญชนและบุคคลอาชีพต้อยต่ำ แต่คนที่มีความรู้กลับประพฤติชั่วและฝ่าฝืนต่อมโนธรรม