ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 662 สร้อยข้อมือเส้นใหม่ + บทที่ 663 ฉาฉา
บทที่ 662 สร้อยข้อมือเส้นใหม่
เหมยเหมยยืนหยัดหนักแน่นในคำพูดเดิม ที่ตามหาแหล่งน้ำและต้นชาโบราณเจอได้เพราะใช้แค่ความรู้สึก ทุกคนในตระกูลจ้าวต่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ไม่มีคำอธิบายอื่นแล้ว
“พรุ่งนี้หนูจะไปตักน้ำมาต้มชาอีก คุณปู่คุณย่าจะต้องดีขึ้นแน่นอนค่ะ” เหมยเหมยพูดขึ้นเสียงดัง
คุณปู่คุณย่าต่างชื่นใจ เหมือนกับการได้กินผลของโสมก็มิปาน สบายไปทั่วทั้งร่างกาย นอกเหนือจากความตื่นตันซาบซึ้งใจแล้วก็คือความเป็นห่วง
“เหมยเหมยต่อไปนี้ห้ามทำเรื่องอันตรายแบบนี้อีก ถ้าเดินไม่ไหวก็ให้พี่สามแบก อย่าไปปีนเขาสูงแบบนั้นอีก ให้พี่สามเป็นคนขึ้นไป” คุณย่าพูดด้วยความโมโห
จ้าวเสวียเอร่อกลอกตามองบน หรือแท้จริงแล้วเขาถูกเก็บมาจากกองขยะ ?
เหนื่อยจนตาย หกล้มจนตายไปก็ไม่มีใครสนใจ !
“ไม่ได้ค่ะ ร่างกายไม่แข็งแรงขนาดนั้น ยังมีโรคกลัวความสูงอีก เราไม่ควรทำร้ายพี่สามนะคะ !”
เหมยเหมยพูดด้วยความจริงใจ จ้าวเสวียเอร่อขอบตาร้อนผ่าว จากทีแรกเคยคิดว่าจะต้องอยู่ห่างจากน้องสาวให้มาก คิดวกไปวนมาสุดท้ายก็วนกลับมาที่เดิม
น้องสาวของตนยังถือว่ามีเมตตา ผู้ใหญ่อย่างเขาก็ไม่ควรจะคิดเล็กคิดน้อย ต่อไปนี้ต้องดูแลน้องสาวให้ดีกว่านี้หน่อยก็แล้วกัน !
จ้าวอิงสยงกลับมองหลานชายตนอย่างเหลืออด ขมวดคิ้วและพูดขึ้น “เสวียเอร่อต่อไปนี้ต้องตื่นหกโมงเช้า วิ่งอย่างน้อยห้ากิโล เสวียกงเสวียไห่จับตาดูพี่สามของพวกนายไว้ด้วย !”
“ครับ !”
จ้าวเสวียกงสองพี่น้องตอบตกลงอย่างพร้อมเพรียง และหันไปขยิบตาส่งให้จ้าวเสวียเอร่อ อย่างคนที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
พี่น้องที่ดีจะต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน มีที่ไหนให้พวกเขาตื่นมาวิ่งฝึกกำลัง แต่ขณะเดียวกันพี่สามกลับนอนฝันหวานอยู่บนเตียง ?
จ้าวเสวียเอร่อที่เพิ่งใจชื้นขึ้นมากลับเย็นวาบในทันที ขนาดแค่นึกถึงเขาก็เหมือนจะตายแล้ว ตื่นหกโมงเช้า ? วิ่งห้ากิโล ?
ไม่ว่ายังไงก็คร่าชีวิตได้ทั้งนั้น !
เขายืนยันอย่างหนักแน่นว่าต่อไปนี้จะต้องรักษาระยะห่างกับน้องสาว อย่างน้อยหนึ่งร้อยเมตร !
หานซู่ฉินหันมองหน้าจ้าวเสวียเอร่ออย่างขำขัน หลานชายคนที่สามนั้นเป็นคนที่ไม่ชอบการออกกำลังที่สุดในบ้านเพราะงั้นสมรรถภาพทางร่างกายของเขาจึงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ การตั้งกฎเกณฑ์ให้วิ่งก็ดีเหมือนกัน จะได้ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางกาย !
“พรุ่งนี้ให้ เสวียไห่ เสวียกง ตามไปด้วย เรื่องปีนผาสูงให้พวกเขาเป็นคนทำ” หานซู่ฉินพูด
จ้าวเสวียกง จ้าวเสวียไห่ รู้สึกเฮฮาดีใจ ไปปีนเขาก็ไม่ต้องเข้าเรียนแล้ว เยี่ยมจริงๆ !
“มีพวกเราไปด้วย รับรองจะไม่ให้เหมยเหมยต้องได้รับความลำบากเลย พี่สองคนจะแบกเธอขึ้นเขาลงเขาเอง” พี่ชายทั้งสองที่ยิ้มแป้นราวดอกไม้เบ่งบาน ใช้มือตบอกตนเองเป็นการรับปาก จ้าวเสวียเอร่อจ้องพวกเขาอย่างโกรธเคือง ตัดสินใจว่าเดือนหน้าจะต้องเพิ่มดอกเบี้ย
เหมยเหมยยื่นมือออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก “ฉันไม่จำเป็นต้องให้พวกพี่มาแบก ฉันเดินเองได้”
เหมยเหมยที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเปลี่ยนมาสวมเสื้อไหมพรมแขนกว้างสีขาว พอยื่นมือออกไปก็ปรากฏให้เห็นข้อมือขาวๆ ด้านบนตัดกับสีเขียวมรกตสะดุดตา
“เหมยเหมยกำไลมรกตที่ข้อมือสวยมาก สีสดสวยมาก” หานซู่ฉินพูดชม
เหมยเหมยหัวเราะร่าอารมณ์ดี จงใจสะบัดมือให้เห็น “สวยใช่ไหมคะ เป็นของที่หนูเพิ่งได้มาใหม่วันนี้”
จ้าวเสวียเอร่อมองอย่างตาร้อน สีสดราวกับมรกตจริง ซึ่งน่าจะได้ราคาดีไม่น้อย เขาจึงกวักมือให้เหมยเหมยยื่นมือใกล้เข้ามาหน่อย “ให้พี่จับหน่อย ขอดูหน่อยว่าเนื้อเป็นยังไง !”
เหมยเหมยกลอกกลิ้งตาไปมา กลั้นขำไว้แล้วเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆจ้าวเสวียเอร่อ ยื่นมือออกไปอย่างใจกว้างเพื่อให้เขาลูบจับ สายตาของจ้าวเสวียเอร่อไม่ค่อยดีนัก เขาสายตาสั้นเล็กน้อย แต่ไม่มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แต่พอมองสิ่งของออกอยู่บ้าง
เขายื่นมือออกมาลูบ ‘กำไลมรกต’ เย็นๆ ลื่นๆ ความรู้สึกดีไม่น้อย แต่ทำไมมรกตถึงนิ่มล่ะ ?
มรกตมีระดับความแข็งที่สูงมากไม่ใช่หรือ ?
จ้าวเสวียเอร่อหลี่ตาแล้วขยับเข้าใกล้กว่าเดิม อยากมองเห็นให้ชัด มือของเขายังไม่หยุดที่จะลูบวนต่อไป นิ้วมือสัมผัสได้กับบางจุดที่ไม่อาจบรรยายได้
เจ้างูน้อยไม่อาจทนต่อไปได้ ร่างกายของมันสั่นกระเพื่อม ราวกับสปริงที่ดีดเด้งโผล่หัวขึ้น ทำให้จ้าวเสวียเอร่อสติหลุดเบิกตากว้างจ้องมอง
ลูบทั้งแค่ลำตัวของมันก็พอแล้ว ทำไมต้องลูบไปถึงรูก้นของมันด้วย ?
………………………………………………….
บทที่ 663 ฉาฉา
จ้าวเสวียเอร่อที่พยายามลูบอยู่ เกิดอาการตกใจยกใหญ่ ทำไมกำไลหยกถึงขยับได้ ? หรือเพราะมันมีชีวิต ?
น่าสงสารจ้าวเสวียเอร่อผู้สายตาสั้น จนป่านนี้แล้วเขายังไม่ทันสังเกตเห็นว่ากำไลหยกที่เขาลูบคลำอยู่ราวๆห้านาทีนั้น แท้จริงแล้วเป็นแค่งูตัวเล็กที่มีงดงามเท่านั้น !
จ้าวเสวียกงและคนอื่นๆที่สายตาดีเสียยิ่งกว่าดี พอเจ้างูน้อยเด้งตัวออกมาก็รับรู้ได้ถึงความลับของกำไลมรกตวงนี้ ส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้น จากนั้นดีดตัวไปอยู่ตรงหน้าเหมยเหมย มองเจ้างูน้อยที่พบเจอได้ยาก
“โอ้โหว งูน้อยตัวนี้ช่างงามนัก ใช่งูเขียวหางไหม้หรือเปล่า ?” จ้าวเสวียกงก้มตัวลงเพื่อสบตากับเจ้างูน้อย
จ้าวเสวียไห่ก้มตัวลง พร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ใช่ งูเขียวหางไหม้เป็นสีเขียว แต่งูตัวนี้เป็นสีเขียวมรกต สีไม่เหมือนกัน อีกอย่างงูเขียวหางไหม้แค่มองก็น่ากลัวแล้ว แต่งูตัวนี้ของเหมยเหมยไม่น่ากลัวเลยสักนิด อยากลองจับดูบ้าง เหมยเหมย งูตัวนี้กัดคนไหม ?”
เหมยเหมยยิ้มจนตาหยี จากนั้นยื่นมือเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิด “ฉาฉาเป็นเด็กดี ไม่กัดคนหรอกค่ะ !”
“ฉาฉา ? ชื่อของงูตัวนี้หรือ ? ทำไมถึงเรียกว่าฉาฉา ?”
จ้าวเสวียกงทำหน้าฉงน ทำไมสัตว์เลื้อยคลานตัวนี้ถึงชื่อฉาฉา ทำไมถึงได้รู้สึกทะแม่ง ๆ ล่ะ !
“เพราะว่าตั้งแต่เล็กฉาฉาก็กินใบชาและน้ำค้างบนใบชา ไม่เรียกว่าฉาฉาจะให้เรียกว่าอะไร ? เรียกฉาฉาลื่นหูจะตายไป ฉาฉาแกว่าชื่อนี้เพราะไหม ?”
เหมยเหมยลูบหัวกลมมนของฉาฉาอย่างอ่อนโยน มืออีกข้างหยิบกุ้งตัวโตขึ้นมาป้อนให้ ฉาฉาหิวจนตะกละ ที่แท้หัวเล็กๆเรียวๆของมันสามารถอ้ากว้างได้ในพริบตา และกลืนกินกุ้งตัวใหญ่ๆลงไปทั้งตัว
สายตาของทุกคนจับจ้องอยู่ที่โครงร่างของกุ้ง เคลื่อนจากส่วนหัวของฉาฉาไปทางด้านหลัง ยิ่งเคลื่อนไปถึงด้านหลังมากเท่าไหร่โครงร่างของกุ้งยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ ในจังหวะที่เคลื่อนไปถึงช่วงหาง กุ้งตัวใหญ่ๆพลันหายวับ และลำตัวของมันกลับคืนสู่สภาพเดิม
“น่าสนใจนัก ตัวเล็กขนาดนี้ แต่กลับเจริญอาหารมาก เหมยเหมย ฉาฉายังไม่อิ่มหรือเปล่า ? พี่เห็นว่ามันเอาแต่จ้องกุ้งในจาน !”
จ้าวเสวียกงมองแล้วรู้สึกใคันยุบยิบ เขาจึงหยิบกุ้งตัวหนึ่งวางไว้ตรงหน้าของฉาฉา แต่เจ้าตัวแสบกลับไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย มันเงยหน้าขึ้นมองเหมยเหมย แลบลิ้นสีแดงๆของมันออกมา
เหมยเหมยจำต้องคีบกุ้งตัวนั้นป้อนให้ฉาฉา เจ้าตัวแสบจึงยัดกุ้งตัวใหญ่ลงไปอีกครั้ง
ใช้เวลาไม่นานกุ้งตัวนั้นก็หายไป มันกินกุ้งตัวใหญ่ติดต่อกันถึงสามตัว เหมยเหมยจึงเลิกป้อนให้อีก
“ถ้ากินอีกท้องคงได้แตกตายแน่ ดึกๆเราค่อยกินใหม่ นะเด็กดี !”
เหมยเหมยเกลี้ยกล่อมฉาฉาด้วยอารมณ์และคำพูดที่ดี เจ้าตัวเล็กช่างน่าสงสารนัก หลายร้อยปีที่แล้วไม่ได้กินของดีๆอะไรเลย พอออกได้มา เห็นอะไรๆก็ดูจะอร่อยไปเสียหมด ไม่รู้จักพอเอาเสียเลย หากไม่ใช่เพราะเธอคอยดูอยู่ เจ้าตัวเล็กคงกินจนท้องแตกตายถึงจะยอมหยุด !
ฉาฉาถือว่าเชื่อฟังมาก มันหดตัวกลับไปอยู่ในรูปแบบเดิม ขดม้วนอยู่บนข้อมือของเหมยเหมย มองยังไงก็ดูเป็นเหมือนกำไลมรกตอันงดงาม !
“เหมยเหมย ทำไมฉาฉาไม่ยอมกินกุ้งที่พี่ให้ล่ะ ?” จ้าวเสวียกงเจ็บใจ เป็นไปได้ไหมที่แม้แต่ปีนี้การจะป้อนอาหารงูจะต้องเลือกจากรูปลักษณ์หน้าตา ?
“ฉาฉาขี้กลัว ไม่กล้ากินอาหารที่คนอื่นป้อน กล้ากินแต่ของที่หนูให้”
ได้ฟังคำอธิบายจากเหมยเหมย จ้าวเสวียกงค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย ถ้าหลังจากนี้เจ้าตัวเล็กเริ่มคุ้นเคยแล้ว เขาตั้งใจว่าจะลองเกลี้ยกล่อมเหมยเหมยเพื่อให้ยืมฉาฉามาใส่อวด ถ้าเพื่อนในห้องเห็นเข้าจะต้องอิจฉาเขาเป็นไหนๆ !
แม้ว่าฉาฉาจะเป็นสัตว์ที่ใครเห็นเข้าก็รู้สึกกลัว แต่นี่ใครใช้ให้มันมีหน้าตาน่ารักกันล่ะ คนในตระกูลแทบจะทุกคนที่ชื่นชอบมัน โดยเฉพาะหานซู่ฉินและคุณย่า ชื่นชอบในความเชื่อฟังของฉาฉายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
คุณปู่กลับไม่ได้มองข้ามคำพูดที่หลานสาวพูดไว้ก่อนหน้านั้น งูตัวนี้เติบโตขึ้นมาด้วยการกินใบชา ดื่มน้ำค้างจากใบชา หรือว่า…
“เหมยเหมย เธอเจอฉาฉาที่ต้นชาโบราณนั่นใช่ไหม?” คุณปู่ถาม
…………………………………………………………