ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 674 ความไม่ซื่อสัตย์ ความอกตัญญู ความอยุติธรรม + บทที่ 675 สองปีผ่านไป
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- บทที่ 674 ความไม่ซื่อสัตย์ ความอกตัญญู ความอยุติธรรม + บทที่ 675 สองปีผ่านไป
บทที่ 674 ความไม่ซื่อสัตย์ ความอกตัญญู ความอยุติธรรม
เหมยเหมยกดอารมณ์ความรู้สึกไว้ ส่ายหน้าตอบ “ไม่เต็มใจค่ะ”
ไม่ว่าจะเป็นบนหรือล่างเวที พวกคนที่ไม่รับรู้เรื่องราวภายในต่างแอบนึกพากันเสียดาย โดยเฉพาะผู้เข้าแข่งขันที่ตกรอบไป อาจารย์ของพวกเขาต่างก็ไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียงอะไร กระทั่งบางคนยังไม่เคยไหว้ครูด้วยซ้ำ
ผู้คนที่เห็นนึกไม่ถึงว่าเหมยเหมยจะกล้าปฏิเสธอาจารย์ชื่อดังระดับประเทศอย่างง่ายดาย พวกเขาต่างสูดหายใจเข้าอย่างนึกเจ็บปวด
กลับกันหากเป็นพวกเขา คงไม่ต้องพูดอะไรแล้วตอบตกลงในทันที มีอะไรให้ลังเลอีกหรือ พวกเขาไม่มีทางปฏิเสธ !
รอยยิ้มบนใบหน้าของเจิ้งซื่อหลินกลับกลายเป็นฝืนทน ส่งยิ้มให้กับผู้คนล่างเวที จากนั้นหันมาถามอีกครั้ง “ทำไมเธอถึงไม่เต็มใจให้ฉันเป็นอาจารย์ล่ะ? หรือคิดว่าฉันมีฝีมือไม่สูงพอ?”
ล่างเวทีมีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาระลอกหนึ่ง หร่วนหวาไฉ่รีบพูดหยอกล้อ “อาจารย์เจิ้งก็ถ่อมตัวเกินไปครับ หากว่าคุณมีฝีมือไม่สูงพอ คนอย่างผมคงกลายเป็นคนที่มีฝีมือระดับเด็กประถมแล้วล่ะ!”
คนอื่นๆบนเวทีต่างพากันคุยโม้โอ้อวด แค่นี้ก็ดูออกแล้วว่าเจิ้งซื่อหลินมีตำแหน่งในแวดวงการวาดภาพสูงมากพอควร คนจำนวนมากต่างมองเขาเป็นหัวหลักหัวตอเสมอ
เจิ้งซื่อหลินพูดหยอกล้ออย่างคิดเข้าข้างตัวเอง “ฝีมือระดับฉันถือว่าไม่เลวนะ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคนชื่นชมฉันมากขนาดนี้หรอก เธอจะลองคิดดูอีกทีไหม?”
เหมยเหมยยังคงส่ายหน้า “ไม่ต้องคิดหรอกค่ะ คนพวกนั้นก็แค่ประจบคุณเท่านั้นเอง!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหร่วนหวาไฉ่หายไปทันที คนอื่นๆ ก็ด้วย บรรยากาศกลับกลายเป็นไร้ชีวิตชีวา ทุกอย่างชะงักงัน ภายในหอประชุมใหญ่เงียบสงัดอย่างไร้เสียง
เห้อเหวินจิ้งนั่งฟังอย่างถึงอกถึงใจ และเป็นคนเริ่มปรบมือขึ้น ในขณะเดียวกันยังมีเซียวเซ่อและจ้าวเสวียเอร่อที่ปรบมืออย่างพร้อมเพรียง เซียวเซ่อยินดีกับเหมยเหมยจากใจจริง จ้าวเสวียเอร่อกลับไม่อยากให้บรรยากาศดูอึดอัดเกินไป
ยัยเด็กแสบนี่นับวันยิ่งใจกล้ามากขึ้น ไม่ดูสถานการณ์อะไรเลย คำพูดอะไรก็กล้าพูดออกมาเสียหมด!
“พี่จ้าว น้องสาวของพี่น่ารักจัง เยี่ยมไปเลย!” ดาวมหาลัยคนสวยปรบมือด้วยความตื่นเต้น
จ้าวเสวียเอร่อพลันปรับสีหน้าให้เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนหลงใหล ขยับเข้าใกล้ดาวสาวสวยมากขึ้น “เหมยเหมยเป็นคนน่ารัก ในบรรดาพี่ชายทั้งหมด เธอสนิทกับพี่มากที่สุด…”
ถึงยังไงการพูดคุยเรื่องไกลตัวกับดาวคนสวยนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า ส่วนน้องสาวเขาจะวุ่นวายหรือไม่ เขาไม่มีกระจิตกระใจจะเข้าไปยุ่ง ถึงยังไงก็เป็นแค่พิธีการประกาศรางวัลเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
เจิ้งซื่อหลินยังคงยิ้มอ่อนๆ เพียงแต่รอยยิ้มกลับดูเย็นยะเยือกลง หากไม่ใช่ว่าเหมยเหมยเป็นหลานสาวของตระกูลจ้าว เขามีวิธีมากมายเกินจะนับได้ ที่จะทำให้เหมยเหมยเดินอยู่ในวงการวาดภาพอย่างยากลำบาก
เหมยเหมยจ้องหน้ากับเจิ้งซื่อหลินอย่างสงบ จากนั้นพูดต่อ “ฝีมือของคุณเป็นยังไงฉันไม่รู้หรอก ฉันรู้แค่ว่าม้าที่ดีมักจะคู่ควรกับอานที่ดี[1] คนเราไม่ไหว้ครูถึงสองคนหรอกค่ะ หนูมีครูอยู่แล้ว และแน่นอนว่าไม่มีทางไหว้คนอื่นเป็นครูอีก ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ อกตัญญู รวมถึงไร้ซึ่งคุณธรรมและความผิดชอบชั่วดี หลายพันคนชี้ให้เห็นว่าหากชื่อเสียงเรื่องราวฉาวโฉ่ถูกเล่าขานต่อไป มักจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดจะดูหมิ่นเหยียดหยาม”
คำพูดของเธอชัดถ้อยชัดคำ รอยยิ้มบนใบหน้าของหร่วนหวาไฉ่และเจิ้งซื่อหลินจางหายลงไปมาก จนกลายเป็นเยือกเย็น
เรื่องราวในปีนั้นเป็นหนามแทงใจของพวกเขามาตลอด ท้ายที่สุดแล้วชื่อเสียงของการทรยศต่อครูของตนนั้นถือเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก ตลอดยี่สิบปีมานี้ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองต่างจัดการกับเรื่องนี้ โดยการพยายามปกปิดข้อเท็จจริง
ยี่สิบปีที่กำลังจะผ่านไป ฐานะในวงการวาดภาพของพวกเขานั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ คนที่รู้ความจริงก็ลดน้อยลงไปทุกที ต่อให้มีคนรู้ ก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูดต่อหน้าพวกเขา
จ้าวเหมยกำลังรนหาที่ตาย!
อย่าคิดว่าเธอเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลจ้าว แล้วพวกเขาจะจัดการกับเธอไม่ได้!
เล่นในที่แจ้งไม่ได้ ก็เล่นในที่มืดสิ อยากกำจัดใครสักคน มีอยู่นับร้อยพันวิธี!
หร่วนหวาไฉ่ดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว เขาพูดจาติดตลกไปไม่กี่ประโยคเพื่อให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้น เหมยเหมยส่งยิ้มบางๆให้พวกเขา ก่อนจะถือถ้วยรางวัลลงจากเวที
เจิ้งซื่อหลินและหร่วนหวาไฉ่พยายามปกปิดข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ในปีนั้น แต่เธอกลับพูดมันขึ้นมาอีกครั้ง
คุณตาของเธอเหยียนตานชิง จะต้องกลับเข้ามาในวงการวาดภาพอย่างเจิดจรัสเฉิดฉายอีกครั้ง ใครหน้าไหนก็อย่าได้ลืม!
……………………………………………………..
บทที่ 675 สองปีผ่านไป
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสองปี
ฤดูร้อนในปีนี้ร้อนกว่าปีก่อนๆ และปีที่ผ่านมาเป็นไหนๆ สัตว์นานาพันธุ์บนต้นอูถง[2]กลางสนามไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงเปล่งเสียงร้อง เงียบเหงาที่สุดในประวัติการณ์ พัดลมเพดานในห้องเรียนพัดหมุนดังเอี๊ยดๆ ราวกับเสียงเครื่องยนต์เก่าๆก็มิปาน แต่ที่น่าเป็นห่วงหน่อยก็เห็นจะเป็นส่วนคมของใบพัด ซึ่งมันอาจจะหมดอายุและหล่นลงมาได้ทุกเวลา
แม้ว่าพัดลมเพดานจะถูกเปิดจนถึงระดับสูงสุด แต่ลมที่พัดส่งออกมากลับเป็นลมร้อน ไม่แม้แต่จะรับรู้ได้ถึงความเย็นสบาย นักเรียนหลายคนถือสมุดแบบฝึกหัดขึ้นมาพัดกระพือไม่หยุด เพื่อรับความเย็นสบายจากลม
“ร้อนจะตายอยู่แล้ว ทำไมครูอู๋ยังไม่มาอีกนะ ?”
เจ้าเด็กอ้วนอู่เชา ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกเขาว่าพี่อ้วนแล้ว
เพราะในช่วงเวลาสองปีที่คืนวันได้ผันผ่าน ไขมันบนตัวของเด็กชายอู่เชาพัฒนาขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ จากที่เขามีส่วนสูงอยู่ที่หนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร หนักหนึ่งร้อยยี่สิบห้าจิน ในตอนนี้ได้ข้ามกระโดดมามีส่วนสูงหนึ่งร้อยหกสิบสี่ และหนักหนึ่งร้อยสี่สิบจินได้จนสำเร็จ
ทั้งหมดนี่เป็นเพราะน้ำพักน้ำแรงของเหมยเหมยและสยงมู่มู่ ที่คอยสนับสนุนอย่างเต็มที่
สองปีมานี้พวกเขาห่อข้าวเที่ยงมาให้เจ้าอ้วนเสมอดั่งสายฝนที่ไม่ขาดสาย เนื้อปลาไข่สารอาหารครบครันไม่มีขาด และด้วยมื้อเที่ยงของเหมยเหมยที่แทบจะไม่กินเนื้อเลย และด้วยกล่องกับข้าวจากเหยียนซินหย่า ล้วนเป็นเจ้าอ้วนที่เป็นคนจัดการ
จนสุดท้ายต้องกลายมาเป็นพี่อ้วนอย่างสมบูรณ์แบบ!
และนั่นทำให้เขาถูกเปรียบเทียบกับพี่ชายอย่างอู่เจี่ยได้อย่างชัดเจนยิ่งนัก จนแอบคร่ำครวญในใจว่าน้องของเขาเป็นหมู ไม่ว่าสิ่งที่เขากินเข้าไปจะเป็นอะไร แต่ส่วนที่งอกเงยก็คือส่วนเนื้อ!
แม่ของพวกเขาอย่างเว่ยชิวเยวี่ย สองปีผ่านไปสำหรับการฝึกฝนและเปลี่ยนแปลง แต่ฝีมือในการทำอาหารกลับไม่พัฒนาขึ้นเอาเสียเลย กับข้าวที่ทำออกมาในแต่ละวันเหมือนกับอาหารหมู เขากินจนเหลือแต่กระดูกแล้ว แต่น้องชายเขากลับตัวอ้วนกลมดิก หากไม่ใช่หมูแล้วจะเป็นอะไรได้!
เหมยเหมยนั่งอยู่อย่างเงียบสงบ ไม่ได้รู้สึกร้อนระอุเหมือนกับคนอื่นๆ แม้แต่ส่วนปลายจมูกของเธอยังไม่มีหยดเหงื่อเลย เย็นๆสบายๆ ราวกับไม่ได้รับความร้อนเสียอย่างนั้น
ในความเป็นจริงเธอไม่ได้รู้สึกว่าร้อนแต่อย่างใด เธอเป็นคนธาตุเย็น ไม่รู้สึกร้อนง่าย อีกทั้งเธอสวมใส่เสี่ยวฉาฉาไว้ ต่อให้ร่างกายเธออยู่กลางเตาอบ ก็ไม่รู้สึกถึงความร้อน!
เพราะเจ้าฉาฉาจอมน่ารักเป็นดั่งโรงเก็บน้ำแข็งเคลื่อนที่!
และยังเป็นโรงเก็บน้ำแข็งที่สามารถปรับอุณหภูมิได้อีกด้วย มันสามารถปรับเปลี่ยนได้ทุกเมื่อตามอุณหภูมิด้านนอกที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งอุณหภูมิที่ถูกส่งออกมาจะพอดีกับร่างกายของเหมยเหมยมากที่สุด ดีกว่าเครื่องปรับอากาศส่วนกลางร้อยเท่า
“เหมยเหมย ทำไมเธอถึงไม่ร้อนเลยสักนิด ? ฉันขอจับมือเธอหน่อยได้ไหม?”
เจ้าอ้วนที่เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดเต็มหน้ามองเหมยเหมยอย่างอิจฉา เขาขยับหน้าเข้าไปใกล้มากขึ้น เพื่อที่จะได้รับเอาอากาศเย็นมาจากเหมยเหมย
“เพี้ยะ!”
เหมยเหมยออกแรงฟาดไปบนมือของอู่เชา กรอกตามองเขาครู่หนึ่ง และพูดอย่างราบเรียบ “ชายหญิงห้ามอยู่ใกล้กันมาก ออกไปห่างๆจากฉันหน่อย !”
อู่เชาลุกออกไปนั่งให้ห่างอย่างโมโห เหมยเหมยที่โตขึ้นไม่น่ารักเลยสักนิด แค่จับนิดจับหน่อยจะทำไม?
ตอนเด็กๆ ยังเคยนอนด้วยกันเลย!
เหมยเหมยเหลือบมองท่าทีอึดอัดใจของเจ้าอ้วน จึงอดหัวเราะไม่ได้ ลักยิ้มข้างแก้มปรากฏขึ้น ทั้งตัวเธอดูงดงามราวกับน้ำใสกลางหุบเขาก็มิปาน ทำให้ห้องเรียนเย็นสบายไประลอกหนึ่ง
ช่วงเวลาสองปี เหมยเหมยเปลี่ยนไปมาก ช่วงตัวดูยาวขึ้น จากเดิมที่มีใบหน้ากลมมนดั่งเด็กทารก กลับเปลี่ยนเป็นเล็กแหลม ใบหน้าก็ดูสดใสขึ้น มองยังไงก็ดูโดดเด่น และยิ่งงดงามมากขึ้น
ความจริงแล้วควรพรรณนารูปลักษณ์หน้าตาของเหมยเหมยว่าสวยจนทำลายล้างประเทศชาติ ไม่เหมาะจะใช้คำว่าบริสุทธิ์งดงาม สง่างาม หรือน่ารัก ใจกว้าง สารพันคำพวกนี้มาพรรณนาทั้งนั้น แต่ควรใช้แค่เพียงคำว่าสวยเจ้าเล่ห์
“ถ้าใจสงบนิ่งก็จะรู้สึกเย็นเองแหละ นายนั่งนิ่งๆ อย่าขยับ เดี๋ยวก็รู้สึกเย็นเอง” เหมยเหมยพูดขึ้น
อู่เชาออกแรงพัดด้วยสมุดการบ้าน แลบลิ้นหอบแหกๆ ทำปากบูดบึ้ง ถ้าไม่ขยับแล้วสายลมจะมาจากไหนล่ะ?
ถ้าต้องพึ่งพัดลมติดเพดานสองตัวบนนี้ เขาคงได้ร้อนตาย!
ครูอู๋ที่เข้ามาสายยังคงสุขุมเข้มงวดดังเดิม แต่ความเมตตาบนใบหน้าที่หาได้ยากของเขากลับมีมากขึ้น เป็นอีกครั้งที่เขาจะต้องมาส่งเด็กที่เรียนจบ ความชื่นชมของเขามีอยู่เหลือล้น แต่ก็มีความเศร้าโศกอยู่เล็กน้อย
…………………………………………………………………………………………..
[1] ของดีๆ มักจะคู่ควรกับสิ่งดีๆ เสมอ
[2] เมเปิ้ลสายพันธุ์จีน