ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 676 อยู่กับพี่หมิงซุ่น เงินไม่ขาดมือ + บทที่ 677 เหอปี้อวิ๋นวันๆเอาแต่โดนตี
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- บทที่ 676 อยู่กับพี่หมิงซุ่น เงินไม่ขาดมือ + บทที่ 677 เหอปี้อวิ๋นวันๆเอาแต่โดนตี
บทที่ 676 อยู่กับพี่หมิงซุ่น เงินไม่ขาดมือ
วันนี้เป็นวันเลี้ยงฉลองเนื่องในโอกาสสำเร็จการศึกษาของห้องเหมยเหมย และถือเป็นการรวมกันครั้งสุดท้ายของชั้นมัธยมปีที่สามห้องหก ต่อจากนี้ทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันไปเรียนที่โรงเรียนอื่น หรืออาจจะย้ายไปเรียนรวมกับห้องอื่น
“ไม่รู้ว่าพวกเราจะได้อยู่เดียวกันอีกไหม ?” อู่เซาเองก็รู้เสียใจเล็กน้อย เขากินแตงโมไปห้าชิ้นติดกัน เลยไม่ได้รู้สึกร้อนเท่าก่อนหน้านี้แล้ว
เหมยเหมยกรอกตามองเขาอย่างเอือมระอา “ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันก็ไม่เห็นเป็นไร อย่างน้อยก็อยู่โรงเรียนเดียวกัน”
เป็นอีกครั้งที่อู่เซาเบ้ปาก ยัยบ้านี่ใจดำชะมัด ไม่คิดจะปลอบใจเขาเลยสักนิด !
“อีกไม่กี่วันเธอก็กลับเมืองหลวงแล้วใช่ไหม ? นั่งเครื่องบินหรือว่ารถไฟล่ะ ?” อู่เซาถามขึ้น
“อื้ม อีกไม่กี่วันก็ไปแล้ว ถึงยังไงเครื่องบินก็เร็วกว่า จะกลับเวลาไหนก็ได้ !”
ไม่ง่ายเลยที่เหมยเหมยจะกินแตงโมสักชิ้นให้หมด เธอล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเพื่อเช็ดปากและมือ ตามร่างกายยังคงสะอาดสะอ้านดังเดิม นั่นจึงกลายเป็นข้อเปรียบเทียบกับเพื่อนในห้องที่กำลังกินแตงโมอยู่อย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่นเจ้าอ้วนที่อยู่ข้างๆเธอ
ตั้งแต่ที่เหยียนหมิงซุ่นเปิดโรงงานผลิตเสื้อผ้ามานั้น เงินของเหมยเหมยก็ไม่ขาดมืออีกเลย ในไตรมาสแรกเธอก็มีเงินเป็นหมื่นๆ ซึ่งเธอเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย หนึ่งหมื่นหยวนในยุคแปดสิบเลยนะ !
ทำให้คนเราดีใจได้มากกว่าเงินจำนวนหนึ่งล้านในอนาคต !
แต่ผลลัพธ์นั้นเหยียนหมิงซุ่นกลับบอกว่าเพิ่งเริ่ม รายรับจึงไม่ประสบผลดีเท่าที่ควร ผ่านไปสักสองปี จะต้องได้มากกว่านี้แน่
นึกไม่ถึงว่าต่อไปเธอจะมีเงินที่ทยอยได้มาเล็กๆน้อยๆ เป็นเงินปันผล ตอนนี้นับรวมๆกันเธอมีอยู่เกือบๆห้าหมื่นหยวนแล้ว เงินพวกนี้เธอยังไม่กล้าที่จะบอกกับสองสามีภรรยาจ้าวอิงหัว กลัวว่าพวกท่านจะรับไม่ได้ !
เธอแค่ร่วมลงทุนไปแค่หนึ่งพันหยวน แต่ส่วนแบ่งกลับได้มามากมายขนาดนี้ เหยียนหมิงซุ่นถือเป็นคนลงทุนหลัก ซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องได้รับมามากเป็นธรรมดา แต่เหยียนหมิงซุ่นยังไม่พึงพอใจเท่าที่ควร ปีที่แล้วเขาขยายโรงงานให้กว้างขึ้น จากนั้นก็เปิดห้างขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ขายจำพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอย่างโทรทัศน์ เครื่องถ่ายวีดิโอ ตู้เย็น พัดลมโดยเฉพาะ แน่นอนว่าช่องทางการรับเข้าวัสดุก็ต้องมาจากทางภาคใต้
ตอนนี้เหยียนหมิงซุ่นคุ้นชินกับคนที่นั่นเป็นอย่างดี แค่มีสายโทรเข้ามา ทางฝั่งนั้นก็จะทำการส่งของมาให้ทันที ซึ่งนับว่าสะดวกสบายเป็นอย่างมาก
ห้างขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของเหยียนหมิงซุ่น เหมยเหมยก็ได้ร่วมลงทุนด้วย เธอลงทุนไปหนึ่งหมื่นหยวน แต่เป็นเพียงสิบเปอร์เซ็นของหุ้นทั้งหมด เพราะเหยียนหมิงซุ่นยังมีบรรดาลุงและลูกพี่ลูกน้องอีกมาก เธอไม่กล้าจะเอาเปรียบไปมากกว่านี้
พูดได้แค่ว่า ยุคแปดสิบนั้นทุกพื้นที่ล้วนเป็นเงินเป็นทอง ตราบใดที่คุณมีช่องทาง และกล้าพอที่จะเดินหน้ากับเงินลงทุน นั่นไม่ยากเลยที่จะได้เงินมา
ผลกำไรที่ได้จากห้างขายเครื่องใช้ไฟฟ้าสูงกว่าโรงงานเสื้อผ้าเป็นไหนๆ เหมยเหมยเองก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาแบ่งเป็นเงินเท่าไหร่ เธอเลือกเก็บไว้ติดตัวแค่หนึ่งหมื่นหยวน ที่เหลือเป็นส่วนเกินที่ได้มา เหมยเหมยให้เหยียนหมิงซุ่นช่วยเอาไปลงทุนให้ทั้งหมด เธอก็ไม่อยากเข้าไปยุ่ง เพียงทำหน้าที่รอเก็บเงินก็พอแล้ว !
ถึงยังไงเธอก็วางใจต่อเหยียนหมิงเกินร้อย !
เพราะงั้นเหมยเหมยที่ไม่ได้ขาดแคลน เธอไม่มีทางไปนั่งรถไฟอีกแน่ !
มีเงินแล้วไม่ใช่ก็ไม่ต่างกับคนซื่อบื้อ !
อู่เซาพูดขึ้นอย่างอิจฉา “ฉันไม่ได้ไปเที่ยวเมืองหลวงมานานหลายปีมาก แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้เมืองหลวงเป็นยังไง ? อีกอย่างฉันโตมาขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยนั่งเครื่องบินเลยสักครั้ง !”
ที่เขาอิจฉาที่สุดก็คือการที่เหมยเหมยได้นั่งเครื่องบิน เปรียบเสมือนนกที่บินล่องลอยอยู่กลางอากาศ ต้องสนุกมากแน่ๆเลย !
เหมยเหมยกลอกตาและยกยิ้มขึ้น “งั้นนายไปเที่ยวเมืองหลวงกับฉันสิ !”
เจ้าเด็กอ้วนดวงตาเปล่งประกาย แต่ฉับพลันก็ดับมืดลง แน่นอนว่าเขาอยากไปเที่ยวเมืองหลวง แต่เงินค่าขนมของเขาแค่จะซื้อตั๋วรถไฟยังไม่พอเลย จะเอาปัญญาที่ไหนมานั่งเครื่องบิน !
และแม่เขาก็คงจะไม่ยอมด้วย ครอบครัวเขาเพิ่งจะซื้อบ้านหลังใหม่ เงินเก็บที่มีก็ใช้ไปหมดแล้ว แม่ยังบอกอีกว่าจะเก็บเงินไว้ให้เขาและพี่ชายสำหรับใช้เข้ามหาลัย เพราะฉะนั้นตอนนี้ทุกคนในบ้านจะต้องช่วยกันกินอยู่อย่างประหยัด เธอคงไม่มีทางออกเงินช่วยหรอก
เหมยเหมยเห็นท่าทีของเจ้าเด็กอ้วนก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แอบกระซิบเสียงเบาที่ข้างหู “วางใจได้ ค่าตั๋วไปกลับ ค่ากินค่าที่พักฟรีทุกอย่าง นายแค่พาตัวเองไป !”
………………………………………………………………..
บทที่ 677 เหอปี้อวิ๋นวันๆเอาแต่โดนตี
แววตาครอบจักรวาลของอู่เซากลับกลายเป็นประกายสดใสอีกครั้ง ฝืนกลั้นความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ หันไปกระซิบที่ข้างหูของเหมยเหมย “แบบนี้ไม่ดีหรือเปล่า ? ฉันรู้สึกเกรงใจน่ะ !”
ตั๋วเครื่องบินไปกลับเป็นร้อยกว่าหยวน ไหนจะรวมค่ากินค่าอยู่ให้อีก ช่างเป็นอะไรที่น่าอึดอัดใจมากจริงๆ !
เหมยเหมยกลอกตาขาวส่งให้เขาในทันที “สรุปว่านายจะไปหรือไม่ไป ? ไม่ไปก็ช่างเหอะ !”
“ไปสิ ไปแน่นอน !”
เจ้าเด็กอ้วนสลัดความอึดอัดใจทั้งหลายแหล่ทิ้งลงไปในแม่น้ำหวงผู่[1] ตบปากรับคำอย่างแน่วแน่
ถึงยังไงเขาก็เกาะติดพึ่งใบบุญมื้อเที่ยงจากเหมยเหมยมาเป็นเวลาสองปีเศษ จะเกาะเธอช่วงปิดเทอมฤดูร้อนอีกสักนิดคงจะไม่เป็นอะไร อย่างมากแค่รอให้โตขึ้นแล้วหาเงินให้ได้มากๆ ค่อยเอาไปคืนเธอก็ได้ !
ส่วนในอนาคตจะหาเงินก้อนใหญ่ได้หรือไม่นั้น เจ้าเด็กอ้วนมีความมั่นใจในตัวเองมากพอ !
คนมีพรสวรรค์อย่างเขา หาเงินง่ายนิดเดียว !
ด้านข้างมีเจินหวานหว่านที่คอยนั่งแทะกินแตงโมพร้อมกับแอบฟังพวกเขาพูดคุยอยู่ตลอดอย่างสนอกสนใจ เธออดไม่ได้ที่จะถามออกไป “เหมยเหมย ความรู้สึกตอนนั่งเครื่องบินเป็นยังไงหรอ ?”
“ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร งีบไปสักพัก ตื่นขึ้นมาก็ถึงแล้ว แต่บนเครื่องบินมีของอร่อยๆเยอะมาก”
แม้ว่าจะไม่ชอบเจินหวานหว่านนัก แต่เหมยเหมยก็ฝืนใจตอบออกไป อันที่จริงเครื่องบินในตอนนี้เทียบไม่ได้กับชาติก่อนเลย โดยเฉพาะฤดูร้อน ไม่มีเครื่องปรับอากาศ แออัดและไม่มีช่องระบาย พูดง่ายๆก็คือเครื่องนึ่งดีๆนี่เอง ข้อดีเพียงข้อเดียวคือรวดเร็ว
เจินหวานหว่านที่โตขึ้นก็ดูสวยขึ้นมาก แต่นัยน์ตาของเธอดูเจ้าแผนการ จึงทำให้ดูเป็นเหมือนพวกหน้าเลือด ซึ่งไม่น่าคบค้าสมาคมด้วยสักเลยนิด
“เหมยเหมยนี่โชคดีจัง ทุกๆปีก็จะได้นั่งเครื่องบิน ทั้งยังได้ไปเที่ยวที่เมืองหลวง ฉันโตขนาดนี้แล้ว แม้แต่รถไฟก็ยังไม่เคยนั่งเลย !” เจินหวานหว่านรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก นักเรียนที่นั่งอยู่ข้างๆต่างพากันพยักหน้าตาม
นักเรียนในห้องส่วนมากไม่เคยออกไปนอกเขตเมืองจินเลย เป็นธรรมดาที่จะพากันอิจฉาเหมยเหมย ที่อายุยังน้อยแต่ได้ไปเที่ยวสถานที่ไกลๆแบบนั้น ทั้งยังได้บินอยู่บนฟ้า !
เหมยเหมยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พูดขึ้น “วันข้างหน้าพวกเธอก็จะได้นั่งเครื่องบินเอง”
อย่างมากก็สิบปี การนั่งเครื่องบินจะไม่จัดเป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยอีกต่อไป คนธรรมดาทั่วไปก็สามารถนั่งได้ ผ่านไปอีกสิบปีก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา สะดวกสบายเสียยิ่งกว่าการดื่มน้ำสักแก้วหนึ่งเสียอีก !
เด็กนักเรียนคนอื่นๆไม่มีทางเชื่อ ต่างคิดว่าเหมยเหมยบ่ายเบี่ยงประเด็นกับพวกเขา ตั๋วเครื่องบินหนึ่งใบยัง ราคาสูงกว่าเงินเดือนทั้งเดือนของพ่อแม่พวกเขาด้วยซ้ำไป พวกเขาคงไม่ปัญญาได้นั่ง !
งานเลี้ยงไม่ได้มีกิจกรรมอะไร แค่เป็นการรวมตัวครั้งสุดท้ายของทุกคน มีแตงโมให้กินเล็กน้อย กินไปคุยไป ไม่ต่างไปจากงานเลี้ยงน้ำชา
เจินหวานหว่านไม่ยอมอยู่เงียบๆ และพูดขึ้นมาอีก “เหมยเหมย ฉันจะบอกอะไรให้นะ เมื่อวานแม่ของอู่เยวี่ยโดนตบตีอีกแล้ว เป็นเพราะแม่ของเธอทอนเงินผิดไปห้าเจี่ยว พ่อเลี้ยงจึงด่าว่าตบตีไปชุดใหญ่ หากตบตีต่ออีกนิดคือตายได้เลย ยังคงเป็นแม่ของฉันและคนอื่นๆที่ช่วยกันท่าไว้ จึงช่วยไถ่คืนชีวิตกลับมาได้ !”
พูดจบเจินหวานหว่านมองหน้าเหมยเหมยอย่างเอาใจ หวังว่าจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงจากใบหน้าเธอ แบบนั้นเธอถึงจะรับรู้ได้ถึงความสำเร็จ แต่คิ้วของเหมยเหมยไม่แม้แต่จะขยับเลย
“รู้แล้ว”
เหมยเหมยพูดอย่างราบเรียบ ในตอนนี้เธอไม่ได้สนใจอะไรเหอปี้อวิ๋นแล้ว บุญคุณสิ้นสุดลงแล้ว ในวันข้างหน้าไม่ว่าเหอปี้อวิ๋นจะเป็นหรือจะตาย ก็ไม่มีเรื่องข้องเกี่ยวอะไรกับเธออีก !
เธอสนใจเพียงแค่ความเป็นความตายของอู่เยวี่ย !
“อู่เยวี่ยล่ะ ? ตอนนั้นเธอไม่อยู่รึ ?” เหมยเหมยถามขึ้นหนึ่งประโยค ท่าทีซึมเศร้าของเจินหวานหว่านเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นในทันที
“ไม่อยู่ แม่ของเธอไม่เคยให้เธอไปช่วยขายปลาที่ตลาดสดเลย ครั้งนี้เลยไม่รู้ว่าแม่เธอโดนตบตีไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง” เจินหวานหว่านพูดขึ้น
เหมยเหมยหัวเราะเยาะไปที ช่างเป็นมารดาที่แท้จริง แต่น่าเสียดายที่เลี้ยงลูกให้กลายเป็นหมาป่าตาขาวที่เป็นดั่งลูกทรพี !
เธอสามารถคาดเดาถึงอนาคตของเหอปี้อวิ๋นได้แล้ว…
สามีคนที่สองที่แต่งงานด้วยติดเหล้า ติดพนัน ขี้เหนียว เห็นแก่ตัว ทั้งยังทำร้ายร่างกายผู้หญิง ลูกเลี้ยงก็เป็นเด็กอันธพาลต่อสังคม ลูกสาวแท้ๆก็เห็นแก่ตัว เลือดเย็น พ่อแม่แท้ๆและบรรดาพี่น้องของเธอกลับยิ่งช่วยรีดเหงื่อรีดไคล เหอปี้อวิ๋นเป็นดั่งคนที่ไม่มีหวัง และในอนาคตเธอจะต้องตายเพราะเงื้อมมือของคนในครอบครัว !
……………………………………………………………..
[1] ภาษาจีนกลางเรียกว่า หวงผู่เจียง ซึ่งถือเป็นแม่คงคาของเซี่ยงไฮ้ก็ว่าได้