ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 678 ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ + บทที่ 679 ทั้งหมดนี่หมิงซุ่นให้มา
- Home
- ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น
- บทที่ 678 ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ + บทที่ 679 ทั้งหมดนี่หมิงซุ่นให้มา
บทที่ 678 ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ
สมแล้วที่คุณยายเหอเป็นคนคัดค้านเหอปี้อวิ๋นโดยเฉพาะ ในปีนั้นมีชายมากหน้าที่ถูกตาต้องใจเหอปี้อวิ๋น แม้ว่าเหอปี้อวิ๋นจะเป็นหญิงม่ายลูกติดที่แต่งงานถึงสองครั้ง แต่ยังคงมีเสน่ห์ดั่งเดิม หน้าตาก็ไม่ได้แย่ อีกทั้งยังดูมีวัฒนธรรม ยิ่งตรงจุดนี้ถือว่าแกร่งกว่าผู้หญิงมือสองคนอื่นไปมาก
ซึ่งแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่มักจะเป็นพ่อม่าย หรือไม่ก็พวกผู้ชายขึ้นคาน และยังมีชายที่แต่งงานมาแล้วสองครั้ง หรือจำพวกชายแก่ๆ หนังเหี่ยว มีทุกประเภททุกรูปแบบให้คุณยายเหอเลือกจนตาลาย
บรรดาชายชาตรีทั้งหลายต่างมีความจงรักภักดี และอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับเหอปี้อวิ๋นจริงๆ หากว่าเหอปี้อวิ๋นแต่งงานกับพวกเขา ชีวิตของเธอต้องดีขึ้นแน่ แต่คุณยายเหอกลับไม่สนใจคนพวกนี้ มาตรฐานเดียวที่เธอจะเลือกลูกเขยคือสินสอด สินสอดอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เพราะอย่างอื่นเธอไม่คิดเล็กคิดน้อยด้วย
เป็นของมือสองแล้ว ได้โอกาสคว้าผลประโยชน์ก็ต้องรีบคว้าเอาไว้ให้มาก !
เพราะงั้นผู้ชายที่คุณยายเหอเลือกให้กับเหอปี้อวิ๋นคนปัจจุบัน เป็นชายร่างท้วมสมบุกสมบันซึ่งเป็นพ่อค้าขายปลา บนตัวมีกลิ่นคาวปลาที่รุนแรง เหอปี้อวิ๋นไม่ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ กลิ่นคาวปลาบนตัวชายผู้นี้รุนแรงจนเธอแทบจะอ้วกออกมา
แต่คุณยายเหอกลับพึงพอใจ เพราะพ่อค้าปลาคนนี้ให้ราคาสินสอดสูง มากกว่าตั้งห้าสิบหยวนแน่ะ !
เหอปี้อวิ๋นที่ไม่เต็มใจเป็นอย่างมาก ที่ถูกคุณยายเหอขายออกไปเสียแบบนั้น แม้แต่สินสมรสก็ไม่มี กระทั่งสินสอดที่ฝ่ายชายให้ก็ไม่ได้กลับมา เหลือแต่ตัวอย่างแท้จริง เธอออกมาจากที่นั่นอย่างลำพังและยังได้พาอู่เยวี่ยออกมาด้วย
และนี่คือเหตุผลที่ชายผู้นี้มักจะตบตีเหอปี้อวิ๋น !
คนทำกิจการค้าขายอย่างเขาคิดเงินด้วยลูกคิดได้แม่นเสียยิ่งกว่าใคร เงินสินสอดพวกนั้นเขาคิดคำนวณไว้ตั้งแต่แรกแล้ว โดยทั่วไปถ้าลูกสาวแต่งงาน สินสอดจะต้องหักออกครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งยกให้ลูกสาวไว้ใช้เป็นสินสมรสเอากลับมา เท่ากับว่าเงินนั่นจะกลับมาหาเขาอีกครั้ง
แต่เป็นอย่างที่คิดเสียที่ไหน ความดีงามสูงขึ้นหนึ่งฟุต แต่ความชั่วร้ายสูงขึ้นสิบฟุต[1] เขาเจอกับมือโปรลูกคิดอย่างคุณยายเหอ หักเงินสินสอดเอาไว้ทั้งหมด อย่าว่าแต่สินสมรสเลย แม่แต่ชักโครกเขายังไม่ได้คืนมา
เท่ากับว่าเขาสู่ขอของมือสองมา แม่เจ้า แพงเสียยิ่งกว่าการสู่ขอหวงฮวาต้ากุยหนี่[2] มีหรือที่พ่อค้าปลาที่ทำธุรกิจอย่างเขาจะไม่โกรธ !
เป็นธรรมดาที่จะมองเหอปี้อวิ๋นไม่เข้าตาไปเสียแล้ว !
ตั้งแต่แต่งงานกันมา เหมยเหมยก็มักจะได้ยินเจินหวานหว่านพูดเรื่องเหอปี้อว๋น การทะเลาะเป็นเรื่องธรรมดาของครอบครัว ดีกันอย่างมากก็แค่สามวัน สามวันหลังจากนั้นก็มักจะเกิดสงครามขึ้นอีก
ตามที่เจินหวานหว่านพูด ชีวิตของเหอปี้อวิ๋นในตอนนี้น่าสงสารมาก ไม่มีฐานะใดๆในบ้าน ฆ่าปลาก็เป็นหน้าที่ของเธอ มือทั้งสองข้างแตกร้าวจนแทบทนไม่ไหว เป็นแบบนี้แล้วยังถูกตบตีอีก ดูยังไงก็ไม่เหมือนกับการใช้ชีวิตของคน
เหมยเหมยไม่เกิดอาการคล้อยตามแต่อย่างใด อยากดื่มก็ดื่ม อยากกินก็กิน ทุกอย่างมีเหตุมีผล เหอปี้อวิ๋นสร้างเหตุร้ายๆเองกับมือ หากเธอไม่ยอมกินผลแล้วใครจะกิน ?
เจินหวานหว่านพูดขึ้นอีก “คะแนนของอู่เยวี่ยในตอนนี้แย่เป็นที่สุด เกรงว่าโรงเรียนมัธยมสิบสองยังยากที่จะสอบเข้าได้ เหอะ ฉันล่ะสงสัยจริงๆว่าเมื่อก่อนเธอต้องลอกคนอื่นๆแน่ !”
“ฉันก็ลอกได้ ลอกให้ได้ที่หนึ่งของโรงเรียนเลย !”
เหมยเหมยระเบิดโทสะกลับไป แม้ว่าเธอจะเกลียดอู่เยวี่ย แต่เมื่อก่อนที่อู่เยวี่ยได้คะแนนดีเป็นเพราะความสามารถที่แท้จริงของเธอ จุดนี้ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย
เจินหวานหว่านประจบสอพลอไม่หยุด เธอกัดกินแตงโมอย่างโมโห แอบด่าแช่งเหมยเหมยในใจ !
หากในอนาคตเธอได้ดีแล้ว เธอจะทำให้ทุกคนที่ดูถูกเธอ ต้องก้มหัวคุกเข่าตรงหน้าเธอเพื่อขอร้อง !
เมื่อกินทุกอย่างหมดแล้ว งานเลี้ยงห้องก็ถือว่าสิ้นสุดลง เหมยเหมยถ่ายรูปให้ตัวเอง เพื่อนร่วมห้องและคุณครู ทั้งยังได้ไหว้วานให้เจ้าเด็กอ้วนช่วยจดบันทึกที่อยู่ให้ จากนั้นจึงได้ขอตัวกลับ
ช่วงบ่ายเธอนัดกับเหยียนหมิงซุ่นไว้ว่าจะไปเที่ยวที่บ้านของคุณยายเขา และจะต้องรีบกลับไปเก็บกระเป๋าเดินทาง
……………………………………………………………….
บทที่ 679 ทั้งหมดนี่หมิงซุ่นให้มา
เหมยเหมยแยกกับเจ้าหมูอ้วนที่หน้าโรงเรียน ซึ่งเขาต้องนั่งรถเมล์กลับบ้าน ทางมหาลัยของเว่ยชิวเยวี่ยได้ช่วยระดมทุนช่วยเหลืออาจารย์ เธอจึงได้หยิบยืมมาเพื่อซื้อบ้าน เพราะงั้นตอนนี้อู่เซาอาศัยอยู่ในเขตมหาลัยเมืองจิน ซึ่งมีระยะที่ไกลจากโรงเรียนทดลองมากพอสมควร จำต้องต่อรถถึงสองสาย
เหยียนซินหย่าอยู่บ้านเอง และยังมีจ้าวอิงหนานและสยงมู่มู่สองแม่ลูก พวกเขาหยิบแตงโมขึ้นกินอย่างเอร็ดอร่อย
“สะใภ้เล็ก แตงโมนี่ซื้อมาจากไหนเหรอ ? ฉันจะไปซื้อซักหนึ่งคันรถ หวานมากเลย !”
จ้าวอิงหนานกินติดต่อกันถึงสี่ชิ้นไม่มีหยุด หากไม่ใช่เพราะว่าเธออิ่มจนท้องไม่อาจยัดต่อได้ เธอคงจะยัดต่ออีกซักสี่ชิ้น
เหยียนซินหย่ายื่นผ้าขนหนูผืนสะอาดให้ ส่งยิ้มพร้อมกับพูด “แตงโมพวกนี้หมิงซุ่นให้มาน่ะ ลุงของเขาเหมาพื้นที่ราบบนภูเขาปลูกแตงโม ส่งมาให้ตลอดปี ถ้าเธอชอบก็เอากลับบ้านไปกินได้ ในบ้านฉันยังเหลืออีกเยอะ !”
เหมยเหมยได้แอบนำหญ้าวิเศษใส่ในน้ำให้เหยียนซินหย่าและจ้าวอิงหัวกินด้วย เพราะช่วงนี้ท่านทั้งสองร่างกายไม่แข็งแรงนัก เหยียนซินหย่าจึงยิ่งดูอ่อนเยาว์และงดงามมากขึ้น ดูไม่ออกเลยว่าลูกชายคนโตเกือบจะงานแล้ว
“ได้ เดี๋ยวฉันจะเอากลับไปกินที่บ้านสักสองลูก กินหมดแล้วค่อยกลับมาเอาใหม่”
จ้าวอิงหนานไม่ได้นึกเกรงใจแต่อย่างใด สยงมูมู่ที่นั่งอยู่ข้างๆสะกิดเธอไปหลายครั้ง จากนั้นถามออกมา “น้าสะใภ้ เหมยเหมยล่ะครับ ? ทำไมถึงไม่เห็นเธอเลย”
“กลับไปงานเลี้ยงห้องที่โรงเรียน คงใกล้ถึงเวลากลับแล้วล่ะ มู่มู่อย่ากินแตงโมเยอะเกินล่ะ เดี๋ยวเที่ยงนี้แม่ทำปลาซิวทอดกรอบให้ ของโปรดของเธอเลย” สยงมู่มู่ยกยิ้มดีใจ
สยงมู่มู่ดวงตาเป็นประกาย วางแตงโมในมือลง และพูดจาออดอ้อน “ทำไมแม่น้าไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะครับ อีกนิดนี่ผมจะอิ่มจนกินปลาซิวทอดกรอบไม่ได้แล้วนะ”
“ไม่เป็นไร เที่ยงนี้เรากินกันช้าหน่อยก็ได้”
จ้าวอิงหนานฟาดหลังมือใส่ลูกชายตน พร้อมกับตะโกนขึ้น “ไปเข้าห้องน้ำเอาออกให้หมดก็จบแล้วไหม โง่เง่าจริงๆเลย !”
เมื่อพูดจบก็ไม่ได้สนใจอะไรลูกชายอีก เธอลุกเดินเข้าไปยังห้องครัวอย่างอารมณ์ดี แต่กลับเห็นปลาตัวเล็กสีขาวจัดวางไว้เต็มจาน รวมทั้งมีปลาน้ำจืดอีกหลายอย่าง และเธอยังเห็นกบตัวใหญ่อีกหลายตัว ตัวหนึ่งคงหนักราวๆหนึ่งจินกว่าๆ
“โอ้วโหว นี่เป็นของดีเลยนะเนี่ย สะใภ้เล็ก เที่ยงนี้เรากินอันนี้กัน อันนี้อร่อย !”
เมื่อเห็นเจ้ากบรสโอชะ จ้าวอิงหนานจึงรู้สึกน้ำลายสอ
เหยียนซินหย่ามองเจ้ากบอัปลักษณ์นั่นอย่างนึกรังเกียจ พลันส่ายหน้าปฏิเสธ “ฉันเห็นเจ้าพวกนี้ก็รู้สึกขนหัวลุกแล้ว ไม่งั้นเย็นนี้รอพี่เธอกลับมา ให้เขาทำให้เธอกินแล้วกัน ฉันไม่กล้าทำหรอก”
“ไม่เป็นไร ฉันเรียกให้ฉูฉูมาทำให้”
จ้าวอิงหนานตะโกนเรียกคนในห้องรับแขก สั่งการให้สยงมู่มู่เรียกพ่อเขาให้มาปรนนิบัตรรับใช้สีภรรยาและลูกชายโดยด่วน
“สะใภ้เล็ก ของดีๆแบบนี้ได้มาจากไหนล่ะ ? ช่วงนี้ตลาดสดขายของพวกนี้ด้วยรึ ?” จ้าวอิงหนานเกิดสงสัยไม่หาย
“ไม่ได้ซื้อ หมิงซุ่นส่งมาพร้อมกับแตงโม เจ้าเด็กคนนี้สามวันดีสี่วันไข้ส่งของพวกนี้มาไม่หยุด บอกอะไรก็ไม่ฟัง” เหยียนซินทั้งหมดปัญญาและรู้สึกชื่นชม เธอนับวันยิ่งพึงพอใจต่อเหยียนหมิงซุ่นมากขึ้น
จ้าวอิงหนานขยี้ตาด้วยอาการมองไม่ชัด “คนเราตกปลาใหญ่ด้วยเชือกเส้นยาว ก็เหมยเหมยของเรารูปร่างหน้าตาดีขนาดนี้ อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเธอน่ะไม่มีทางได้หยุดพัก คานประตูต้องถูกเบียดเสียดแน่นจนหักแน่”
เหยียนซินหย่าหัวเราะร่า “ฉันชอบหมิงซุ่นนะ เด็กคนนี้รู้ที่ต่ำที่สูงรู้ว่าอะไรควรไม่ควรหายห่วงเลย แต่พี่ชายของเธอนั่นแหละที่ไม่ยอม บอกว่าจะเลี้ยงดูเหมยเหมยจนถึงอายุยี่สิบห้าถึงจะให้แต่งงาน”
“ความคิดของพี่ชายไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดนัก สะใภ้เล็กต้องมั่นคงเข้าไว้ หมิงซุ่นถือว่าเป็นเด็กที่หน้าตาดี ทั้งยังมีความเป็นผู้เป็นคน เขาดูแลเหมยเหมยก็ดี เหมาะสมกันจะตาย !”
จ้าวอิงหนานและเหยียนซินหย่าต่างมีความคิดที่ตรงกัน ชื่นชมเหยียนหมิงซุ่นไม่หยุดปาก
“หนูกลับมาแล้วค่ะ” เหมยเหมยเดินเข้ามาในบ้าน ได้กลิ่นอาหารหอมหวน จนต้องกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก
ฝีมือการทำอาหารของแม่เทียบไม่ได้กับฝีมืออาเขยเลย !
……………………………………………………………….
[1] เรื่องราวเดิมที่เพิ่งสำเร็จไปได้ไม่นาน กลับต้องพบพานและเผชิญกับปัญหาใหม่
[2] หรือเรียกหวงฮวายาโถ่ว มีอายุราว16-26ปี ส่วนใหญ่ในจีนพื้นบ้านใช้เป็นคำเรียกหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน