ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 718 ฉันไม่ใช่คนหัวอ่อน + ตอนที่ 719 ความสัมพันธ์พี่น้อง
ตอนที่ 718 ฉันไม่ใช่คนหัวอ่อน
กระทั่งเหยียนหมิงซุ่นเข้าห้องไปได้ครู่ใหญ่ เหยียนโฮ่วเต๋อกับถานซูฟางจึงค่อยๆ ได้สติกลับมา ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาคือความโกรธ ความโกรธที่ถูกเปิดโปงความจริง
ถานซูฟางกรีดเสียงร้องออกมา “เหล่าเหยียน คุณได้ยินที่เด็กนั่นพูดมั้ย? มันไม่มีสัมมาคารวะกับฉันก็ช่างแต่ไม่มีสัมมาคารวะกับคุณด้วย จะเหิมเกริมเกินไปแล้ว!”
“เพี๊ยะ”
คุณย่าหยางเดินมาเงื้อฝ่ามือแล้วตบหน้าเธอด้วยแรงทั้งหมดที่มี พูดเสียงลอดไรฟัน “ตอนนั้นฉันไม่น่าให้ตัวกาลกินีอย่างเธอเข้าประตูบ้านมาเลย!”
ถานซูฟางตะคอกกลับด้วยความโกรธ “แม่มีสิทธิ์อะไรมาตบฉัน? คนชีวิตสั้นอย่างโม่เหวินเซียงตายแล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน เจ้าเด็กนั่นไม่สอบเข้ามหาวิทยาลัยเกี่ยวอะไรกับฉัน ก็เพราะพวกคุณแม่สอนไม่ดีไง ถึงสอนให้หลานเป็นคนไม่เอาไหนแบบนี้ ยังมีหน้ามาบอกว่าฉันเป็นตัวกาลกินีอีก!”
“หุบปาก!”
เหยียนโฮ่วเต๋อตวาดด้วยเสียงดุดัน แต่ถานซูฟางไม่ฟังเข้าหูเลยสักนิด แค่นเสียงพูดต่อ “หรือว่าฉันพูดผิด? เจ้าเด็กนั่นเป็นแบบนี้ก็เพราะคุณพ่อคุณแม่ของคุณนั่นแหละ เรื่องของบ้านคุณอย่าคิดโยนความผิดมาให้ฉัน ฉันไม่ใช่คนหัวอ่อนอย่างโม่เหวินเซียงที่จะยอมถูกพวกคุณเหยียบย่ำง่ายๆ !”
เหยียนหมิงซุ่นที่กำลังเก็บสัมภาระในห้องได้ยินน้ำเสียงเหิมเกริมของถานซูฟางจากห้องนั่งเล่นก็หน้าเปลี่ยนสี วางสัมภาระลงพุ่งตัวออกไป ไฟโทสะที่เพิ่งระงับลงได้เริ่มเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
เขาพุ่งมาหยุดอยู่เบื้องหน้าถานซูฟางที่ยังไม่หยุดโวยวายเสียงดัง คนข้างๆ ไม่ทันเห็นท่วงท่าเขาดีนักบนหน้าถานซูฟางก็มีรอยฝ่ามือขึ้นชัด ก่อนจะบวมปูดตามมา
“แม่ผมเป็นคนหัวอ่อน แต่ผมไม่ใช่ รอบนี้ตบแทนแม่ผม!”
น้ำเสียงเหยียนหมิงซุ่นเย็นยะเยือก ก้มมองถานซูฟางที่ยังไม่ทันตั้งสติ ตวัดฝ่ามือเล็งแก้มข้างขวาของถานซูฟางไว้อย่างแม่นยำ
“รอบนี้ตบแทนตัวผมในวัยเด็ก!”
เหยียนหมิงซุ่นชักมือกลับแล้วมองใบหน้าบวมเป่งของถานซูฟางอย่างพึงพอใจ เหมยเหมยพูดถูก มารยาท สัมมาคารวะบ้าบอ ลำดับชั้นเด็กผู้ใหญ่อะไรกัน ทิ้งมันไปให้หมด!
โลกนี้มีเพียงความแกร่ง ความอ่อนแอและความดีความชั่วเท่านั้น!
คู่ชายโฉดหญิงชั่วอย่างเหยียนโฮ่วเต๋อกับถานซูฟางไม่สมควรเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ แล้วมีสิทธิ์อะไรจะมาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของเขา?
เขาทนมาสิบแปดปีแล้ว วันนี้ได้ปลดปล่อยมันออกไปสักที!
“จากนี้ไปอย่าให้ผมได้ยินคุณเรียกชื่อแม่ของผมอีก คุณไม่คู่ควร!”
เหยียนหมิงซุ่นมองเธอกับเหยียนโฮ่วเต๋อด้วยสายตาหยามเหยียดดูถูกแวบหนึ่งถึงหันไปพยุงคุณย่าหยางที่ทรงตัวไม่ค่อยอยู่ ก่อนจะเอายาลดความดันให้คุณปู่เหยียนที่สีหน้าบูดเบี้ยวทาน วันนี้คนแก่ทั้งสองได้รับความสะเทือนใจมากที่สุด
“เวรกรรม เวรกรรมแท้ๆ!”
คุณยายหยางพึมพำอย่างเจ็บปวด สิบกว่าปีที่ผ่านมาเธอพยายามปกปิดเพื่อความสงบสุขแต่สุดท้ายก็ล้มเหลว ดูจากความเกลียดชังที่ฝังอยู่ในใจของเหยียนหมิงซุ่น เขาจะอยู่ร่วมกับเหยียนโฮ่วเต๋ออย่างสงบสุขได้อีกหรือ?
กลัวก็แต่จะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในอนาคตอีกเป็นแน่!
ถานซูฟางกับเหยียนโฮ่วเต๋อยังคงตกใจไม่หายกับท่าทีของเหยียนหมิงซุ่น อีกทั้งคุณย่าหยางออกปากไล่ พวกเขายังไม่ทันทานข้าวเย็นก็รีบหนีกลับไปเสียก่อน
คุณยายหยางไม่มีกะจิตกะใจทำมื้อเย็นอีก เหยียนหมิงซุ่นจึงไปต้มบะหมี่ในห้องครัวแล้วเอามาให้คนแก่ทั้งสอง คุณย่าหยางทานลงเสียที่ไหนกัน เธอมองหลานชายคนโตที่ดูดีมีความสามารถอย่างละอายใจ เอ่ยเสียงพึมพำว่า “หมิงซุ่น โทษคุณย่ามั้ย?”
เหยียนหมิงซุ่นหลุบตามองต่ำ พักใหญ่ถึงตอบ “ผมซาบซึ้งในบุญคุณที่คุณปู่คุณย่าเลี้ยงดูผมมาครับ”
เขาไม่อยากโกหกคนแก่ทั้งสอง เรื่องของคุณแม่เขาบอกได้ว่าคนแก่ทั้งสองเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เขาไม่อาจมองข้ามความผิดนี้ไปได้ แต่ขณะเดียวกันเขาเองก็ต้องขอบคุณพวกท่าน และอนาคตก็จะกตัญญูต่อพวกท่านเช่นกัน!
คุณปู่เหยียนถอนหายใจยาว ถามออกไปว่า “หลานไม่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วอนาคตเตรียมจะทำอะไร?”
“ไปเป็นทหาร ผมสมัครไปแล้วครับ!” เหยียนหมิงซุ่นไม่ปิดบังความจริงอีกต่อไป
……………………..
ตอนที่ 719 ความสัมพันธ์พี่น้อง
คุณปู่เหยียนถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ “เป็นทหารมันลำบากนะ หมิงซุ่นหลานต้องคิดให้ดี อย่าเสียใจทีหลังล่ะ!”
“ไม่ครับ ผมไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจของผมเอง” เหยียนหมิงซุ่นพูดด้วยสีหน้าหนักแน่น
การเป็นทหารเป็นทางลัดที่ชาวบ้านธรรมดาไร้ภูมิหลังครอบครัวอย่างเขาจะไต่เต้าสู่ตำแหน่งใหญ่โตได้ เขาต้องแก้แค้นให้แม่ของเขา และต้องขอเจ้าหญิงน้อยเหมยเหมยแต่งงานให้ได้ ดังนั้นเขาต้องปีนป่ายให้สูง ปีนสู่ตำแหน่งสูงสุด อาชีพทหารจะช่วยให้เขาทำตามแผนได้
คนแก่บ้านเหยียนไม่ได้เกลี้ยกล่อมอะไรอีก ทานบะหมี่เพียงไม่กี่คำก็กลับไปพักผ่อนในห้อง เดินทรงตัวได้ไม่มั่นคงเท่าไร แผ่นหลังที่มองแล้วดูแก่ลงไม่น้อย
เหยียนหมิงต๋าปิดปากเงียบตลอดตั้งแต่เมื่อกี้ แม้แต่ตอนเหยียนหมิงซุ่นตบถานซูฟางเขาก็ไม่กระโดดออกมาห้ามปราม ถึงเขาจะสงสารแม่ของเขาแต่เขากลับไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
เพราะแม่ของเขาผิดต่อพี่ใหญ่ของเขาจริงๆ!
“พี่ จากนี้ไปพี่จะไม่สนใจผมอีกแล้วใช่มั้ย?”
เหยียนหมิงต๋าเองก็หมดอารมณ์ทานบะหมี่เพราะรู้สึกจืดชืดไร้รสชาติ เขามองเหยียนหมิงซุ่นที่กำลังทานอย่างเป็นระเบียบ ก็อดถามออกไปไม่ได้ สีหน้าหวั่นเกรงและประหม่าจนเผลอกำหมัดแน่น
เหยียนหมิงซุ่นปรายตามองเขาแวบหนึ่งแล้วตอบเสียงเรียบ “ถ้าแกไม่ทำตัวโง่ๆ ฉันก็ยังสนใจอยู่”
เหยียนหมิงต๋ารีบตอบด้วยความจริงใจไปทันทีว่า “พี่ ผมเชื่อฟังพี่แน่ๆ พี่อย่าทิ้งผมนะ”
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะเสียงเบาพลางถาม “ฉันกับแม่แกเป็นศัตรูกันขนาดนี้ แน่ใจนะว่าแกจะเชื่อฟังฉัน?”
เหยียนหมิงต๋าทำหน้าบูดชั่วขณะ ความรู้สึกในใจเหมือนได้ซดน้ำอึ่งโน้ย ขมฝาดถึงปลายลิ้น
“พี่ เราเป็นพี่น้องแท้ๆ กันนะ แม่ผมเธอ…เธอจะเป็นยังไงผมไม่สนใจ ผมสนใจได้แค่เรื่องตัวเอง พี่ ผมไม่อยากผิดใจกับพี่ เรายังเป็นเหมือนเดิม ได้มั้ย?” เหยียนหมิงต๋าพูดเสียงสะอื้น
เหยียนหมิงซุ่นมองน้องชายที่ตาแดงก่ำอยู่พักใหญ่ถึงตอบกลับไป “ได้!”
เหยียนหมิงต๋าหัวเราะแทนร้องไห้ทันที ซูดบะหมี่เข้าปากคำใหญ่ เขาเป็นคนคิดอะไรง่ายๆ ไม่ซับซ้อนมาก แค่แก้ปัญญาตรงหน้าได้ก็พอ ส่วนอนาคตจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นไว้ค่อยว่ากันทีหลัง!
“แกยังติดต่อกับอู่เยวี่ยหรือเปล่า?” เหยียนหมิงซุ่นถามขึ้นกะทันหัน
เหยียนหมิงต๋ามือชะงักกึก กำลังจะตอบว่า ‘ไม่มี’ เหยียนหมิงซุ่นพูดแทรกขึ้นอีกว่า “อย่าโกหกฉัน ฉันเกลียดคนโกหกที่สุด”
“เยวี่ยเยวี่ยไม่สนใจผมแล้ว พี่ ผมไม่ได้โกหกพี่นะ”
เหยียนหมิงต๋าตอบกลับทันควันว่าเขาไม่ได้โกหกจริงๆ ช่วงนี้ไม่รู้ว่าเยวี่ยเยวี่ยเป็นอะไรไปถึงตีตัวออกห่างจากเขา หลายครั้งที่เจอกันในโรงเรียนก็แสร้งเป็นไม่เห็นและหลีกเลี่ยงที่จะเจอเขา เขาเองที่เป็นฝ่ายรุกเข้าไปชวนคุยก่อน ซึ่งอู่เยวี่ยก็ทำสีหน้าเรียบนิ่ง เย็นชาเมินเฉย ทำเอาเขารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
เหยียนหมิงซุ่นแค่นเสียงในลำคอก่อนจะพูดเตือนว่า “รู้มั้ยว่าทำไมอู่เยวี่ยไม่สนใจแก?”
เหยียนหมิงต๋าส่ายศีรษะอย่างงงงวย มองพี่ใหญ่ด้วยความหวัง หวังว่าจะช่วยไขความข้องใจแก่เขาได้
“เพราะเธอมีเป้าหมายที่ดีกว่าเดิม รวยกว่าแก ดูดีกว่าแก ทำงานเก่งกว่าแก แล้วจะสนใจแกอีกทำไม?”
เหยียนหมิงซุ่นพูดแทงใจน้องชายตัวเองอย่างโหดเหี้ยม ไม่ดูสีหน้าเศร้าสร้อยเหมือนเสียพ่อเสียแม่ของเหยียนหมิงต๋าพลางทานบะหมี่ต่ออย่างอารมณ์ดี
“พี่ ใครกัน? พี่รีบบอกผมสิว่าเป็นใครกันแน่?” เหยียนหมิงต๋าถามด้วยความร้อนใจ
“แกไม่มีตาหรือไง? ไม่หัดไปดูเองบ้าง? มีสมองหน่อย อย่าเหมือนเมื่อก่อนที่ทำตัวโง่เง่า”
เหยียนหมิงซุ่นตอกกลับอย่างไม่ปรานี น้องชายคนนี้ของเขาไม่รู้เหมือนใคร ไม่ได้สืบทอดความเจ้าเล่ห์ของพ่อแม่มาสักนิด โง่เขลายิ่งกว่าหมูตัวหนึ่ง มิน่าถึงถูกอู่เยวี่ยปั่นจนหัวหมุน
เหยียนหมิงซุ่นทานบะหมี่เสร็จก็ไม่สนใจน้องชายจอมซื่อบื้ออีกต่อไป แล้วกลับไปเก็บสัมภาระในห้องต่อ พรุ่งนี้เขาต้องไปเมืองหลวง ไปฉลองวันเกิดให้เจ้าหญิงตัวน้อยของเขา
………………………..