ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 898 ซื้อบ้าน + ตอนที่ 899 ใจตรงกัน
ตอนที่ 898 ซื้อบ้าน
แม้ว่าในตอนนี้คุณย่าจะทำตัวดีขึ้นมาบ้าง แต่เหมยเหมยก็ยังไม่ได้กลับมาพักที่บ้านตระกูลจ้าว เธอไม่อยากอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกับคุณย่า พอเจอหน้าก็ต้องทักทาย ทั้งยังต้องทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตน เธออึดอัดเป็นไหนๆ!
และก็เพราะคุณปู่โทรหาเกลี้ยกล่อมหลายต่อหลายสาย แต่ก็ต้องถูกเหมยเหมยปฏิเสธไป สุดท้ายต้องให้จ้าวอิงหัวเป็นคนออกหน้าเอง ช่วยพูดเกลี้ยกล่อมคุณปู่ ว่าไม่ต้องให้เธอกลับไปพักที่เขตมหา’ลัยแล้ว
“พวกเธอยังจะเรียนเต้นบัลเลย์อีกไหม?ครูของพวกเธอโทรมาถามตั้งหลายสายแล้ว”
สงมู่มู่วางสายไปอย่างไม่สบอารมณ์ หลายวันมานี้เขาคอยช่วยกันท่าไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง ครูที่สอนบัลเล่ย์โทรมาจนน่ารำคาญ สอบถามว่าเหตุใดเหมยเหมยและเซียวเซ่อไม่มาเรียน ทำให้เหมยเหมยและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกละอายใจ
รู้สึกผิดต่อครูที่ตั้งใจดูแลจากใจจริง!
“นายโง่หรือไง แค่บอกว่าฉันกับเหมยเหมยคนหนึ่งแขนหัก อีกคนขาหัก แค่นั้นก็จบแล้วป่ะ!”
เซียวเซ่อเหลือบมองสยงมู่มู่ราวกับคนซื่อบื้อ จากนั้นใช้ช้อนตักไอศกรีมก้อนใหญ่ยัดเข้าปาก จะได้กินรับรสชาติเต็มคำ
สยงมู่มู่โมโหไม่น้อย เขาเองก็หยิบไอศกรีมออกมาจากตู้เย็นหนึ่งถ้วยใหญ่ และตักกินคำโต ๆ ติดต่อกันหลายคำ จากนั้นพูดขึ้นอย่างโกรธแค้น “ต่อไปนี้ถ้าฉันยังรับโทรศัพท์ให้พวกเธออีก ฉันก็จะไม่ใช้แซ่สยง…”
“ไม่ใช้แซ่สยงแล้วใช้แซ่อะไร? หรือไม่งั้นใช้แซ่จู…”
เซียวเซ่อต่อปากต่อคำ โดยไม่ผ่านการกลั่นกรองจากสมอง ยิ้มอย่างได้ใจที่รู้ว่าตัวเองพูดเรื่องอะไรไป ซึ่งเธอพึงพอใจเป็นอย่างมาก “จูมู่มู่ก็เพราะไปอีกแบบนะ ฮ่าๆๆ…”
สยงมู่มู่กัดฟัดแน่นและจ้องมองเซียวเซ่อที่มีท่าทีสนุกขำขัน เขาจึงกัดช้อนจนฟันกระทบดังกึกๆ คิดเสียว่าเหมือนได้กัดเซียวเซ่อ
เหมยเหมยที่เห็นทั้งคู่กัดกันไปมาชินบ้างไม่ชินบ้าง เมื่อก่อนเธอยังคงพอช่วยเกลี้ยกล่อมบ้าง แต่ตอนนี้เธอคงต้องทำเป็นหูทวนลม
ทั้งสองศัตรูคู่รัก แค่เจอหน้าก็หยิกหยอก ทั้งรักทั้งแค้น อารมณ์เร่าร้อนดุเดือด…
เหมยเหมยนั่งพิงโซฟาอย่างเบื่อหน่าย พอจัดการเรื่องของหวงอวี้เหลียนสองแม่ลูกไปแล้ว ไม่มีอะไรให้ทำเลย!
เหยียนหมิงซุ่นคงอยู่ในสนามฝึก ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่จะออกมาแล้วนัดเจอกันได้ เหมยเหมยใบหน้าแดงระเรื่อ เธอคิดว่าตัวเองเป็นดั่งสาววัยแรกแย้มที่เพ้อฝันเรื่องความรัก!
ต้องหาอะไรให้ตัวเองทำแล้วดีกว่า!
เหมยเหมยกรอกตาไปมา คิดแผนการอยู่ในหัว เบื่อหน่ายแบบนี้ต้องทำอะไร?
ใช้เงินไง!
เหมยเหมยคิดไปคิดมาก็ต่อสายไปยังโรงน้ำชาหวังปา เหยียนหมิงซุ่นบอกว่าหากเขาไม่อยู่ มีเรื่องอะไรให้ติดต่อกับพี่เฉิง ช่วงกลางวันส่วนมากพี่เฉิงจะอยู่ที่โรงน้ำชา หากไปตามหาที่นั่นก็คงจะเจอ
“ลุงเฉิน หนูอยากซื้อเรือนสี่ประสาน[1] เล็กใหญ่ไม่ว่ากัน จำนวนไม่เกี่ยงค่ะ”
เหมยเหมยพูดตรงๆอย่างไม่อ้อมค้อม แม้ว่าพี่เฉิงจะรู้สึกตกใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก บอกเพียงแค่ว่าถ้าได้เรื่องแล้วจะแจ้งไป
เซียวเซ่อถามขึ้นอย่างแปลกใจ “เธอจะซื้อบ้านไปทำไม? บ้านของฉันต่อให้เธออยู่ไปทั้งชีวิตก็ไม่มีปัญหาอะไร”
เหมยเหมยกรอกตาใส่เธอ “อีกหน่อยถ้าฉันแต่งงานคงจะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะ ถึงฉันจะพอใจแต่แฟนฉันคงไม่พอใจหรอก อีกอย่างที่ฉันซื้อบ้านก็เพื่อลงทุน เซ่อเซ่อฉันจะบอกอะไรเธอให้นะ ถ้าเธอมีเงินก็ซื้อบ้านไว้ ฉันคิดคำนวณดูแล้ว บ้านเป็นอสังหาริมทรัพท์ที่ได้ผลตอบแทนมากสุดในช่วงเวลายี่สิบปีนี้ ถ้าเธอเชื่อฉันรับรองไม่มีผิดหวัง”
สยงมู่มู่หัวเราะเยาะไปพลาง “ล้มเลิกเถอะ แค่มีตำแหน่งก็มีบ้านได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปซื้อบ้านหรอก จ้าวเหมยฉันว่าเธอเงินเยอะเลยคันไม้คันมืออยากใช้ ไปซื้อของอร่อยๆ กินจะไม่ดีกว่าเหรอ ไม่มีอะไรสู้กินให้อิ่มท้องได้หรอก”
เซียวเซ่อเองก็คิดแบบนั้นจึงยักไหล่แบบขอไปที “บ้านของฉันมีมากพอแล้ว ซื้อไปอีกทำไมเยอะแยะ ดื่มกินก็ไม่ได้”
“แล้วแต่พวกเธอละกัน อีกหน่อยถ้าฉันกินเนื้อ พวกเธออย่ามาอิจฉาก็พอ!” เหมยเหมยพูดอย่างไม่สบอารมณ์
เซียวเซ่อและสยงมู่มู่จ้องเธอพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย และพูดขึ้นกันอย่างพร้อมเพรียง “เธอกินเนื้อแล้วกล้าที่จะไม่แบ่งฉันกินเหรอ? อยากโดนดีหรือไง!”
……………………………………..
[1] หรือเรียก ซื่อเหอเยวี่ยน คือบ้านทรงอาศัยทรงโบราณของจีน มีลักษณะล้อมรอบด้วยกำแพงทั้งสี่ด้าน โดยมีลานบ้านอยู่ตรงกลาง
ตอนที่ 899 ใจตรงกัน
เหมยเหมยแคะหูอยู่ เจ้าเพื่อนยาก คลื่นเสียงที่กระทบใส่ ทำเอาขี้หูที่ถูกสั่งสมมานานหลายปีที่เธอเองก็พยายามแคะมาตลอดเต้นสะเทือนโผล่ออกมา
รู้สึกโล่งเชียว…
“ทำไม…อีกหน่อยจะร่วมมือมาแย่งฉันกินเหรอ พวกเธออยากเป็นดั่งจอมโจรแมนดารินหรือไง?” เหมยเหมยพูดขึ้นด้วยท่าทีเย้าแหย่
เซียวเซ่อและสยงมู่มู่ราวกับถูกแมงป่องต่อยก็มิปาน กระโดดเต้นพล่าน ต่างคนต่างหลบซุกเข้ามุมโซฟา พร้อมทั้งสบถคำว่า ‘ชิ’ ออกมาพร้อมกัน แสดงออกถึงการกระทำของอีกฝ่ายนั้นไม่ควรค่า
“อย่าเอาฉัน(เขา)มารวมกัน ภาพลักษณ์ของเจ้าหญิง(เจ้าชาย)คนนี้หายไปหมด!”
ทั้งคู่ต่างพูดประโยคเดียวกันขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง พูดง่ายๆ คือใจตรงกัน ขนาดนัดซ้อมกันยังไม่พร้อมเพรียงถึงเพียงนี้เลย
เหมยเหมยกลั้นขำไว้ไม่อยู่ นับว่าเป็นคู่รักคู่กัดกันจริงๆ!
“นี่แซ่เซียว(แซ่สยง) เธออย่าพูดเลียนแบบฉัน…”
ศัตรูคู่รักทั้งสองทำหน้าบูดบึ้ง จ้องอีกฝ่ายตาเขม็งด้วยความโมโห เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ใจตรงกันนี้…ช่างน่าขำขันนัก
“เธอป่วยหรือไง!”
ทั้งสองคนต่างพูดประโยคเดียวกันออกมาอย่างพร้อมเพรียง เหมยเหมยและเจ้าเด็กอ้วนกลั้นขำไม่ไหวอีกต่อไป หัวเราะร่าพลางใช้ฝ่ามือกุมท้องเอาไว้
เมื่อเห็นว่าทั้งคู่กำลังจะต่อยกัน เหมยเหมยจึงรีบพูดขึ้นว่า “เซ่อเซ่อ เราไปเดินชอปปิ้งกันเถอะ เธอบอกว่าจะซื้อของขวัญวันเกิดให้ย่าของเธอไม่ใช่รึ?”
อีกสองวันจะเป็นวันเกิดภรรยาของอาจารย์เซียว ที่คบรอบสี่สิบปีบริบูรณ์ น้อยกว่าอาจารย์เซียวถึงสองรอบอายุ ซึ่งหล่อนมีอายุพอๆ กับพ่อของเซียวเซ่อ
ภรรยาคนนี้นับเป็นภรรยาคนที่สี่ของอาจารย์เซียว พูดตามความจริงภรรยาคนนี้เคยเป็นนักเรียนของเขามาก่อน จากนั้นเสนอตัวเป็นแบบวาดให้กับอาจารย์เซียว วาดมาวาดไปเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็ขลุกไปอยู่ในผ้าห่มทั้งคู่
ในตอนนั้นอาจารย์เซียวยังไม่ได้หย่าขาดกับภรรยาคนที่สามเลย!
อีกอย่างคือภรรยาคนที่สามก็ไม่ได้ต่อกรได้ด้วยง่ายๆ เล่ากันว่าตอนนั้นเธออาละวาดจนวุ่นวายไปทั่วเมือง และแน่นอนว่าสุดท้ายแล้วคนที่ได้รับชัยชนะไปก็คืออาจารย์เซียว เขาได้ยกภาพวาดกองหนึ่งให้ภรรยาคนที่สาม จากนั้นจึงแต่งงานกับภรรยาคนปัจจุบันอย่างเบิกบานใจ และอยู่กินกันมาจนถึงตอนนี้
ที่เรียกว่าปัญญาชนคนเขียนวรรณกรรม อาจารย์นับว่าเป็นปัญญาชนที่ได้ยกเอาความ ‘วุ่นวาย’ ออกไปจากตัวด้วยความสำราญใจอย่างแท้จริง!
ความสัมพันธ์ระหว่างเซียวเซ่อและพ่อของเธอนั้นดูตึงเครียด แต่กับอาจารย์เซียวแล้วนับว่าไม่เลว ตั้งแต่เด็กเธอก็ตามติดอยู่ข้างๆ อาจารย์เซียวเพื่อเรียนวาดภาพ อาจารย์เองก็ให้ความสำคัญกับหลานสาวคนนี้อยู่ไม่น้อย เขาดีกับเธอมากกว่าลูกแท้ๆ เสียอีก
ขออธิบายตรงนี้เล็กน้อย ลูกชายของอาจารย์นั้นมีหลายคน เซียวจิ่งหมิงเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนนั้น คนเล็กสุดนั้นมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเซียวเซ่อ และก็เป็นคนคนเดียวกับที่ภรรยาคนนั้นคลอด เป็นลูกหลงที่เขามีตอนอายุมาก
ภรรยาคนนี้ยังมีลูกสาวอีกหนึ่งคน อายุมากกว่าเซียวเซ่อสี่ปี อายุรุ่นราวคราวเดียวกับโอหยางซานซาน หากตามที่เซียวเซ่อพูดล่ะก็ นับว่าสองคนนี้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นพอตัว หากพูดอย่างฝืนทนก็นับว่าสนิทสนมกันพอควร
เซียวเซ่อพูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “ไม่ใช่งานวันเกิดของคุณปู่สักหน่อย ทำไมฉันจะต้องไปเสียเวลาเลือกของขวัญให้ด้วย? เดี๋ยวฉันเดินออกไปที่สวนดอกไม้ แล้วเลือกเก็บมาสักไม่กี่ดอกมัดรวมกันก็พอแล้ว”
เหมยเหมยบุ้ยปาก ดอกไม้ในสวนส่วนใหญ่ถูกกษัตริย์ทำลายเสียหมด จะเหลือดอกไม้ดีๆ ให้หรอ?
“เซ่อเซ่อควรจะเรียนรู้วิธีการแสดงออกต่อหน้าบ้าง ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นถึงภรรยาของปู่เธอ ไม่เห็นแก่หน้าเขาก็เห็นแก่คุณปู่เถอะ เธอคงไม่คิดจะทำลายหน้าตาของปู่เธอไปตลอดใช่ไหมล่ะ?”
เหมยเหมยพูดชักจูงเธอ ผู้หญิงอย่างเซียวเซ่อเป็นคนโผงผางเกินไปเมื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนในตระกูลเซียวก็มักทำตัวเหมือนเป็นดั่งระเบิด ทำเรื่องที่ไม่น่ายินดีเอามาก ๆ
จริงๆ แล้วที่เห็นเซียวเซ่อเป็นแบบนี้ เหมือนว่าเธอนั้นจะได้รับชัยชนะ แต่ความเป็นจริงนั้นเธอเป็นผู้พ่ายแพ้ ชื่อเสียงของเซียวเซ่อไม่ดีนัก แปดถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต่างมาปากญาติพี่น้องของเธอที่เป็นคนปล่อยข่าวทั้งนั้น
เซียวเซ่อกลับไม่สนใจเลยสักนิด หากว่าเธอสนใจต่อคำพูดถกเถียงของคนนอกจริง เธอจะใช้ชีวิตได้สง่างามแบบนี้หรือ?
สุดท้ายแล้วการไปเดินชอปปิงก็ไม่สำเร็จ เซียวเซ่อเองก็ไม่ได้ไปเก็บดอกไม้จากสวนจริงๆ เธอกรอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด จากนั้นลงมือวาดภาพอันงดงามด้วยตัวเอง เหมยเหมยที่เห็นก็ชมไม่หยุดปาก แต่ท่าทีของเจ้าเด็กอ้วนและสยงมู่มู่ดูแปลกไปบ้าง
……………………………………..