ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น - บทที่ 956 ไม่เชื่อใจตระกูลจ้าว + ตอนที่ 957 มีคนคอยหนุนหลัง
ตอนที่ 956 ไม่เชื่อใจตระกูลจ้าว
ครั้งนี้กลับบ้านช้าไปหน่อยจนฟ้ามืดสลัว จ้าวเสวียหลินเป็นกังวลใจอย่างมากแต่เขาก็ไม่สามารถดูให้แน่ชัดว่าคนบนรถคือใครกันแน่ หัวใจเหมือนมีมดนับหมื่นกำลังไต่อยู่
“เหมยเหมย เธอบอกความจริงพี่มา ว่าคนคนนั้นคือใครกันแน่? วันๆ เธอออกไปทำอะไรบ้าง?” จ้าวเสวียหลินทำหน้าจริงจังมาก
เหมยเหมยเองก็รู้สึกผิดอยู่บ้างเพราะเธอรู้ดีถึงความเป็นห่วงจากจ้าวเสวียหลินมาตลอดหลายวันนี้ แต่นี่ยังไม่ถึงเวลา เธอไม่สามารถบอกได้จริงๆ
“พี่สบายใจเถอะ หนูไม่ทำเรื่องที่ไม่ดีหรอก แค่ออกไปกินข้าวเอง หนูยังบอกสถานะอีกฝ่ายไม่ได้ หลังจากนี้พี่ก็อย่าถามอีกเลย ไว้วางใจได้ไม่มีอะไรหรอก” เหมยเหมยพูดปลอบ
“ฉันจะวางใจได้ยังไง เธอแอบกระซิบบอกพี่ก็ได้ พี่รับรองว่าจะไม่บอกใคร” จ้าวเสวียหลินเริ่มร้อนใจ
เหมยเหมยส่ายศีรษะอย่างหนักแน่น “หนูเชื่อพี่นะ แต่หนูไม่เชื่อตระกูลจ้าว ฉะนั้นหนูจะไม่บอกอะไรให้พี่เลย ยังไงหนูก็ไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีแล้วกัน”
พูดจบเธอก็เดินกลับห้องไปทันทีเพราะทะเลาะกับเฮ่อเหลียนชิงมาอารมณ์ยังฉุนอยู่ ประจำเดือนมาอย่างกับน้ำรั่ว เธอต้องรีบกลับไปเปลี่ยน
จ้าวเสวียหลินตะลึงค้างเพราะคำของน้องสาว เขาไม่คิดว่าเหมยเหมยจะพูดประโยคเหลือเชื่ออย่างตระกูลจ้าวออกมาได้
มุมมองเขานั้นตระกูลจ้าวคือรากฐานของเขา เป็นเสาหลักของเขา จะไม่เชื่อใจได้อย่างไร?
เหมยเหมยน่าจะเสียใจเพราะเคยถูกคุณย่าทำร้ายจิตใจมาก่อนถึงพูดด้วยความโกรธสินะ ต้องเป็นอย่างนี้แน่เลย รอผ่านไปสักระยะให้เหมยเหมยหายโกรธเธอก็คงจะคิดได้เอง
จ้าวเสวียหลินคอยปลอบตัวเอง แต่เขากลับไม่รู้เลยว่าเหมยเหมยจะไม่กลับไปเป็นอย่างเดิมที่ให้ความเชื่อใจกับตระกูลจ้าวอย่างหมดใจได้อีก
อีกทั้งเหมยเหมยตัดสินใจหยุดให้ยาวิเศษแก่คุณย่าแล้ว ไว้ให้เพียงคุณปู่คนเดียว
อย่าหาว่าเธอใจร้าย ต้องโทษคุณย่าสติเลอะเลือนนั่นเอง เธอไม่ใช่คนที่จะให้ความช่วยเหลือคนที่ไม่ดีกับเธอ ต่อให้คนนั้นคือคนในครอบครัวเธอก็ตาม!
ครอบครัวที่ร่วมมือกับคนนอกเพื่อรังแกตัวเธอเอง เธอไม่อยากได้เลยสักนิด แล้วจะช่วยให้อีกฝ่ายมีชีวิตที่ยืนยาวไปอีกทำไม?
จะหล่อเลี้ยงให้มีปีศาจพันปีเพื่อมาทับถมตัวเองงั้นหรือ?
จ้าวเสวียหลินเองก็ไม่ใช่คนจิตใจคับแคบ เห็นเหมยเหมยยอมพูดออกมาตามตรงเขาก็ค่อยสบายใจหน่อย เขาคิดว่าตัวเองควรเชื่อน้องสาว แต่เขาก็จะหยุดเพียงแค่นี้ไม่ได้ ต้องรีบหาทางคิดค้นสีชาดโส่วกงซาออกมาให้ได้
หลายวันนี้เขากับสยงมู่มู่และเจ้าอ้วนน้อยสามคนค้นตำรามากมายพบว่าสีชาดนั้นเคยมีขึ้นในอดีตกาลมาก่อน อีกทั้งในตำรายังบันทึกวิธีการทำไว้ด้วย แต่เป็นวิธีทำที่ไม่สมบูรณ์เท่าไร รู้เพียงว่าองค์ประกอบหลักคือเลือดของจิ้งจก
เพราะสมัยโบราณนั้นจิ้งจกถูกขนานนามว่าโส่วกง (ผู้คุมวัง) จึงให้ผู้เลี้ยงจิ้งจกป้อนแร่ซินนาบาร์ หลังจากป้อนแร่ซินนาบาร์ ในปริมาณหกกิโลกรัมครึ่งหมดแล้ว ตัวจิ้งจกจะกลายเป็นสีแดงคล้ายสีชาด ขณะนั้นเองค่อยเอาจิ้งจกที่ตัวเปลี่ยนสีแล้วใส่เข้าไปตำโดยใช้สากหยกบดให้เหลวละเอียด เมื่อผ่านกระบวนการอีกมากมาย เลือดสีชาดที่ได้มาก็เป็นวัตถุดิบดั้งเดิมที่เรียกว่าโส่วกงซา
สมัยโบราณนั้นตระกูลชั้นสูงหรือราชวงศ์จะปาดสีชาดโส่วกงซาให้คู่หมั้นตัวเองเพื่อพิสูจน์พรหมจรรย์ของหญิงสาว
จ้าวเสวียหลินกับสยงมู่มู่จับจิ้งจกหลายตัวมาป้อนผงสีชาด แต่ไม่รอทานหมดหนึ่งกิโลกรัมครึ่งดีจิ้งจกก็อิ่มจนท้องแตกตาย เหลือเพียงตัวเดียวที่ยังหายใจโรยริน เกรงว่าคงไม่รอดเช่นกัน ทำเอาพวกเขาเครียดเสียเหลือเกิน
วันรุ่งขึ้นเหยียนหมิงซุ่นมารับเหมยเหมยไปทานข้าว เขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานแต่อย่างใด วันก่อนเขากับครูฝึกออกไปปฏิบัติภารกิจเพิ่งกลับมาวันนี้ เหยียนหมิงซุ่นยิ้มหน้าบานเมื่อเห็นคนที่ตัวเองเฝ้าคิดถึงหามาตลอด
แต่ว่า–
เมื่อเหมยเหมยเจอเหยียนหมิงซุ่นก็ตาแดงก่ำและทำเสียงกระเง้ากระงอดอย่างน้อยใจเหมือนแมวตัวน้อย ทำเอาเหยียนหมิงซุ่นใจร้อนแทบแย่
………………………
ตอนที่ 957 มีคนคอยหนุนหลัง
“เป็นอะไรไป? ใครรังแกเธอ?”
เหยียนหมิงซุ่นจอดรถไว้ในที่ลับตาคนพลางโอบเหมยเหมยมาถามด้วยความเป็นห่วงจับใจ
เหมยเหมยปาดน้ำตาแล้วเล่าเรื่องเมื่อวานให้ฟังด้วยความน้อยอกน้อยใจ เหยียนหมิงซุ่นอดหัวเราะไม่ได้ ทำเธอโกรธจนกัดปลายคางเหยียนหมิงซุ่นแรงๆ ไปทีหนึ่ง
“พี่ดีใจมากใช่มั้ย? ฉันจะบอกให้นะว่าฝันไปเถอะ ตาแก่โรคจิตนั่นสายตามีปัญหา เลือกผู้หญิงไม่มีใครสวยสักคน แข็งแรงกว่าพี่ ดำกว่าพี่ ดูมาดแมนกว่าพี่…”
เหยียนหมิงซุ่นคอยมองเด็กสาวที่ปากพูดเจื้อยแจ้วตรงหน้าอย่างนึกขำ ปากเล็กๆ ดวงตาเป็นประกายให้ความรู้สึกคันยุบยิบในใจเวลามอง
“ผู้หญิงแบบไหนก็ไม่เอา ชอบแค่เหมยเหมยคนเดียว…”
เสียงโหวกเหวกทุกอย่างหยุดชะงักลงท่ามกลางเสียงอ่อนโยนของเหยียนหมิงซุ่น ภายในรถเงียบสงัด เหมยเหมยเขินอายจนหน้าแดงระเรื่อก้มหน้างุดแกล้งตาย
เมื่อกี้เธอดุขนาดนี้ เหยียนหมิงซุ่นจะคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงงี่เง่าหรือเปล่านะ?
“ฉัน…ฉัน…ก็แค่โกรธ…ความจริงฉันไม่…”
เหมยเหมยอธิบายเสียงตะกุกตะกัก อยากให้เหยียนหมิงซุ่นรู้ว่าความจริงเธอยังเป็นคนอ่อนโยนอยู่ เมื่อกี้แค่เป็นกรณียกเว้น
เหยียนหมิงซุ่นพยายามกลั้นหัวเราะและจุ๊บริมฝีปากเด็กน้อยเบาๆ เป็นการปลอบประโลมใจที่กำลังฟุ้งซ่านของเหมยเหมย เธอมองค้อนแวบหนึ่งและตำหนิเสียงเบา “ยังไม่ขับรถอีกเหรอ…”
เสียงยิ่งพูดยิ่งเบาจนคำสุดท้ายแทบไม่ได้ยิน
“ไปแล้ว…”
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มและแตะปลายจมูกเด็กสาวทีหนึ่ง เหยียนหมิงซุ่นตอนยิ้มหล่อขนาดนี้ มีเสน่ห์ขนาดนี้และเป็นที่ชื่นชอบของผู้หญิงขนาดนั้น แค่เมื่อวานก็มีตั้งหกคนแหนะ!
เหมยเหมยอดคิดในแง่ร้ายไม่ได้ อ้าปากกัดลงไปอีกที…
แต่เพิ่งสัมผัสโดนปลายนิ้วเธอก็ใจอ่อนเสียก่อนเลยผ่อนแรงลงกัดไปเบาๆ ทีเดียว สำหรับเหยียนหมิงซุ่นแล้วเหมือนถูกจั๊กจี้ ทั้งเสียวทั้งชา…
“เธออย่ายั่วพี่นะ…ไม่อย่างนั้น…”
เหยียนหมิงซุ่นกัดปลายหูเธอเบาๆ หนึ่งที เห็นร่างเด็กสาวสะดุ้งเฮือกก่อนจะกลายเป็นเนื้อสีชมพูอ่อนถึงพอใจ–
ยังไงก็จะปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายโดนยั่วคนเดียวไม่ได้นี่นา!
หลังผ่านการคลอเคลียกันหลายครั้งเหยียนหมิงซุ่นรู้จุดอ่อนไหวของเหมยเหมยแล้ว—ติ่งหู เหมือนต้นไมยราบที่เพียงโดนแตะนิดหน่อยเจ้าตัวก็จะสั่นระริก แถมยังตัวเปลี่ยนสีอีก น่าสนใจเหลือเกิน
“…ไอ้บ้า…”
เหมยเหมยจับติ่งหูไว้แล้วกลอกตาใส่อีกฝ่ายแวบหนึ่ง ตบหลังมือเหยียนหมิงซุ่นแรงๆ หนึ่งทีให้เขารีบขับรถ
วันอากาศร้อนๆ แบบนี้ไม่รีบขับรถก็จะอึดอัดตายอยู่แล้ว
กับข้าวมื้อเย็นยังคงอุดมสมบูรณ์อย่างเคย เฮ่อเหลียนชิงยังคงท่าทีเย็นชาไม่เปลี่ยนซึ่งเหมยเหมยก็ไม่สนใจเขา มีเหยียนหมิงซุ่นอยู่เคียงข้าง เธอไม่กลัวตาแก่โรคจิตนี่สักนิด
ปากมีไว้ใช้งานอยู่สามอย่างคือ ทานข้าว พูดและจูบ
สองอย่างหลังยังใช้งานไม่ได้ชั่วคราวเลยเหลือแค่ทานข้าว เหมยเหมยก้มหน้ายัดอาหารเข้าปากรัวๆ จนเฮ่อเหลียนชิงที่มองอยู่น้ำลายสอและทานข้าวตามจนหมดไปหนึ่งถ้วยโดยไม่รู้ตัว แถมยังทานกับข้าวไปไม่น้อย ล้วนเป็นกับข้าวที่เหมยเหมยเคยตักทาน
เพราะเขาคิดว่ากับข้าวพวกนี้รสชาติต้องดีกว่าแน่ๆ!
พออิ่มท้องสมองก็เริ่มทำงาน เฮ่อเหลียนชิงเหลือบมองกระเป๋าบนเก้าอี้อยู่หลายทีด้วยความรู้สึกคันยุบยิบในใจ เจ้าก้อนขาวกำลังนอนอยู่ข้างในหรือเปล่า?
แต่ให้เขาลดตัวไปถามเหมยเหมยเองคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน!
เฮ่อเหลียนชิงรออยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นเหมยเหมยจะปล่อยเจ้าก้อนขาวออกมา ความโกรธก็พุ่งพรวดออกมา ตวัดตามองมาพร้อมแค่นเสียงในลำคอดังขึ้นข้างหูไม่หยุดหย่อน
“เวลาทานข้าวไม่พูดเวลานอนไม่คุย คุณแค่นเสียงทำไม?”
เหมยเหมยที่เริ่มมีอาการไม่สบอารมณ์พูดเย้ยหยันใส่เฮ่อเหลียนชิงอย่างใจกล้าเพราะมีเหยียนหมิงซุ่นคอยเป็นแรงหนุนอยู่เบื้องหลัง
……………………………..