ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 100 อย่าคิดว่าฉันจะยอมโดนแกล้งได้ง่ายๆ นะ!
บทที่ 100 อย่าคิดว่าฉันจะยอมโดนแกล้งได้ง่ายๆ นะ!
“หายไปเหรอคะ? เป็นไปไม่ได้น่า! คุณหนี่หวานจำที่เก็บผิดหรือเปล่า? ลองดูอีกทีได้ไหมคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งร้อนใจสุดๆ คราวนี้เธอถึงกับลงไปช่วยหนี่หวานหาตามที่ต่างๆ ที่ควรจะมีด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่หาทั้งห้องแล้ว ทั้งสองก็ยังคงหากล่องเก็บจี้ห้อยคอนั้นไม่เจออยู่ดี
ฝูเจิ้งเจิ้งแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว เธอพยายามข่มอารมณ์แล้วพูดกับอีกฝ่าย “คุณหนี่คะ ลองคิดดูอีกที ยังมีจุดไหนที่คุณอาจจะเผลอเอากล่องไปเก็บได้หรือเปล่าคะ?”
หนี่หวานส่ายหน้าด้วยความมั่นใจ “ฉันจำที่เก็บไม่ผิดแน่นอนค่ะ! เพราะเมื่อตอนซือเซียนกลับมาเมื่อเช้า เขาพูดกับฉันแค่ไม่กี่คำเท่านั้นก่อนที่จะได้ยินว่ามีปัญหาที่บริษัทเกิดขึ้น เขาส่งกล่องนั้นให้ฉัน และบอกให้ฉันเก็บไว้ให้คุณ พอได้ยินแบบนั้นฉันก็เก็บกล่องนั่นไว้ในลิ้นชักเลย!”
“แล้วคุณหนี่ได้ออกจากห้องนี้หลังจากนั้นหรือเปล่า?” เธอพยายามเดาสถานการณ์อย่างใจร้อน
“ก็มีพาเสี่ยวเสี่ยวไปกินข้าวที่บ้านของคุณแม่จากนั้นก็กลับมาที่นี่ ระหว่างนั้นน่าจะประมาณ 10 นาทีเองหรือไม่ก็มากกว่านิดหน่อยค่ะ” ระหว่างที่พูดเธอก็ลองพยายามหาลิ้นชักที่อยู่ใกล้ๆ ไปด้วย แต่เมื่อยังไงก็หาไม่เจอ หญิงสาวก็พูดกับตนเองเบาๆ “ไม่น่าจะมีขโมยเข้ามาแน่ๆ…. ห้องนี้น่ะมีเพชรพลอยมีค่ามากมายที่ถูกเก็บไว้ แต่สิ่งที่หายไปกลับมีแค่กล่องที่ดูไม่มีราคาใบนั้น… ยิ่งไปกว่านั้น ซือเซียนเองก็ไม่ได้บอกใครเรื่องนี้ด้วย มันแปลกมากๆ เลย!”
ภาพของชายคนหนึ่ง ค่อยๆ ปรากฏขึ้นภายในห้วงความคิดของฝูเจิ้งเจิ้ง ทันทีทันใดที่ภาพนั้นชัดเจน เธอก็วิ่งพรวดออกไปด้านนอก โดยไม่สนใจหนี่หวานที่ตะโกนเรียกตามหลังเธออยู่เลย
หญิงสาวรีบวิ่งตรงไปยังห้องของจีหมู่เซี่ยนและเคาะประตูรัวๆ ทว่าก็ไม่มีใครตอบรับจนกระทั่งพนักงานแถวๆ นั้นเดินมาบอกเธอว่าจีหมู่เซี่ยนออกจากห้องไปตั้งแต่เช้าแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งรีบหยิบโทรศัพท์มาโทรหาเขาทันทีแต่ก็ไม่มีใครรับสายเช่นเดียวกัน
เธอวิ่งออกมาจากรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางและโบกแท็กซี่ตรงไปยังสถานีตำรวจที่จีหมู่เซี่ยนทำงานอยู่อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อไปถึงก็ได้คำตอบว่า จีหมู่เซี่ยนนั้นไปประชุมที่กรมความมั่นคงสาธารณะ!
เมื่อมาถึงขนาดนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากรีบไปยังกรมความมั่นคงสาธารณะต่อ
ขณะที่โดนหยุดไว้ที่หน้าห้องประชุม ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกร้อนรุ่มประดุจมดที่กำลังเดินอยู่บนกะทะร้อน เธอรอจนกระทั่งการประชุมเสร็จสิ้นก็รีบพุ่งเข้าไปที่ประตูจนแทบจะชนกับเสี่ยวหุ่ย ผู้กำกับประจำกรมความมั่นคงสาธารณะแห่งนี้ที่เดินออกมาเป็นคนแรกเลย เสี่ยวหุ่ยตกใจไม่น้อยที่เห็นฝูเจิ้งเจิ้งพุ่งเข้าไป ทว่าฝูเจิ้งเจิ้งกลับไม่ได้สังเกตเขาเลยซักนิด เธอเพียงเอี้ยวตัวหลบเล็กน้อยแล้วดิ่งเข้าหาจีหมู่เซี่ยนพร้อมร้องโวยวายทันที “จีหมู่เซี่ยน! มานี่!”
จีหมู่เซี่ยนที่เพิ่งเลิกประชุมประหลาดใจกับการมาของฝูเจิ้งเจิ้งเช่นกัน สายตาของผู้คนรอบข้างที่จู่ๆ ก็หันมามองเขาเป็นตาเดียวกันนั้นทำให้เขาต้องรีบเดินไปหาเธอด้วยความประหม่าเล็กน้อย
“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่? เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
“พูดมาให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้เลย!” เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งตระหนักได้แล้วว่าเธอกำลังกลายเป็นเป้าสายตาของคนอื่นเพราะโหวกเหวกเสียงดัง เธอก็เกิดเขินอายขึ้นมาแล้วรีบพูดต่อด้วยเสียงที่เบาลง “ป-ไปคุยกันข้างนอก!”
ฝูเจิ้งเจิ้งหันหลังแล้วเดินออกไป ไม่นานนักหลังจากที่เดินออกมา เมื่อมั่นใจแล้วว่าแถวๆ นั้นไม่มีใครอยู่ เธอเดินไปมาด้วยความกระวนกระวายสักพักก่อนจะชนเข้ากับจีหมู่เซี่ยนที่เดินตามออกมาจนเกือบหงายหลังไป หากไม่ได้เขาที่ช่วยประคองร่างของเธอไว้ได้ทันเวลา ป่านนี้เธอคงลงไปนอนกับพื้นแล้ว
ผู้คนที่อยู่ไม่ไกลมากนักที่เห็นเหตุการณ์พอดีก็พากันหัวเราะออกมา บางคนก็ส่งเสียงร้อง “หมู่เซี่ยน ในที่สุดนายก็รู้จักความโรแมนติคแล้วสินะ!”
ใบหน้าของจีหมู่เซี่ยนดูทะมึนขึ้นมาทันที เขาค่อยๆ ปล่อยมือจากฝูเจิ้งเจิ้งแล้วก้าวเดินออกไปก่อน ฝูเจิ้งเจิ้งรีบก้มหัวขอบคุณแล้วเดินตามเขาไปติดๆ แต่ระหว่างนั้นใบหน้าของเธอมันก็ร้อนฉ่าขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วย
เสียงหัวเราะดังมาอีกครั้งเมื่อพวกเขาเห็นว่าจีหมู่เซี่ยนเหมือนจะเขินอาย ทว่าคราวนี้ชายหนุ่มร่างใหญ่นี้กลับไม่ปล่อยผ่าน เขาหันกลับไปมองจ้องเพื่อให้คนเหล่านั้นหยุดหัวเราะ ใครก็ตามที่โดนจ้องจากจีหมู่เซี่ยนต่างก็วิ่งหนีกันไปหมดจะเหลือก็เพียงเสี่ยวหุ่ยที่ยังคงยืนอยู่บริเวณนั้น เขามองทั้งสองเดินจากไปพร้อมๆ กันด้วยรอยยิ้ม
เสี่ยวหุ่ยไม่ได้หันไปไหนเลย เขายิ้มมองไปทางเดิมตลอดจนทั้งคู่หายลับไป จากนั้นถึงค่อยหันกลับไปหาคนๆ หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา
“หยางเต๋า? กลับมาแล้วเหรอ? คดีของทางนั้นมีความคืบหน้าอะไรบ้างล่ะ?” เสี่ยวหุ่ยยิ้มและเอ่ยถามขณะเดินไปด้วย
“ก็นิดหน่อยครับ” หยางเต๋าหันไปมองทอดไกลยังทิศทางที่เสี่ยวหุ่ยเพิ่งจะละสายตามา หลังจากที่ซ่อนความไม่พอใจแล้ว เขาจึงหันหน้าแล้วเดินตามเสี่ยวหุ่ยไป
————————————–
ถนนด้านนอกกรมความมั่นคงสาธารณะ
ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังยืนเผชิญหน้ากับจีหมู่เซี่ยนที่ดูหน้าอมทุกข์มากกว่าทุกที เขาพูดขึ้นเสียงเข้ม “ฝูเจิ้งเจิ้ง! เธอจะมาหาฉันที่นี่ทำไม?”
เพราะสิ่งที่เธอทำวันนี้มันทำให้เขาโดนเพื่อนร่วมงานพากันหัวเราะไปหมด
“ถ้าฉันไม่มาที่นี่ฉันจะหานายเจอได้ยังไงกัน?” ฝูเจิ้งเจิ้งตอบกลับด้วยน้ำเสียงโกรธก่อนจะยื่นมือออกไป “เอาของของฉันคืนมา!”
“ของอะไร?”
หน็อย ตีเนียนเหรอ!?
“สร้อยคออ่ะ!”
“สร้อยคออะไรอีก?”
เมื่อเห็นว่าจีหมู่เซี่ยนยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็หยุดไปซักครู่หนึ่ง เธอเค้นน้ำตาออกมาจากส่วนลึกของหางตาแล้วระเบิดมันออกพร้อมกับตีหน้าร้องห่มร้องไห้ “สร้อยคอนั่นเป็นสิ่งที่คุณยายของฉันให้มาเลยนะ! มันไม่มีประโยชน์กับนายหรอก เพราะงั้นเอาคืนฉันมาเถอะ!”
เขาเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว แต่ก็ถามอีกเพื่อความมั่นใจว่าเธอหมายถึงสิ่งที่เขาเข้าใจหรือเปล่า “เธอคงหมายสร้อยคอที่พี่ใหญ่ของฉันบอกจะให้เธอใช่หรือเปล่า? สร้อยคอนั้นทำไม ทำมันหายหรือไง?”
แววตาที่เต็มไปด้วยน้ำตานั้นเริ่มแสดงออกถึงความงุนงงและสงสัยออกมาแล้ว เธอหยุดร้องไห้ไปชั่วขณะก่อนจะถาม “มันไม่ได้อยู่กับนายเหรอ?”
“คนอย่างฉันจะเอาสร้อยคอนั่นมาทำอะไร?” จีหมู่เซี่ยนตอบด้วยสีหน้าแหยง
โอ๊ะ ดูๆ แล้วเขาก็ดูจะไม่ได้โกหกแฮะ…แต่จะเป็นใครได้อีกถ้าไม่ใช่เขาล่ะ!?
ฝูเจิ้งเจิ้งแอบประหลาดใจอยู่ลึกๆ เธอเหลือบไปเห็นแววตาที่ดูเข้มงวดของเขาที่กำลังเหลือบมองมายังตน ด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะสงสัย เธอจึงรีบปาดน้ำตาและโมเมเหตุผลขึ้นมาเพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัยไปมากกว่านี้ “ฉ-ฉันรู้นะว่านายแอบรักฉันอยู่น่ะ! เพราะงั้นต่อให้นายเอาสร้อยคอฉันไป มันก็ไม่ทำให้ฉันรักนายหรอกนะ!”
“นี่เธอเพี้ยนไปแล้วหรือไงน่ะ?” จีหมู่เซี่ยนส่ายหน้าด้วยความเหลืออด เขาหันหน้ากลับเข้าไปยังสำนักงานและเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองเธอเลย
หญิงสาวเขย่งขามองจนกระทั่งร่างของเขาหายลับตา เธอจึงปลีกตัวแยกมาหาที่เงียบๆ ก่อนจะโทรไปหาหยางเต๋าเพื่อนัดเจอเขาที่ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ทั้งเธอและเขาเคยพบกันมาก่อน
“เจิ้งเจิ้ง! สบายดีไหม?” หยางเต๋าถามเหมือนที่เขาถามเป็นประจำเมื่อเจอเธอ
“รุ่นพี่ ฉันรู้ที่อยู่ของกุญแจห้องลับแล้วนะคะ” เธอหันไปตามเสียงก่อนจะพูดเข้าประเด็นในทันที
“กุญแจของห้องลับ?” ได้ยินเรื่องของสิ่งนี้ หยางเต๋าก็ดูตกใจมากๆ เขารีบถาม “อยู่ที่ไหนเหรอ?”
“ตระกูลหานค่ะ”
ฝูเจิ้งเจิ้งนั่งลงแล้วเริ่มเล่าถึงรายละเอียดต่างๆ ตั้งแต่ที่เธอเจอหานซือฉีเมื่อ 6 ปีที่แล้ว รวมถึงที่หานซือเซียนต้องการใช้สร้อยคอนั้นแลกกับสิทธิ์ในการดูแลฝูซิงของพวกเขา และเรื่องที่สร้อยคอมันหายไปวันนี้ด้วย
“ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าสร้อยคอที่ฉันเจอนั่นคือกุญแจห้องลับ เพิ่งจะมารู้เอาตอนนี้! นอกจากนี้ฉันก็เพิ่งรู้มาเมื่อไม่กี่วันนี้ด้วยว่าสร้อยคอนั่นอยู่กับหานซือเซียน” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดและรีบอธิบายเพื่อเก็บรายละเอียดให้หมด “จริงๆ ฉันอยากจะบอกเรื่องนี้กับรุ่นพี่หลังจากที่ได้สร้อยคอมาแล้วแหละค่ะ…”
“ฉันควรจะพูดยังไงกับเธอดีเนี่ย?” หยางเต๋าส่ายหน้าแล้วเริ่มดุเธอ “เธอเองก็รู้อยู่แล้วว่ามีคนในเมือง B แห่งนี้หลายคนที่กำลังจ้องอยากจะได้กุญแจนั้นอยู่ แต่เธอก็ยังแอบทำเรื่องนี้โดยไม่ขออนุญาตเนี่ยนะ? ถ้าเกิดฝูซิงต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอันตรายขึ้นมาจะทำยังไง?”
“ฉ-ฉันก็แค่อยากได้กุญแจนั่นมาให้รุ่นพี่ เผื่อมันจะช่วยให้รุ่นพี่ได้ลบล้างความผิดพลาดที่ฉันทำไว้ให้… ฉันรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณจริงๆ นะคะ…”
หยางเต๋าตบไหล่ฝูเจิ้งเจิ้งเบาๆ เช่นเดียวกับที่เขาส่ายหน้าเบาๆ ด้วย “เธอรู้จักฉันจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย?”
“ร-รู้จักสิคะ! ฉันรู้ว่ารุ่นพี่ใจดีกับฉันเสมอ แต่ฉัน…”
“หยุดเลย! ฉันน่ะมีความสุขเสมอถ้าเธอมีความสุขนะ แค่ได้เห็นเธอมีความสุขก็พอแล้ว ฉันเป็นแบบนี้มาตลอด ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้ แล้วก็จะยังเป็นแบบนี้ต่อในอนาคตด้วย มันจะไม่มีวันเปลี่ยนไปจากเดิมแน่นอน!”
“รุ่นพี่…” แววตาของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นรื้นไปด้วยน้ำตาขึ้นมาแล้ว
“ไม่เอาน่า เธออายุเท่าไหร่แล้ว? คิดว่าตัวเองยังเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อยู่หรือไง?” เขาพูดกล่อมด้วยความเอ็นดู “เอาล่ะ ตอนนี้เราคงจะสงสัยจีหมู่เซี่ยนไม่ได้แล้ว งั้นลองมาค่อยๆ นึกกันต่อว่า ใครบ้างที่อาจจะเอาสร้อยคอเส้นนั้นไปได้”
“โอเคค่ะ! วันนี้ฉั—” ขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งเตรียมจะพูดนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น และมันเป็นสายโทรเข้าจากหานซือฉี!
ทำไมเขาถึงโทรมาในเวลาแบบนี้เนี่ย? หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับฝูซิง!?
ฝูเจิ้งเจิ้งเป็นกังวลขึ้นมาทันที และเธอไม่รอช้าที่จะรับสายนั้นขึ้นมา
“กลับบ้าน!” ทันทีที่รับโทรศัพท์ เสียงจอมบงการของหานซือฉีก็ดังสวนกระแทกหูมาจนแทบตั้งตัวไม่ทัน
“เกิดอะไรขึ้นกับฝูซิง…”
“พูดอะไรของเธอ? กลับบ้านมาเดี๋ยวนี้!”
ดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวกับฝูซิงแฮะ ค่อยยังชั่วหน่อย…
เธอถอนหายใจโล่งอกก่อนจะตอบเขากลับไป “ฉันทำธุระอยู่น่ะค่ะ คงจะกลับ…”
“10 นาที!”
ด้วยความหงุดหงิดกับพ่อหนุ่มจอมบงการคนนี้ เธอจึงตัดสายทันทีหลังได้ยินประโยคสุดท้ายของเขา
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” หยางเต๋ารีบถาม
“ไม่มีอะไรค่ะ” พลันเมื่อฝูเจิ้งเจิ้งตอบไปเช่นนั้น สายเรียกเข้าจากหานซือฉีก็ดังขึ้นมาอีก
“รับสายเถอะ บางทีอาจจะเป็นอะไรที่สำคัญก็ได้นะ” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวพยายามไม่สนใจสายเรียกเข้านั้น หยางเต๋าจึงชี้แนะเธอไป
ฝูเจิ้งเจิ้งแอบแสดงท่าทีรังเกียจที่จะรับสายนั้นก่อนจะตัดสินใจรับสายอีกครั้ง “ฝูเจิ้งเจิ้ง สร้อยคอของเธออยู่ในมือของฉัน ถ้าเธอไม่กลับมาใน 10 นาที ฉันจะทำลายมันทิ้งเดี๋ยวนี้เลย!”
“ว่าไงนะ? ไม่—” กรรมตามทัน คราวนี้หานซือฉีเป็นฝ่ายตัดสายเธอบ้าง
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งเปลี่ยนไป หยางเต๋าก็รีบถามด้วยความกังวล “เกิดอะไรขึ้นจริงๆ ใช่ไหม?”
“ไว้ฉันจะติดต่อรุ่นพี่ทีหลังนะคะ!” เธอไม่มีเวลาแล้ว หลังจากพูดจบฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบวิ่งออกไปเลย
“เจิ้งเจิ้ง…” แม้ว่าหยางเต๋าจะตะโกนเรียกเธอตามท้าย แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ มันต้องเป็นเรื่องสำคัญมากแน่ๆ
หญิงสาวรีบโบกแท็กซี่แล้วเร่งให้คนขับเร่งความเร็วตลอดทาง ทันทีที่เธอถึงบ้าน เธอก็รีบวิ่งขึ้นตึกไปให้เร็วที่สุดและพุ่งพรวดเข้าประตูห้องไปอย่างไม่รีรอ ทว่าเมื่อเข้าไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็พบว่าหานซือฉีนั้นกำลังนอนหลับอยู่บนโซฟา
นี่ยังมีอารมณ์มานอนได้อีกเหรอ?
เธอรีบเดินเข้าไปแล้วจับมือของเขาเขย่าพร้อมถาม “เอาสร้อย—”
ก่อนที่จะได้พูดจบ หานซือฉีก็ดึงเธอลงไปนอนบนโซฟากับเขาทันที
“เฮ้ๆๆ! จะทำอะไรน่—อุ๊บ—”
ริมฝีปากที่เต็มไปด้วยกลิ่นของแอลกอฮอลล์นั้นประทับเข้ากับริมฝีบางที่กำลังโวยวายของเธอ ด้วยความกลัวที่หานซือฉีจะเมาไม่ได้สติ ฝูเจิ้งเจิ้งจีบรีบหันหน้าหนี ทว่าแรงของเขามันกลับเยอะกว่าเธอมากนักแม้จะเป็นตอนเมา
เขาจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้แล้วกดลงไปให้นอนบนโซฟาแทน
“หานซือฉี! คนเลว! ปล่อยฉันนะ!” หญิงสาวทั้งโกรธและเขินในเวลาเดียวกัน แต่เมื่อสังเกตเห็นได้ว่าบนใบหน้าของเขามีเหงื่อไหลซึมเต็มไปหมด มันก็ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ไม่ว่าเธอจะเตะ จะกัดหรือตะโกนใส่เขาอย่างไร เขาก็ไม่สนใจเลย!
หานซือฉีไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน!
ดูไม่เหมือนกับคนเมาด้วย หรือว่า…
ด้วยความสงสัยนั้น ในที่สุดฝูเจิ้งเจิ้งก็หยุดดิ้น มันไม่ใช่ว่าเพราะเธอยอมแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเธอเห็นว่าเขาหมดสติไปแล้วต่างหาก
เธอค่อยๆ นำร่างของหานซือฉีที่หลับไปแล้วลงไปนอนบนโซฟาดีๆ ก่อนจะเดินไปหยิบเอาผ้าชุบน้ำหมาดๆ จากในห้องน้ำมาช่วยเช็ดเหงื่อบนหน้าของเขาให้ ตลอดเวลาที่อีกฝ่ายหลับ ฝูเจิ้งเจิ้งก็คอยนั่งดูอาการอยู่ข้างๆ โดยไม่ไปไหน และการที่เขาหลับเช่นนี้ มันก็ทำให้เธอรู้สึกอะไรแปลกๆ ขึ้นมา
บางทีการที่เขาหลับเช่นนี้ อาจจะเป็นช่วงเวลาเดียวที่เธอและเขาสามารถอยู่ด้วยกันโดยไม่ทะเลาะเบาะแว้งก็ได้
ทว่าเมื่อคิดถึงสร้อยคอได้ เธอก็รีบลุกขึ้นแล้วไล่หาตามเนื้อตัวของหานซือฉีอย่างระมัดระวัง แต่ไม่ว่าจะหาอย่างไร ก็ไม่เจอสร้อยคอดังที่หวังไว้เลย นี่เขาโกหกเธออีกแล้วงั้นเหรอ?
หมอนี่ไม่มีสร้อยคออยู่ตั้งแต่แรกแล้ว!?
ไม่สิ ตามปกติเขาก็มักจะเอาฝูซิงมาข่มขู่เธออยู่ตลอด…นี่มันครั้งแรกเลยที่เขาเอาเรื่องสร้อยคอมาขู่!
ไปรู้ว่าเธอกับหานซือเซียนตกลงกันเรื่องสร้อยคอหรือยังไงนะ? และเพราะไปรู้มาก็เลยไปเอาสร้อยคอมาเก็บไว้งั้นเหรอ?
ฝูเจิ้งเจิ้งยังไม่อยากฟันธงอะไรตอนนี้ เพราะงั้นเธอจึงตัดสินใจรอจนเขาตื่นค่อยถามอีกที
หานซือฉีหลับลึกและไม่ตื่นจนกระทั่ง 5 โมงเย็น เขาลูบตามบ่าตนเองเบาๆ ก่อนจะพูดกับฝูเจิ้งเจิ้งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “ขอน้ำหน่อย”
เธอรีบเทน้ำใส่แก้วและส่งให้เขา ขณะที่ดูเขาดื่มน้ำ เธอก็ยังรออย่างใจจดใจจ่อก่อนจะถามด้วยเสียงเคร่งขรึม “สร้อยคอของฉันอยู่ไหน?”
“สร้อยคอ? สร้อยคออะไร?” หานซือฉีเลิกผ้าห่มออกแล้วพับมันไว้ข้างๆ ก่อนจะเริ่มจัดเสื้อผ้าของตนให้ดีๆ
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็หันขวับกลับมามองเขาอย่างรวดเร็ว “นายโทรเรียกฉัน แล้วบอกให้ฉันรีบๆ กลับมาเพราะสร้อยคอที่ฉันให้นายไปอยู่ในมือนายแล้ว แถมนายยังบอกด้วยว่าให้ฉันมาเอามันไป!”
“ฉันพูดแบบนั้นเหรอ? สงสัยเพราะเมาก็เลยจำอะไรไม่ได้เลย”
คำพูดที่ดูไม่ใส่ใจอะไรของหานซือฉีนั้นทำเอาฝูเจิ้งเจิ้งแทบจะระเบิดลงในทันที เธออุตส่าห์รีบกลับมาแต่เขากลับบอกว่า ไม่มีสร้อยคอที่ว่านั่น แถมยังมาขโมยจูบเธอไปอีก คิดว่าเธอควรจะปล่อยไปแบบนี้งั้นเหรอ?
เมื่อหานซือฉีแต่งตัวเสร็จและเตรียมจะออกไป หญิงสาวก็ก็รีบเดินดิ่งเข้าหาและกระชากคอเสื้อเขาไว้ก่อนจะตะโกนใส่ด้วยความโกรธ “หานซือฉี! อย่าคิดว่าฉันจะยอมโดนนายรังแกง่ายๆ นะ!”
“ฉันรังแกเธอด้วยหรือไง? ก็บอกแล้วว่าเมา ฉันจำอะไรไม่ได้หรอก” หานซือฉีขมวดคิ้วมองเธอก่อนจะปัดมือเธอออกอย่างนุ่มนวล
ยัยสารเลวเฉียวเค่อเหริน! ขยันวางยาในไวน์จังนะ! โชคดีที่เขารู้ตัวก่อนแล้วรีบหนีจากแผนเลวๆ ของเธอมาได้น่ะ!
สิ่งที่หานซือฉีพูดนั้นมันเหมือนเป็นน้ำมันที่คอยราดลงไปในไฟโกรธของฝูเจิ้งเจิ้งเรื่อยๆ ในขณะที่เธอเตรียมจะก่นด่าเขานั้นเอง โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
—————————————————————————————————————-
คุยกับผู้แปล
น่าสงสัย…น่าสงสัยในตัวซือฉีสุดๆ เป็นคนที่อาจจะหลอกก็ได้ หรือพูดจริงก็ได้ เดาทางไม่ออกจริงๆ