ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 102 มันเด่นเกินไป
บทที่ 102 มันเด่นเกินไป
“เอ่อ…ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีครับ”
“งั้นก็ดีแล้ว”
หานซือฉีวางโทรศัพท์ไป และเมื่อเขารู้สึกได้ว่าฝูเจิ้งเจิ้งกำลังจ้องมองมาที่เขาอยู่ ก็อดที่จะแซวไม่ได้ “เธอเป็นห่วงฉันหรือไง?”
ฮึ่ม!
เธอพยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้โต้เถียง จึงปัดคำถามของเขาและถามกลับไปด้วยคำถามของตนแทน “อะไรที่ทำให้คุณหานมีความสุขได้ขนาดนี้กันเหรอคะ?”
“มันจะตายหรือไงถ้าไม่เรียกฉันว่าคุณหาน?” สีหน้าของหานซือฉีดูเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
ทำไมแค่เรียกแค่นี้ถึงกับอารมณ์บูดง่ายเป็นกับข้าวเก่าอย่างงี้?
ฝูเจิ้งเจิ้งแอบบ่นเขาอยู่ในใจก่อนจะปั้นยิ้มขึ้นมาและถามใหม่ “คุณห— ซือฉี ปัญหาของเมืองฮั่นต้านั่นกลายเป็นปัญหาใหญ่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“นั่นไม่ใช่เรื่องของฉัน” หานซือฉีตอบผ่านๆ แล้วคว้านิตยสารข้างๆ เตียงของเธอมานอนอ่านแบบไม่ใส่ใจ
หญิงสาวกลอกตามองเขา “ฉันล่ะสงสัยจริงๆ ว่านายเป็นคนในตระกูลหานจริงหรือเปล่า นายจะไม่สนใจเรื่องในครอบครัวเลยไม่ได้นะ!”
ฟังเธอพูดแล้วเขาก็ทำเสียงล้อเลียน “ฉันล่ะสงสัยจริงๆ เลยว่าเธอน่ะเป็นคนในตระกูลหานหรือเปล่า! เธอจะใส่ใจเรื่องในครอบครัวฉันมากไปแล้วนะ!”
“หน็อย!?” โดนย้อนกลับมาเช่นนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งถึงพูดอะไรไม่ออก
มันก็ใช่ ทำไมเธอถึงต้องมาใส่ใจเรื่องเมืองฮั่นต้านั่นขนาดนั้นด้วย… ต่อให้บริษัทเว่ยหานจะล้มละลายตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของเธออยู่ดี!
สิ่งที่เธอต้องการจริงๆ ก็คือการได้ตัวฝูซิงคืนมาต่างหาก
คิดได้ดังนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็ค่อยๆ นั่งลงไปข้างๆ หานซือฉีก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเจียมตน “ฉันคิดถึงฝูซิง เขาอยู่กับปู่กับย่าเขามานานแล้ว นายพอจะช่วยพาเขามาอยู่กับฉันที่นี่ซัก 2-3 วันได้ไหม? สัญญาเลยว่าจะไม่หนีไปพร้อมกับเขาแน่ๆ ”
ในทันทีที่พูดออกไปแบบนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็อยากจะหยิกปากตัวเองที่พูดออกไป มันดูจะเป็นอะไรที่เห็นแก่ตัวไม่น้อยเลย หรือเปล่า?
“โอเค”
หานซือฉีตอบเธออย่างรวดเร็วจนเธอเองยังต้องหันมามองด้วยตากลมตาราวกับระฆัง ฝูเจิ้งเจิ้งถามออกไปด้วยความเหลือเชื่อ “นายตกลงเหรอ?”
“หรือจะให้บอกว่าไม่?”
“ไม่ๆๆๆๆๆๆ” หญิงสาวรีบส่ายหน้ารัวๆ เช่นเดียวกับมือของตน จากนั้นก็ยิ้มให้เขาพร้อมกับพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมา “ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นอยู่แล้ว…แบบว่า กำลังดีใจน่ะ”
“งั้นเที่ยงพรุ่งนี้พาซิงซิงไปกินสเต็กที่เซนส์บันด์กัน”
“ไม่ ฉันหมายถึงตอนกลางคืน…”
“กลางคืนค่อยให้เขามาพักที่นี่”
“เยี่ยม!—อุ่ก!”
ด้วยความดีใจ ฝูเจิ้งเจิ้งดีใจจนลืมตัวด้วยท่าทีราวกับเป็นเด็ก ขาของเธอก็ดันไปเตะเข้ากับชั้นเก็บของข้างเตียงจนเจ็บไปทั้งขา
“เป็นอะไรไป?” หานซือฉีวางนิตยสารลงทันทีพร้อมกับรีบพลิกตัวลงมาคุกเข่าดูที่ขาของเธอ เขาจับมือเธอออกและมองปลายนิ้วเท้าที่กำลังมีเลือดไหลอยู่ “เธอเป็นเด็กหรือไงน่ะ?”
ถึงแม้ว่าเขาจะดุเธอ แต่ชายหนุ่มก็วิ่งออกไปนอกห้องและกลับมาพร้อมกับกล่องพยาบาลเพื่อทำแผลให้เธออยู่ดี
เธอรีบปรามเขาไว้ก่อน “มันก็แค่แผลถลอกเอง ไม่เป็นไรหรอกนะ”
“เงียบน่า!” หานซือฉีขึ้นเสียงและเริ่มทำแผลให้เธอแบบง่ายๆ
จะเป็นเดือดเป็นร้อนกับแผลฟกช้ำไปทำไมเนี่ย?
ฝูเจิ้งเจิ้งดูถูกการกระทำของเขา แต่ลึกๆ แล้วเธอก็รู้สึกอบอุ่นใจอยู่นิดๆ หน่อยๆ
หลังจากที่รู้สถานการณ์ปัจจุบันของบริษัทเว่ยหานจากสวี่เหยียนในวันนี้ มันก็ทำให้เธอเข้าใจขึ้นมาได้บ้างว่าทำไมหานซือฉีต้องไปอยู่กับเฉียวเค่อเหรินทุกๆ วัน
ฉันนี่ช่างโชคดีจริงๆ ฮ่าๆๆๆ
เมื่อทำแผลเสร็จแล้ว หานซือฉีก็ค่อยๆ ยกขาข้างที่เจ็บของเธอนั้นขึ้นไปวางบนเตียง ก่อนจะเก็บของต่างๆ ลงไปในกล่องยาดังเดิมระหว่างนั้นก็พูดบอกเธอไปด้วย “ไม่ต้องลุกไปกินข้าว เดี๋ยวฉันเอาเข้ามาให้เอง”
“เว่อไปแล้ว ฉันไปกินเองได้”
“ก็บอกแล้วว่าจะเอาเข้ามาให้! ทำไมถึงช่างเถียงจังเลยฮะ?”
ได้ยินแบบนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็ประชดเขาด้วยความโกรธ “เห~ ดูเหมือนว่ากว่าเท้าฉันจะหายดีเนี่ย มันคงใช้เวลาร่วมๆ 4-5 วันเลย เห็นทีฉันคงจะต้องรบกวนคุณหานให้มาเสิร์ฟอาหารให้ทุกวันซะแล้วมั้งคะ?”
“ไม่มีปัญหา” หานซือฉีผู้ที่เพิ่งลุกขึ้นยืนก้มหน้าลงมาหาคุณแม่ยังสาวที่อยู่บนเตียง “ฉันจะป้อนข้าวเธอทุกวันจนกว่าจะอิ่มเลย”
ภาพของวันที่ทั้งสองต้องผลัดกันป้อนบะหมี่ให้กันและกันมันหวนคืนกลับมาอีกครั้ง ความเขินอายเริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนหูของเธอแดงไปหมด ฝูเจิ้งเจิ้งหันขวับไปมองเขาด้วยแววตาที่สั่นไหวก่อนจะโวยวายออกไป “ใครอยากให้นายมาป้อนข้าวฉันกันน่ะ!”
“เดี๋ยวก็รู้ รอตรงนี้ ห้ามดื้อ” หานซือฉีหัวเราะ ก่อนจะเดินออกไป ทว่าเดินได้สองก้าว เขาก็หันกลับมาพูดเสริม “จะป้อนแบบปากต่อปากเลยล่ะ”
“ออกไป๊!” ฝูเจิ้งเจิ้งปิดหน้าเขิน ก่อนจะพูดทิ้งท้าย “ฉันจะไม่ล้างแผล แล้วปล่อยให้มันเน่าเลยคอยดู!”
เมื่อเห็นว่าเขาออกไปแล้ว เธอก็กลับมาคิดใหม่ว่ามีอะไรบนโลกนี้ที่ทำให้เขาดูมีความสุขขนาดนั้นได้ นอกจากแกล้งเธอแล้วยังมีอย่างอื่นด้วยเหรอ?
นอกจากนั้นเธอยังรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องที่เขายอมพาฝูซิงมาอยู่กับเธออย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกับที่สงสัยเรื่องสร้อยคอว่าอยู่ในมือเขาจริงๆ หรือเปล่า? หรือแท้จริงแล้ว เขาก็แค่เอาเรื่องนี้มาพูด เพราะได้ยินเรื่องสร้อยคอที่เธอคุยกับพี่ชายของเขาพอดี? ใช้สิ่งนี้มาขู่เพราะไม่อยากให้ฉันไปไหนงั้นเหรอ?
ทำไมซับซ้อนได้ขนาดนี้นะ!
ยิ่งคิดฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกงุนงงกับสิ่งเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ
เธอตัดสินใจแล้วว่าจะหาโอกาสถามเขาเรื่องสร้อยคออีกครั้ง ถ้ามั่นใจแล้วว่าไม่อยู่กับเขาจริงๆ เธอค่อยหาโอกาสพาฝูซิงหนีไปอีกทีหนึ่ง
หลังจากทานข้าวเย็นไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งคิดว่าหานซือฉีจะอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทว่าหลังจากที่เขาบอกเธอให้ดูแลเท้าดีๆ อย่าให้แผลชื้นแล้ว เขาก็เตรียมจะออกจากบ้านไปทันที
“เดี๋ยว แล้วฝูซิง…” เธอรีบหยุดเขาไว้ก่อนเพราะกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนความคิดเรื่องที่ขอไว้
“พรุ่งนี้ตอนเที่ยง ฉันจะมารับเธอไปหาฝูซิงที่เซนส์บันด์” หานซือฉีหันกลับมาและพูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะรีบออกไป
เขาพูดจริงงั้นเหรอ?
ด้วยสภาพปัญหาที่บริษัทเว่ยหานกำลังเผชิญอยู่นั้น เขายังกล้าพาฝูซิงออกมาทานข้าวที่เซนส์บันด์อย่างโจ่งแจ้งได้อีกเหรอ? ไม่กลัวว่าถ้าเฉียวเค่อเหรินมาเจอ เธอจะระเบิดลงแล้วให้ครอบครัวไปกดดันบริษัทเว่ยหานมากขึ้นกว่าเดิมหรือไง?
หญิงสาวส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าเขาเข้าใจอะไรง่ายๆ เขาต้องไม่ใช่หานซือฉีตัวจริงแน่ๆ
ขนาดตัวเขาเองยังไม่กังวลเลย แล้วเธอจะกังวลไปทำไมน่ะ?
ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกมีความสุขมากๆ เมื่อได้คิดว่าพรุ่งนี้เธอจะได้เจอเจ้าลูกชายแล้ว เธอลงไปนั่งบนเตียงพลางฮัมเพลงด้วยสีหน้าระรื่น ขาข้างที่ถูกทำแผลไว้จนเหมือนนิ้วขาดถูกยกขึ้นมาบนเตียง แววตาสดใสเหลือบมองก้อนผ้าพันแผลขนาดใหญ่นั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะดึงมันออกแล้วโยนใส่ถังขยะไป
เกะกะ!
—————————————————-
คืนเดียวกัน ภายในห้องนั่งเล่นของบ้านที่หานเถิงอวี้และภรรยาอาศัยอยู่ รีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยาง
ทันทีที่หานซือฉีเดินเข้าประตูไป เขาก็เห็นว่าพ่อและพี่ชายของตนต่างกำลังคุยกันด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ในขณะที่พี่รองของเขานั้นกำลังนอนไม่สนใจโลกอยู่ไม่ไกลนัก ในมือก็กำลังเล่นโทรศัพท์ไปด้วย
เมื่อหานเถิงอวี้หันไปเห็นหานซือฉีเดินเข้ามา เขาก็ถามด้วยสีหน้าไม่พึงพอใจเท่าไหร่ “ซือฉี นี่แกไปหาฝูเจิ้งเจิ้งอีกแล้วงั้นเหรอ?”
“ครับ” หานซือฉีตอบไปตรงๆ ก่อนจะนั่งลงไปที่โซฟา
“ขนาดนี้แกก็ยังไม่ยอมปล่อยหล่อนไปอีกนะ!” ได้ยินเช่นนั้นเขาก็โกรธขึ้นมาทันที “ถ้าแกยังทำตัวแบบนี้อีกล่ะก็ ตระกูลเราได้ล่มสลายไม่เร็วก็ช้าแน่!”
จีหมู่เซี่ยนผู้ที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่นั้นเอ่ยขึ้นมาทันที “มันเป็นความผิดของพี่ใหญ่ที่โดนเจ้าเฉียวหยวนหานนั่นหลอกมาไม่ใช่หรือไง? พ่อจะไปโทษซือฉีไม่ได้หรอกนะ”
“หุบปาก!” หานเถิงอวี้ตะคอก “แกน่ะมีสิทธิ์มีปากเสียงในตระกูลน้อยสุดแล้ว รู้ไว้ซะด้วย!”
“ฮ่าฮ่า นี่ขนาดมีสิทธิ์น้อยที่สุดผมยังต้องถูกเรียกมากลางค่ำกลางคืนแบบนี้อีกเหรอ? เชื่อเขาเลย”
คำพูดของจีหมู่เซี่ยนนั้นทำให้ผู้เป็นพ่อโมโหเอามากๆ “อย่าลืมนะว่าแกเองก็เป็นคนในตระกูลหานเหมือนกัน! เพราะงั้นทุกๆ คนต้องมารับผิดชอบเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเว่ยหานเหมือนกันหมด!”
“แต่ผมแซ่จีนะ”
“โอเคๆ เลิกทะเลาะกันได้แล้ว”
หานซือเซียนผู้ที่เงียบอยู่ตลอดรีบเอ่ยขึ้นมาเพื่อหยุดการมีปากเสียงกันของสองพ่อลูกเสียก่อน จากนั้นเขาจึงหันไปมองหานซือฉีและพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง “ผมรู้ดีว่าผมน่ะใจร้อนไป เกี่ยวกับการลงทุนในเมืองฮั่นต้า ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่ต้องมาเป็นทุกข์กันในวันนี้หรอก”
หานเถิงอวี้หันไปมองลูกชายคนโตที่กำลังหนักใจ เขาเองก็ทุกข์ใจไม่แพ้กัน “ซือเซียน นี่มันไม่ใช่ความผิดของแกทั้งหมดหรอกนะ ฉันรู้ว่าที่แกทำลงไปทุกอย่างนั้นก็เพื่อให้เว่ยหานพัฒนาและก้าวหน้าให้ได้มากที่สุด”
“มันเป็นเวลาที่เหมาะแก่การพูดแบบนี้แล้วจริงดิ?” จีหมู่เซี่ยนขัดคออีกฝ่ายอีกครั้ง
“ก็อย่างที่น้องรองว่า พูดแบบนั้นไปก็ไม่ได้อะไรแล้วครับตอนนี้” หานซือเซียนพูดก่อนที่พ่อของตนจะเปิดศึกกับน้องชายอีกรอบ ตลอดเวลาที่เขาพูด สายตาที่คาดหวังของเขามันก็เหลือบมองหานซือฉีอยู่ตลอด
“เดี๋ยวฉันจัดการเรื่องนี้เอง” หานซือฉีพูดขึ้นด้วยเสียงนิ่งสงบ
ด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงที่ไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนนั้นเองที่ทำให้หานเถิงอวี้ไม่ปลาบปลื้มเขาซักเท่าไหร่ “ให้แกจัดการเองงั้นเหรอ? ทำไมแกไม่พูดให้เร็วกว่านี้! ถ้าแกลงมือเร็วกว่านี้ล่ะก็ แกคิดว่าพวกเราจะต้องมานั่งทุกข์ใจกันแบบนี้ไหม! รีบๆ ส่งผู้หญิงคนนั้นให้ออกไปจากเมือง B เดี๋ยวนี้เลย แล้วก็อย่าให้เธอกลับมาที่นี่อีก!”
“เมือง B ไม่ใช่ของพวกเราซักหน่อย” จีหมู่เซี่ยนพูดด้วยเสียงจริงจังขณะที่กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่
“ออกไป!” หานเถิงอวี้ที่โกรธอยู่แล้วหันกลับไปตะคอกอีกฝ่ายด้วยความไม่ใยดี
“หมู่เซี่ยน อย่าเพิ่งแทรก!” หานซือเซียนรีบเข้าไปลูบหลังของผู้เป็นพ่อก่อนเพื่อปลอบให้เขาเย็นลง เมื่อเขาเห็นว่าอารมณ์ของหานเถิงอวี้เย็นลงบ้างแล้ว เขาจึงหันหน้าไปหาหานซือฉี “ซือฉี เดตของแกกับเฉียวเค่อเหรินเป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่เลว” หานซือฉีตอบด้วยเสียงราบเรียบ
“ดี” หานซือเซียนถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “ซือฉี อย่าหาว่าฉันเห็นแก่ตัวเลยนะ ฉันไม่สามารถถอยกลับได้แล้วตอนนี้ แล้วก็ฉันไม่รู้เรื่องของซิงซิงมาก่อนจริงๆ นะ!”
“พี่ใหญ่ ขอเวลาฉันซักหน่อย” หานซือฉีลุกขึ้นยืนช้าๆ ก่อนจะพูดอย่างมั่นใจ “เดี๋ยวจะเอาคำตอบที่พึงพอใจมาให้ก็แล้วกัน”
ขณะที่ยืนมองหานซือฉีอยู่เงียบๆ พักใหญ่ หานซือเซียนก็ได้พบว่า น้องชายที่ขี้ขลาดของเขาที่ตามปกติแล้วจะเอาแต่เดินตามหลังมาตลอด ในที่สุดเขาก็โตขึ้นแล้ว!
หานซือฉีไม่พูดอะไรต่อ กลับกันเขายังเดินตรงไปยังห้องพ่อแม่ของเขาและพาฝูซิงไปไว้ที่ห้องของเขาแทน
ยามที่ได้เห็นใบหน้าที่หลับพริ้มของลูกชาย ท้ายที่สุดแล้วหานซือฉีจึงค่อยๆ ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
———————————————
วันถัดมา
“ป๊ะป๋า พวกเราจะไปรับหม่ามี๊แล้วไปกินสเต็กด้วยกันจริงๆ เหรอ!?” ฝูซิงถามแบบนี้มาเป็นสิบครั้งแล้ว
“ใช่แล้ว” และหานซือฉีก็ยังคอยลูบหัวลูกชายของเขาด้วยความรักเช่นเดียวกันมาตลอดทั้ง 10 ครั้ง
“เยี่ยมไปเลย! ป๊ะป๋าใจดีที่สุดเลยยย!” เด็กน้อยโผเข้ากอดและหอมแก้มหานซือฉีในทันที
“อ๊ะๆ ไม่ได้นะ ป๊ะป๋ากำลังขับรถอยู่!” เขารีบละมือมาจับพวงมาลัยให้มั่นอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้น
ฝูซิงกลับไปนั่งที่เบาะของตนและปรบมือด้วยความตื่นเต้น “ป๊ะป๋า เราไม่ได้กินข้าวกับหม่ามี๊มานานแล้วนะ เราควรหาอะไรไปเซอร์ไพร์สหม่ามี๊หรือเปล่า?”
“ลูกคิดว่าควรเอาอะไรไปให้ดีล่ะ?”
“ฝูซิงเห็นผู้หญิงในทีวีชอบดอกไม้มากๆ !”
“งั้นก็ตามนั้น” หานซือฉีขับรถไปจอดตรงหน้าร้านดอกไม้ก่อนจะหยิบเอาช่อดอกกุหลาบช่อใหญ่ขึ้นมาไว้ที่เบาะหลัง ก่อนจะมุ่งตรงไปยังเจี่ยเย่ฮัวหยวนต่อตามแผนที่วางไว้
“กลิ่นหอมแบบนี้ หม่ามี๊จะต้องชอบมากๆ แน่!” ฝูซิงตื่นเต้นมากขึ้นและจินตนาการถึงภาพของผู้เป็นแม่ที่จะต้องดีใจแบบสุดๆ เมื่อได้รับดอกไม้ช่อนี้
ทว่า เมื่อไปถึงที่ห้อง ฝูเจิ้งเจิ้งกลับรับดอกไม้ไว้ด้วยความนิ่งเฉย ไม่มีการแสดงออกถึงความดีใจใดๆ แต่ในใจเธอนั้นมันเป็นแบบที่ฝูซิงจินตนาการไว้ เธอดีใจมากๆ เพียงแค่ซ่อนอารมณ์ต่างๆ ไว้ภายในใจตั้งแต่เห็นดอกไม้ถูกยกออกมาจากรถแล้ว
“หม่ามี๊ไม่ชอบดอกไม้เหรอ? ป๊ะป๋าอุตส่าห์เลือกมาแบบพิเศษให้เลยนะ!” เจ้าตัวเล็กถามด้วยความสงสัยขณะที่โอบกอดเธอไว้ด้วย
“ไม่จ้ะ หม่ามี๊ชอบแค่ฝูซิงเท่านั้น” มองไปยังใบหน้าผิดหวังของเจ้าลูกชายก็อดหัวเราะไม่ได้ขณะที่หยิกแก้มเขาไปด้วย
“แต่ฝูซิงเห็นสาวๆ ในทีวีชอบดอกไม้กันนี่นา!” เมื่อพวกเขาลงมาจากรถแล้ว ฝูซิงก็นำดอกไม้ติดมือมาด้วยก่อนจะส่งมันให้หานซือฉี “ป๊ะป๋า สาวๆ ในทีวีชอบดอกไม้ก็ต่อเมื่อหนุ่มๆ เป็นคนให้ด้วยตัวเอง”
“ฝูซิง!” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเดินปรี่เข้าร้านอาหารไปพร้อมกับฝูซิง โดยแสร้งทำเป็นไม่มองไปยังอีกคนที่ยังยืนงงอยู่
หานซือฉีมองมายังดอกไม้สลับกับสองแม่ลูก เขายิ้มมุมปากน้อยๆ ก่อนจะเดินตามเข้าร้านอาหารไป
“โห ดอกไม้สวยมากๆ เลยนะครับ” ขณะที่พวกเขากำลังสั่งอาหารนั้น บริกรหนุ่มก็อดที่จะอุทานออกมาไม่ได้ราวกับว่าเขาเห็นหานซือฉีมอบดอกไม้นั้นให้ฝูเจิ้งเจิ้งด้วยตนเอง
“ป๊ะป๋าซื้อมันให้หม่ามี๊ล่ะ!” ฝูซิงรีบตอบแทนด้วยความภาคภูมิใจ
“เป็นครอบครัวสามคนที่มีความสุขน่าดูเลยสินะครับเนี่ย” เขามองหานซือฉีด้วยความนับถือในขณะเดียวกันก็มองฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความชื่นชมด้วย
“เอาดอกไม้ไปเก็บดีกว่า ฉันว่ามันเด่นเกินไป! มันจะไม่ดีถ้า….เอ่อ…คนอื่นมาเห็นน่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งเหลียวมองไปรอบๆ ตัวก่อนจะพูดด้วยเสียงเบา
“เด่นแล้วไม่ดีตรงไหน?” หานซือฉีรู้อยู่แล้วว่าเธออยากจะพูดอะไร แต่เขาก็ไม่ได้สนใจนักหรอก
“แล้วไม่เด่นมันไม่ดีตรงไหนน่ะ!” เธอกลอกตาไปมองเขา
หานซือฉีที่เห็นเช่นนั้นก็เพียงยิ้มอย่างอ่อนโยนให้และไม่ได้สนใจเธอ เขาหันกลับไปป้อนอาหารให้ฝูซิงอย่างใจเย็นแทน
ฝูเจิ้งเจิ้งที่หิวแล้วเหมือนกันจึงเริ่มทานอาหารของตนเองบ้าง เมื่อพวกเขากำลังจะทานมื้อนี้เสร็จแล้วนั้นเอง หญิงสาวก็เหลือบไปเห็นคนคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามายังพวกตนด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว และเมื่อเธอมองให้ดี ใบหน้าสวยก็ต้องช็อกไปในทันที
—————————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
ชงมาขนาดนี้ ตัวร้ายชัวร์ ชัวร์มากๆ มาลุ้นตอนต่อไปกันดีกว่า