ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 103 ใครกันแน่คือคู่แท้ของเขา
บทที่ 103 ใครกันแน่คือคู่แท้ของเขา
คนที่เดินเข้ามานั้นก็คือ เฉียวเค่อเหรินที่มีสีหน้าโกรธจัด!
“ฉ-เฉียวเค่อเหริน!?” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบลุกขึ้นด้วยท่าทีเป็นกังวล
ในขณะเดียวกัน หานซือฉีนั้นกลับไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด เขาไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นและก้มหน้าก้มตาหั่นสเต็กให้ฝูซิงต่อไป
เฉียวเค่อเหรินรีบเดินตรงมายังทั้งสาม ยิ่งเธอเห็นดอกกุหลาบช่อโตที่วางอยู่ข้างๆ ฝูเจิังเจิ้ง มันก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของเธอฉุนเฉียวมากขึ้นไปอีก เธอหยิบกุหลาบช่อนั้นมาโยนลงพื้นอย่างไม่ใยดี จากนั้นเธอก็จ้องเขม็งไปยังฝูเจิ้งเจิ้ง “นังสารเลว! แกบังอาจมาอ่อยสามีของฉันอีกแล้วงั้นเหรอ!”
สามี?
สีหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งเปลี่ยนไปช้าๆ เธอหันไปมองหานซือฉี แล้วก็พบว่าเขานั้นไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้เสียด้วย
เห็นเช่นนั้นเฉียวเค่อเหรินก็รีบเข้าไปเอนซบเขาแล้วพูดอย่างภาคภูมิใจ “อ๋อ ฉันยังไม่ได้บอกเธอสินะ ฝูเจิ้งเจิ้ง เมื่อวานฉันกับซือฉีน่ะ พวกเรา…”
เธอจงใจหยุดพูดและหันมองผู้ที่ตนซบอยู่ด้วยความเหนียมอายครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “พวกเรากำลังจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ เพราะงั้นเธอหมดโอกาสแล้ว! ฉันแนะนำให้ยอมแพ้ซะตั้งแต่ตอนนี้”
เมื่อวาน? ปฏิบัติตาม 1 ในปัจจัยพื้นฐานในการดำรงค์ชีวิตของมนุษย์กันไปแล้วงั้นเหรอ?
ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามสังเกตท่าทีของหานซือฉีเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่
“ป้าใจร้าย! ห้ามมาว่าหม่ามี๊ของฝูซิงนะ!” ฝูซิงลุกขึ้นมาและขึ้นไปยืนเท้าเอวบนเก้าอี้
“โอ้ เด็กเวรที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อแท้ๆ ก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอเนี่ย?” เฉียวเค่อเหรินเหลือบมองและแสยะยิ้มให้
อารมณ์โกรธของฝูเจิ้งเจิ้งมันระเบิดออกมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายที่กระทบถึงลูกชายของเธอ หญิงสาวผลักร่างของเฉียวเค่อเหรินอย่างแรงก่อนจะพูดขึ้น “ถ้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรก็ไม่ต้องพูดแล้วไสหัวกลับเข้าท้องแม่ของเธอไป! ไว้รอสมองของเธอโตเต็มกะโหลกค่อยออกมาลืมตาดูโลกใหม่ซะ!”
“นังนี่! แกกล้าผลักฉันเหรอ!” สายตาของเฉียวเค่อเหรินเหลือบไปเห็นชาร้อนที่อยู่ตรงหน้าฝูเจิ้งเจิ้ง เธอรีบหยิบขึ้นมาและตั้งใจเทใส่หน้าฝูเจิ้งเจิ้ง แต่คิดเหรอว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะยอมให้ทำเช่นนั้น? เธอยื่นมือไปปัดมือของอีกฝ่ายที่จับแก้วออก และทำให้ทั้งชาร้อนกับแก้วตกลงไปบนพื้นแทนพร้อมๆ กัน
เมื่อตระหนักได้ว่าตนเองไม่ใช่ศัตรูของฝูเจิ้งเจิ้ง เฉียวเค่อเหรินก็หันไปอ้อนหานซือฉีอีกครั้งด้วยการพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ซือฉีคะ พวกเราอยู่ด้วยกันเมื่อวานแท้ๆ แต่วันนี้ซือฉีกลับมาอยู่กับนังแพศยานี่ ฉันทำอะไรให้ไม่พอใจเหรอคะ?”
พูดออกไปดังนั้นแล้ว เฉียวเค่อเหรินก็เหลือบมองฝูเจิ้งเจิ้งและกัดฟันแน่นด้วยความไม่พอใจ ราวกับจะกลืนกินเธอทั้งตัว
เฉียวเค่อเหรินเร่งเร้าเขาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเขายังคงนิ่งเฉย “ซือฉี ฉันรู้นะว่าคุณชอบเด็ก แต่เด็กที่รับมาเลี้ยงน่ะ มันไม่กตัญญูเท่าลูกแท้ๆ หรอกนะคะ! เดี๋ยวฉันจะตั้งท้องให้คุณเอง เอาแบบลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองเลยก็ยังได้!”
“นี่หล่อน…”
“พาซิงซิงไปที่รถก่อน” หานซือฉีรีบขัดคอฝูเจิ้งเจิ้งไว้ก่อนพร้อมกับส่งฝูซิงให้เธอด้วย
ฝูเจิ้งเจิ้งจึงรับฝูซิงไว้และรีบออกจากร้านไปด้วยความรู้สึกไม่สบายใจทันที
“ซือฉีคะ!” เฉียวเค่อเหรินเหลือบมองฝูเจิ้งเจิ้งและลูกกลับออกไปจากร้านอาหารแห่งนี้ด้วยความภาคภูมิใจก่อนจะคว้าแขนของหานซือฉีมากอดไว้
หานซือฉีค่อยๆ แกะเธอออกจากแขนของเขาก่อนจะหยิบเอาซองเอกสารจากภายในเสื้อโค้ทและส่งมันให้อีกฝ่าย
“นี่คืออะไรเหรอคะ?” เฉียวเค่อเหรินใจเต้น
“เปิดดูสิ”
เธอเปิดซองนั้นออกมาด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อเห็นว่าอะไรอยู่ในนั้น ใบหน้าของเธอก็ซีดเซียวลงมาในทันที
ภายในนั้นเป็นภาพของเฉียวเค่อเหรินและชายอีกคนหนึ่งที่กำลังนัวเนียกันอยู่ในที่แห่งหนึ่ง และชายคนนั้นไม่ใช่หานซือฉี!
หญิงสาวค่อยๆ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว “น-นี่มันเป็นไปไม่ได้…มันไม่ควรเป็นแบบนี้สิ…มันเป็นไปไม่ได้!”
เฉียวเค่อเหรินเข้าไปกอดหานซือฉีไว้แล้วร้องออกมาอย่างขมขื่น “มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? ก็เมื่อวาน…”
เขาผลักเธอออกไปและแสดงให้เห็นชัดเจนว่ารังเกียจเธอขนาดไหน เฉียวเค่อเหรินมองไปยังชายผู้เป็นที่รักด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอพลันความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา เธอแทบไม่อยากเชื่อในความคิดตนเอง ในตอนนี้เธออยากจะกรีดร้องออกมาให้ดังๆ แต่ก็ต้องพยายามคุมสติและอารมณ์เอาไว้ภายในริมฝีปากที่สั่นเทา “ร-หรือว่าคุณเป็นคนทำงั้นเหรอ? ซือฉี…คุณใส่ยาลงไปในอาหารที่ฉันกินเมื่อวานเหรอ?…ทำไมถึงทำแบบนั้นล่ะ? ฉันรักคุณมากเลยนะ ทำไมคุณถึงทำแบบนี้กับฉัน!”
หานซือฉีพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นกว่าปกติ “ฉันน่ะ…เกลียดการโดนข่มขู่มากที่สุดเลย”
“คุณก็เลยแก้แค้นฉันด้วยวิธีแบบนี้น่ะเหรอ!?” เฉียวเค่อเหรินเอ่ยถามด้วยร่างกายที่สั่นเทิ้ม
“ไม่ใช่ว่าเธอเองก็ทำแบบนี้กับฝูเจิ้งเจิ้งหรือไง? ฉันเองก็แค่ลองทำดูบ้างเฉยๆ” หานซือฉีตอบอย่างไม่แยแส หลังจากที่เขาเหลือบมองร่างที่อยู่ด้านนอกแล้ว เขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้นมา “ฉันจะค่อยๆ ให้เธอรับรู้ถึงสิ่งต่างๆ ที่เธอทำไว้กับฝูเจิ้งเจิ้งช้าๆ ทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่าง”
หัวใจของเฉียวเค่อเหรินเหมือนแตกสลายไปทั้งดวง “งั้นรูปบนอินเทอร์เน็ตนั่น…ก็ฝีมือคุณงั้นเหรอ? แล้วที่ฉันท้องเสียนั่นก็ด้วย?”
“คิดว่ายังไงล่ะ?” เขาตอบเธอด้วยความเฉยชา
ด้วยความจริงตรงหน้า ขาเธอจึงอ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ ร่างของเฉียวเค่อเหรินก็ทรุดลงกับพื้น เขาที่เห็นดังนั้นก็หันไปช่วยพยุงร่างนั้นขึ้นไปนั่งบนที่นั่งดีๆ
เมื่อจัดการให้เธอนั่งเรียบร้อยแล้ว หานซือฉีก็หยิบซองเอกสารบนพื้นนั้นขึ้นมาวางตรงหน้าเธอด้วย เขาค่อยๆ ปาดน้ำตาให้เธอและพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “อย่าให้ตาเธอแดงจากการร้องไห้ พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของเทศมนตรีเฉียว และฉันเองก็จะไปร่วมงานด้วย ฉันคิดว่าเธอน่าจะรู้ว่าต้องทำตัวยังไง”
เฉียวเค่อเหรินพยักหน้าราวกับเครื่องจักร
เขาลุกขึ้นด้วยความพึงพอใจ หญิงสาวเอื้อมมือไปจับแขนของเขาไว้อีกครั้งก่อนจะถามด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ซือฉี…พวกเรายังกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งได้หรือเปล่า?”
“เธอคิดว่าตัวเธอในตอนนี้ยังอยู่ในจุดที่คิดเรื่องนั้นได้อีกเหรอ?” หลังจากที่พูดเช่นนั้น หานซือฉีก็ดึงมือของเขาออกและเดินออกจากร้านไปทันที
ฝูเจิ้งเจิ้งที่ยืนรออยู่ที่รถของหานซือฉีพร้อมกับฝูซิงนั้น ทันทีที่เธอเห็นอีกฝ่ายออกมาด้วยรอยยิ้ม มันก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังด้านหลังของเขาแล้วก็พบว่าเฉียวเค่อเหรินไม่ได้ตามมาด้วย
เขาทำให้เธอพึงพอใจได้แล้วงั้นเหรอ?
เธอเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีซักเท่าไหร่ มันเลยทำให้เธอสงสัยมากๆ ว่าเขาและเธอคนนั้นมีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่?
“ซิงซิง กลับบ้านกันเถอะ” หานซือฉีเปิดประตูและพาฝูซิงขึ้นรถมา
“ป๊ะป๋า ห้ามพูดกับน้าเฉียวอีกแล้วนะ! ฝูซิงไม่ชอบ!” ฝูซิงพูดเสียงดัง
“เข้าใจแล้ว ป๊ะป๋าจะจำสิ่งที่ซิงซิงพูดเอาไว้นะ” เขายิ้มแล้วค่อยพาตนเองเข้ารถไปด้วย
เขาไม่อายบ้างหรือไงที่พูดโกหกกับเด็กน่ะ? น่ารังเกียจชะมัด
หลังจากที่กลับไปยังเจี่ยเย่ฮัวหยวนแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็พบว่าผู้ที่มาเปิดประตูรับนั้นคือเฉินเฉี่ยวหลาน ซึ่งทำเอาเธอประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“นายท่านบอกว่าซิงซิงจะอยู่ที่นี่น่ะค่ะ เพราะงั้นฉันเองก็เลยมาที่นี่ด้วย” เฉินเฉี่ยวหลานตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ตลอดเวลาที่ฝูเจิ้งเจิ้งและฝูซิงอยู่ในห้อง พวกเธอทั้งสองเล่นกันราวกับว่าหานซือฉีนั้นเป็นมนุษย์ล่องหน ไม่มีใครเอ่ยถาม ไม่มีใครชวนเล่นจนกระทั่งฝูซิงเหนื่อยไปเอง
ในขณะที่เธอกำลังจะนอนกับฝูซิงนั้นเอง หานซือฉีก็ตะโกนขึ้นมาจากด้านนอก “ป้าเฉิน พาซิงซิงไปนอนด้วยที เจิ้งเจิ้งดูเหมือนจะมีไข้อีกแล้ว”
“ฉันเปล่ามีไข้นะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งหันไปจ้องเขาในทันที
เฉินเฉี่ยวหลานที่มาตามคำสั่งรีบคว้าตัวฝูซิงไว้อย่างรวดเร็ว
ฝูเจิ้งเจิ้งที่อยากจะหยุดอีกฝ่ายเอาไว้ กลับต้องเป็นฝ่ายที่โดนหยุดไว้เสียเอง
“นายจะทำอะไรน่ะ? ฝูซิงไม่ได้มาที่นี่ง่ายๆ นะ ทำไมถึงไม่ยอมให้เขานอนกับฉัน?” เธอหันไปถามอย่างโกรธเคือง
“เตียงนี่มันเล็กไปสำหรับนอนสามคนนะ” หานซือฉีตอบขณะปิดประตูเบาๆ
“ออกไปเลย!”
เขาไม่สนใจความโกรธของเธอแต่อย่างใด กลับกันเขายังเดินเข้ามาและนอนลงไปบนเตียงข้างๆ เธออีกด้วย
“ฉันบอกให้นายออกไป หูหนวกหรือไงน่ะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งเตะเขาทว่าขาของเธอก็โดนเขาจับได้อย่างรวดเร็ว
เธอหยิกแขนของเขาอย่างแรงพร้อมกระตุกขากลับก่อนจะขึ้นเสียงอย่างเกรี้ยวกราด “ฉันไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะสนิทสนมกับนายนะ! ออกไปให้ไกลๆ เลย! ไกลเท่าไหร่ได้ยิ่งดี!”
“ฉันไม่ชอบที่จะออกไปหรอกนะ สิ่งเดียวที่ฉันชอบน่ะ คือ ‘เข้าไป’ ต่างหาก” เขาพูดยียวนเธอไปแบบนั้นไม่พอ ด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ของเขา เจ้าตัวยังค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้เธอด้วยรอยยิ้มที่มีอะไรแอบแฝงอีกด้วย
คิดเหรอว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะไม่เข้าใจคำว่า ‘เข้าไป’ ของเขา? แล้วยิ่งคิดถึงสิ่งที่เฉียวเค่อเหรินพูด เธอก็ยิ่งโกรธอีก “หึ…นายชอบเข้ามากกว่าสินะ? แล้วการเข้าไปแบบเมื่อวาน มีความสุขดีไหมล่ะ?”
“เมื่อวานเหรอ? มีอะไรที่น่าเร้าใจที่เราทำกันเมื่อวานด้วยงั้นเหรอ?” หานซือฉีทำเป็นเฉไฉ
เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มไม่สำนึกนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ “นายรู้อยู่แล้วว่าฉันพูดถึงอะไร!”
“แล้วเธอหึงหรือยังไง?”
“หา? ฉันเป็นใคร? แล้วฉันมีสิทธิ์หึงด้วยหรือยังไง?” เธอตาแดงก่ำด้วยความโกรธ
“เอาน่าๆ ก็แค่ล้อเล่น ฉันสนใจแค่เธอคนเดียว” หานซือฉีเขยิบเข้าไปใกล้และพยายามจะกอดเธอไว้ แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็ผลักเขาออกอีกครั้ง
“หานซือฉี! นายไม่กล้าแม้จะยอมรับว่าทำอะไรลงไป นายยังเป็นลูกผู้ชายอยู่ไหม!?”
“มีแค่เธอเท่านั้นแหละที่รู้ว่าฉันเป็นลูกผู้ชายจริงหรือเปล่า” เขาจับแขนของเธอและดึงร่างที่ไม่ทันตั้งตัวนั้นเข้ามาในอ้อมกอด “ถ้าเธอไม่เชื่อ ก็ลองสัมผัสหัวใจของฉันดู มันกำลังเต้นให้เธอฟังคนเดียวเลยนะ”
“ฉันจริงจังนะ!”
“ฉันก็ไม่เคยจริงจังขนาดนี้มาก่อน!” เมื่อเข้าใกล้เธอได้แล้ว หานซือฉีก็กัดเข้าไปที่ใบหูของสาวขี้โวยวายตรงหน้าเบาๆ พลางกระซิบด้วยเสียงนุ่ม “เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวในใจฉันเลยนะ”
บรรยากาศที่หวานชื่นค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ และเมื่อฝูเจิ้งเจิ้งรับรู้ได้ถึงบรรยากาศเช่นนี้ อารมณ์ที่เคยขุ่นมัวก็พลันจางหาย ความใกล้ชิดมันทำให้เธอใจเย็นลง หญิงสาวเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ฉันไม่อยากจะได้ยินแบบนั้น…คนเดียวที่ฉันแคร์ก็คือฝูซิง วันนี้ที่ไปกินข้าวด้วยกันฉันก็ใจกล้ามากพอแล้ว แถมฝูซิงยังไปว่าเธอคนนั้นอีก… ฉันกลัวว่าเธอจะกลับมาแล้วทำฝูซิงคืนบ้าง…”
“ไม่ต้องกลัว”
“ฉ-ฉันต้องหาเครื่องรางให้ฝูซิง!” ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามจะเปลี่ยนเรื่องเมื่อรู้สึกว่าตนกำลังคล้อยตามอีกฝ่ายอยู่
หานซือฉียิ้มก่อนจะพูดกับเธอ “ฉันจะเป็นเครื่องรางให้ซิงซิงเอง”
“ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ! เครื่องรางมันได้ผลจริงๆ! เพราะถ้าฉันไม่ได้พกสร้อยคอที่ได้มาจากยายของฉันนั่นล่ะก็ ฉันจะได้เจอนายรวมไปถึงหนีจากคนไม่ดีได้ยังไง? นายเองก็ควรจะเชื่อในความเหลือเชื่อนี้ด้วย ยายฉันบอกเองเลยนะว่าสร้อยคอเส้นนั้นได้รับการปลุกเสกเอาไว้!”
“งั้นในเมื่อมันได้ผล ก็ให้ฝูซิงสวมมันไว้สิ”
“ถ้างั้นนายก็ไปเอามาให้ฉันสิ!”
“ให้ฉันไปเอา? จากไหนล่ะ?”
“มันอยู่กับนายไม่ใช่เหรอ? พี่ใหญ่ของนายบอกว่าเขาให้นายมาแล้ว” ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามหลอกถามความจริงจากเขา
“พี่ใหญ่ของฉันพูดแบบนั้นงั้นเหรอ? จำไม่เห็นได้เลย ไว้จะไปถามให้อีกทีก็แล้วกัน” หานซือฉีค่อยๆ ปล่อยมือออกจากเธอพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“ง-งั้นสงสัยฉันฟังผิดเอง!” เธอรีบเข้าไปกดมือของเขาที่ถือโทรศัพท์ลงก่อนเลย
ดูเหมือนว่าสร้อยคอจะไม่อยู่ในมือเขาจริงๆ รู้แบบนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็แอบผิดหวังอยู่ในใจลึกๆ
เขายกมือขึ้นโอบไหล่เธอเอาไว้อีกครั้งและพูดอย่างอ่อนโยน “ถ้างั้น เดี๋ยวฉันพาเธอไปหาเครื่องรางเพิ่มอีกซักชิ้นให้ฝูซิงเมื่อมีเวลาก็แล้วกัน”
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเขยิบตัวออกห่างเขาแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ไม่ต้องรบกวนนายหรอก ฉันจะไปหามันด้วยตนเอง! เพราะงั้นคุณหานก็เชิญอยู่เสวยสุขกับภรรยาแสนสวยเมื่อยังมีเวลาไปเลยก็แล้วกันนะคะ”
ได้ยินฝูเจิ้งเจิ้งเปลี่ยนเรื่องและโทนเสียงเช่นนั้น คราวนี้หานซือฉีก็เริ่มแสดงสีหน้าทุกข์ใจออกมาบ้าง “ฉันบอกเธอจนปากเปียกปากแฉะไปแล้ว เธอฟังที่ฉันพูดบ้างหรือเปล่า?”
หญิงสาวตอบกลับด้วยอารมณ์ที่เริ่มลุกเป็นไฟ “ฉันไม่ฟังอะไรทั้งนั้น! สิ่งเดียวที่ฉันรู้คือนายเป็นคู่หมั้นของใครบางคน และคู่หมั้นของใครบางคนก็ไม่ควรจะมาอยู่กับผู้หญิงอื่นแบบนี้!”
ถึงแม้ว่าเธอจะรู้และเข้าใจเรื่องที่หานซือฉีต้องแสร้งทำเป็นอยู่กับเฉียวเค่อเหรินก็ตาม แต่จะให้เธอยอมรับความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้ที่นับวันก็ยิ่งจะสนิทสนมกันมากขึ้นตลอดได้อย่างไรกัน?
ยังไงเสียทั้งสองก็ต้องลงเอยที่รักกันอยู่ดีไม่ช้าก็เร็ว แล้วเธอเป็นใครล่ะ?
“ฉันไม่ได้…” ในขณะที่หานซือฉีอธิบาย ฝูเจิ้งเจิ้งก็พูดตัดบทขึ้นมา
“ฉันไม่อยากจะฟังข้อแก้ตัวอะไรทั้งนั้น! ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้ฉันปวดหัว!” ฝูเจิ้งเจิ้งตะโกนเสียงดังพร้อมชี้ไปที่ประตู “เชิญออกไปซะ! จะไปไหนก็ไป!”
หานซือฉีหันมองเธอด้วยหน้าที่ซีดเผือดลงไปอยู่พักหนึ่ง เขาลุกขึ้นโดยไม่พูดอะไรก่อนจะจากไปโดยไม่หันมามอง
เธอหยิบหมอนแล้วปาทิ้งท้ายไปที่ประตู
แม้จะพูดและไล่เขาไปเช่นนั้น แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยังคงโหยหาความเจ้าเล่ห์และความหวานอันอบอุ่นที่เขามอบให้อยู่เสมอโดยที่ไม่รู้สาเหตุ
บ้าเอ๊ย! จะไปตามหาสร้อยคอได้ที่ไหนนะ?
สิ่งแรกที่เธอจะทำหลังจากที่ได้สร้อยคอแล้วล่ะก็ คงไม่พ้นการหนีออกจากเมือง B และชายผู้น่ารังเกียจคนนี้พร้อมกับฝูซิงแน่!
หัวใจที่บอบช้ำของฝูเจิ้งเจิ้งกำลังร้องไห้และตีโพยตีพายทุกสิ่งไปเอง
ฉันไม่ได้รักเขา! ฉันไม่ได้รักเขา! ไม่ได้รักเขา! ฉัน-ไม่-ได้-รัก-เขา!
ร่างบางค่อยๆ เอนลงไปบนที่นอนก่อนจะทุบลงไปที่หมอนนั้นอยู่หลายที
และในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น มันเป็นสายจากสวี่เหยียน
“เจิ้งเจิ้ง ข่าวดีล่ะ!”
——————————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
หล่อนรักเค้าโว้ยยยยยยยยยยย รักแบบถอนตัวไม่ขึ้น แต่หล่อนปากแข็งงงงงงงงงงงงงงง