ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 105 หนีไปกับคนรักของเธอเลยไป!
“น-นาย…” ขาทั้งสองข้างของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นไร้เรี่ยวแรงจนแทบจะล้มลงไปกับพื้นทันที
หานซือฉีไม่ได้สนใจจะเดินเข้าไปประคองเธอขึ้นมา นอกจากนั้นเขายังพูดตอกย้ำเธออีก “แบบนี้ยังกล้าพูดว่าเธอไม่รู้จักเขาอยู่อีกหรือเปล่า?”
“นายทำบ้าอะไรกับเขาลงไปน่ะ…?” ร่างนั้นนั่งลงไปกับพื้นอย่างอ่อนล้า ฝูเจิ้งเจิ้งแทบจะสูญเสียกำลังในการมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว
“ฉันโยนมันลงไปเป็นอาหารปลาในแม่น้ำหลิวอวิ๋นแล้ว” หานซือฉีพูดอย่างไม่แยแส
“นายมันโหดร้าย! ฆาตกร!” เธอลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งเข้าทุบตีใส่คนตรงหน้าด้วย “เอาพี่ชายของฉันคืนมา!”
ชายหนุ่มจับมือที่เข้ามาทุบตีของเธอเอาไว้ก่อนจะเหวี่ยงออกไปแรงๆ อย่างไร้ความเมตตาจนเธอล้มลงไปกับพื้นใหม่อีกรอบ จากนั้นเขาก็เหลียวมองเธอแล้วจะพูดต่อ “คนรักของเธองั้นเหรอ? ฝูเจิ้งเจิ้ง เลิกเสแสร้งได้แล้ว! เล่าความจริงออกมาให้หมด!”
“หานซือฉี นายฆ่าพี่ชายของฉัน! ฉันจะไม่มีวันยอมรามือง่ายๆ แน่! ไม่มีวัน!” หญิงสาวทรุดตัวลงไปกับพื้น ยังคงพร่ำเพ้อถึงพี่ชายอยู่แบบนั้น
เขาค่อยๆ ย่อตัวลงมาตรงหน้าเธอแล้วหยิกแก้มนั้นแรงๆ ขณะที่เยาะเย้ยเธอไปด้วย “นี่เป็นจุดจบที่คนหักหลังต้องพบเจอ! แต่เพราะฝูซิงเป็นลูกชายของฉัน รวมไปถึงครั้งหนึ่งพวกเราเคยรักกันมาก่อน ฉันจะยอมปล่อยให้เธอไป พาฝูซิงแล้วก็ตัวเธอเองออกจากเมือง B ไปซะ! จะไปไหนก็ไป! แล้วอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก!”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้นและโทรศัพท์หาใครคนหนึ่ง “พาฝูซิงไปที่สถานีรถไฟตอนนี้เลย! ไม่ต้องถาม! รีบๆ ทำซะ!”
เขาเดินจากไปโดนไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เพียงแค่พูดกับหลินหยงเฉิงที่อยู่ด้านหลัง “ส่งเธอไปที่สถานีรถไฟซะ”
ขณะที่นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่บนพื้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็มองตามหลังหานซือฉีไปด้วยความเกลียดชังตลอด ริมฝีปากของเธอเต็มไปด้วยเลือดแดงฉานจากการที่เธอกัดมันไว้อย่างรุนแรง
“คุณฝูครับ ไปกันเถอะ อย่าลืมว่าคุณยังมีฝูซิงอยู่นะ” หลินหยงเฉิงเดินเข้ามาพูดด้วยน้ำเสียงเบา
ฝูซิง!
แสงแห่งชีวิตสาดเข้ามาภายในดวงตาอันริบหรี่ของฝูเจิ้งเจิ้งอีกครั้ง! เธอต้องรีบส่งฝูซิงออกจากเมือง B ให้ได้ก่อน จากนั้นก็จะมาคิดบัญชีกับหานซือฉีในภายหลัง!
คิดได้ดังนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็ลุกขึ้นมาในขณะที่ขายังสั่นเทาอยู่ หลินหยงเฉิงเองก็ได้แค่ยืนมองและเดินนำเธอไปขึ้นรถเพื่อขับไปส่งยังสถานีรถไฟที่ได้นัดหมายไว้
หลังจากที่ฝูเจิ้งเจิ้งออกไปกับหลินหยงเฉิงแล้ว เฉียวเค่อเหรินก็เดินออกมาจากต้นไม้ที่ซ่อนอยู่ตลอดเวลา เธอหันมองไปยังทิศทางที่หานซือฉีจากไปก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง
หานซือฉี ไม่ใช่ว่านายอยากจะล้างแค้นฉันให้ฝูเจิ้งเจิ้งหรือยังไง? ไหนนายเปรียบเธอเป็นเหมือนผลแอปเปิ้ลที่ต้องทะนุถนอมไม่ใช่เหรอ? หึ สมควรแล้ว! นี่แหละคือการลงโทษ!
นายคิดเหรอว่าบนโลกใบนี้น่ะ จะยังมีคนที่รักและเป็นห่วงนายมากกว่าฉันอีก?
ไม่มีทาง!
ฉันขอสาปแช่งไว้เลยว่าจะไม่มีใครรักนายจริงๆ ยกเว้นฉันคนนี้ เฉียวเค่อเหริน!
เสียงหัวเราะของเฉียวเค่อเหรินดังก้องไปทั่ว เธอรู้สึกพอใจที่สถานการณ์มันมาถึงขั้นนี้ได้โดยที่เธอไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น
หญิงสาวหัวเราะกลิ้งลงไปกับพื้นด้วยความสะใจ ไม่รู้ว่านานขนาดไหนแล้วที่หัวเราะอยู่แบบนี้ ในที่สุดเธอก็ลุกขึ้นและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาใครบางคน หลังจากเมื่อวางสายไปแล้ว เธอก็เดินโซซัดโซเซและเรียกชื่อของหานซือฉีไปตลอดทาง
——————————————————————
ฝูเจิ้งเจิ้งไปถึงสถานีแล้ว และเธอกำลังรออยู่ที่โถงใหญ่ในสถานีรถไฟแห่งนั้น
“หม่ามี๊ หม่ามี๊! ฝูซิงอยู่นี่!” ขณะที่โดนอุ้มโดยหมินจงจู่ ฝูซิงที่จำรูปร่างของฝูเจิ้งเจิ้งได้ขึ้นใจเพียงแค่กวาดตามองก็รีบโบกมือและร้องเรียกเธอในทันที
“เจิ้งเจิ้ง เธอกับซือฉีกำลังเล่นอะไรกันอยู่เนี่ย? จะไปไหนกันกลางค่ำกลางคืนแบบนี้?” หมินจงจู่ถามขึ้นด้วยความรีบร้อน
เธอรีบรับฝูซิงมาไว้ในอ้อมแขนตนและส่ายหน้าให้เขาพร้อมกับฝืนยิ้มออกมา
หมินจงจู่มองไปยังหลินหยงเฉิงที่เป็นฝ่ายพูดแทน “ผู้จัดการหมินครับ ผมจะพาคุณฝูและลูกชายของเธอขึ้นรถไฟแล้ว เพราะงั้นคุณคงต้องกลับไปถามคุณหานเองแล้วล่ะครับ”
เขาเหลือบมองหลินหยงเฉิงก่อนจะหันไปมองฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความหนักใจที่ช่วยอะไรไม่ได้
ในตอนนั้นเอง เหล่าฝูงชนที่รอรถไฟอยู่ก็เริ่มลุกยืนขึ้นมาเมื่อเห็นรถไฟที่พวกเขารอนั้นเข้าเทียบชานชาลา หลินหยงเฉิงเองก็รีบอุ้มฝูซิงขึ้นและพาฝูเจิ้งเจิ้งเดินตามไปขณะพูดด้วยเสียงเข้ม “คุณฝูครับ รถไฟมาแล้ว เดี๋ยวผมจะพาไปยังที่นั่งที่จองไว้ เชิญตามมาได้เลยครับ”
หญิงสาวหันไปมองหมินจงจู่ที่อยู่ด้านหลังโดยที่ไม่ได้พูดอะไร เธอรีบตามหลินหยงเฉิงไปติดๆ และแทรกตัวเข้าไปในฝูชนเหล่านั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลินหยงเฉิงพาทั้งสองมาส่งภายในรถไฟตู้นอนก่อนจะเดินออกไป
“หม่ามี๊ พวกเรากำลังจะกลับบ้านกันเหรอ?” ฝูซิงถอดรองเท้าก่อนจะปีนขึ้นเตียงไปด้วยความตื่นเต้น
มองไปยังลูกชายที่ดูจะตื่นเต้นสุดๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็อดที่จะร้องไห้ออกมาไม่ได้
เธอน่ะไม่ได้ถามหลินหยงเฉิงเสียด้วยซ้ำว่าพวกเธอจะถูกส่งไปที่ไหน แต่ถ้าปลายทางนั้นจะช่วยพาเธอและฝูซิงออกจากสถานที่ที่น่ารังเกียจนั่นได้ เธอก็พร้อมที่จะไปได้เสมอ
ฝูซิงรีบลุกขึ้นและเข้าไปเช็ดน้ำตาให้ฝูเจิ้งเจิ้งก่อนจะพูด “หม่ามี๊ หม่ามี๊ไม่อยากแยกจากป๊ะป๋าเหรอ? งั้นพวกเราค่อยกลับไปหาป๊ะป๋าหลังจากกลับบ้านซัก 2-3 วันไหม?”
ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้ตอบอะไรนอกเสียจากดึงตัวฝูซิงเข้ามากอดและร้องห่มร้องไห้ต่อไป
เมื่อตอนที่เธอเห็นพี่ชายของเธอ เจิ้นเฉ่า นั้นเธอดีใจมากๆ ทว่าเมื่อเห็นหานซือฉีปรากฏตัวด้วยสีหน้าไม่พอใจ เธอก็จำใจต้องพูดออกไปว่า “คุณจำคนผิดแล้ว”
เธอกลัวว่าหานซือฉีจะรู้ว่าเจิ้นเฉ่านั้นเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเธอ และเขาจะสามารถสืบไปถึงต้นตอของเธอได้จนรู้ว่าเธอเป็นสายสืบในที่สุด และถ้ามันเป็นแบบนั้น หานซือฉีก็จะเกิดความเคลือบแคลงใจในคำพูดของเธอทั้งหมดและท้ายที่สุดก็จะทำให้เขาไม่เชื่อใจเธออีก
เพราะเป็นน้องสาว ถึงรู้ดีว่าพี่ชายของเธอน่าจะเข้าใจสถานการณ์และไม่ยอมพูดความจริงของเธอออกมาแน่ๆ หากเขาโดนจับตัวไป แต่สิ่งที่เธอไม่คาดคิดเลยนั่นก็คือการที่หานซือฉีจะเสียสติขนาดฆ่าพี่ชายของเธอได้แบบนี้!
ไม่มีครั้งไหนที่เธอจะเกลียดตัวเองมากได้เท่าครั้งนี้เลย เพราะความกลัวของเธอ มันเลยทำให้เรื่องกลายเป็นแบบนี้ไปได้
ฉันนี่มันโง่จริงๆ!
ในเมื่อความสัมพันธ์ของเฉียวเค่อเหรินและหานซือฉีไปจนถึงระดับนั้นกันแล้ว ยังไงเสียเธอก็ต้องพาฝูซิงออกจากเมือง B อยู่แล้วไม่ช้าก็เร็ว ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ว่าจะไปโกหกหานซือฉีด้วยคำโกหกโง่ๆ แบบนั้นไปทำไม มาถึงขั้นนี้แล้ว หากตัวตนของเธอที่เป็นตำรวจหญิงถูกเปิดเผยมันจะเป็นยังไงงั้นเหรอ? เขาจะรู้สึกยังไงถ้ารู้ว่าตัวตนของเธอเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงมาโดยตลอด? แล้วเขา…จะเป็นอย่างไรถ้ารู้สึกว่าเรื่องของเธอและเหนียนซี่นั้นเป็นเพียงเรื่องแต่ง?
หลังจากที่ออกจากเมือง B พร้อมกับฝูซิงแล้ว เขาก็คงจะอยู่กับภรรยาสาวสุดสวยที่จะคอยช่วยเหลือเขาในทุกๆ อย่าง ส่วนเธอก็จะไปใช้ชีวิตธรรมดาๆ กับลูกชายของตน ไม่หันมายุ่งเกี่ยวกันอีก
แต่ตอนนี้ล่ะ?
เธอทำให้พี่ชายของตนต้องตาย!
หานซือฉี!
ฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มกัดฟันด้วยความแค้นเคืองอีกครั้ง
“คุณฝู เรามาถึงปลายทางกันแล้วครับ” หลินหยงเฉินปรากฏตึวขึ้นอีกครั้งต่อหน้าฝูเจิ้งเจิ้งพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นดังเดิม
หญิงสาวหันไปมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงง “ทำไมนายถึงยังอยู่ที่นี่ล่ะ? ไม่ใช่ว่านายลงรถไฟไปแล้วเหรอ?”
“คุณฝู พวกเรามาถึงปลายทางแล้ว ถ้ายังไงเดี๋ยวผมเล่าให้ฟังระหว่างทางได้ไหม?”
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบกอดฝูซิงเอาไว้แน่นและจ้องมองหลินหยงเฉิงด้วยความหวาดระแวง
หลินหยงเฉิงยิ้มและอธิบายอย่างใจเย็น “คุณฝู ถ้าพวกเราคิดจะทำร้ายคุณ พวกเราสามารถทำได้ตั้งแต่อยู่ในเมือง B แล้วครับ ไม่ต้องมาจัดฉากทำบนรถไฟหรอก”
แววตาที่หวาดระแวงของหญิงสาวเหลือบมองชายชุดดำอีกสองคนด้านหลังหลินหยงเฉิงโดยที่ไม่พูดอะไร เธอยังคงกอดฝูซิงไว้แน่นและเดินตามพวกเขาออกจากรถไฟไปขึ้นรถส่วนตัวอีกที
เห็นฝูเจิ้งเจิ้งที่เอาแต่ระวังตัวเองอยู่ตลอดทาง หลินหยงเฉิงก็เริ่มพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “คุณฝูครับ มีบางสิ่งบางอย่างที่ผมอยากจะอธิบายให้คุณฟัง… มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับชายที่ชื่อ เจิ้นเฉ่า ครับ เขาแค่กลับไปยังเมืองของเขา”
“หา?” ฝูเจิ้งเจิ้งหันขวับกลับมามองเขาด้วยแววตาเหลือเชื่อก่อนจะถามซ้ำ “อะไรนะ?”
“คุณเจิ้นยังสบายดีครับ คุณหานโกหกคุณเรื่องที่เขาฆ่าคนคนนั้นไปแล้วและโยนลงไปในแม่น้ำหลิวอวิ๋น”
“แล้วเขาจะโกหกฉันทำไมกัน?”
“เรื่องนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับคุณฝู เมื่อตอนที่ผมตามหาตัวคุณเจิ้นด้วยกันกับคุณหาน คุณเจิ้นนั้นยอมรับออกมาเองว่าเขาเคยรักคุณฝูมาก่อน แต่เมื่อเขาเห็นว่าคุณหานดูจะรักคุณฝูมากกว่า เขาจึงยอมแพ้และสัญญาว่าจะไม่กลับมารบกวนชีวิตของคุณและคุณหานเป็นครั้งที่สอง จากนั้นเขาก็จากไปครับ”
“จากไป?” ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกหวาดกลัวกับคำนั้นขึ้นมาทันที
“ครับ เขาบอกว่าเขาจะไม่กลับมารบกวนคุณฝูในเมือง B อีกแล้ว” หลินหยงเฉิงอธิบายเสริมอย่างใจเย็น “แต่ละคนล้วนมีคำสั่งเสียก่อนจะถูกผู้อื่นฆ่าใช่ไหมล่ะครับ? ผมไม่คิดว่าเขาจะโดนคุณหานฆ่าเพราะสาเหตุไร้สาระแบบนี้หรอกครับ ว่าไหม?”
คำพูดของหลินหยงเฉิงนั้นมีเหตุผลไม่น้อยเลย แต่ถึงอย่างไรฝูเจิ้งเจิ้งก็ยังไม่ยอมรับและส่ายหน้าแบบไม่เชื่ออยู่
เธอไม่เข้าใจว่าหานซือฉีจะทำแบบนี้ทำไม
“ก่อนที่คุณฝูกับคุณหานจะทะเลาะกัน คุณหานบอกให้ผมพาฝูซิงหนีไปยังสถานีต่อไปก่อน”
ทั้งหมดนี่ถูกจัดการไว้แล้วเหรอ?
เขาจงใจทะเลาะกับเธอ เพื่อไปเจอเจิ้นเฉ่างั้นเหรอ?
ฉันกลายเป็นหมากบนกระดานไปแล้วเหรอ?
ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกสับสนสุดๆ
แต่ถึงอย่างไร เธอก็ยังคงไม่เชื่อจนกระทั่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาสายที่ไม่ได้รับเมื่อคืน ทันใดนั้นเสียงของผู้เป็นพี่ชายที่หนักแน่นเหมือนตามปกติก็เอ่ยถามออกมา “ฮัลโหล นั่นใครครับ?”
เขาไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ของเธอ
“พี่คะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ให้เสียงของตนสั่นเครือ
“ฝู? อ้อ พี่กลับมาแล้วนะ ดูแลตัวเองกับซิงซิงดีๆ ล่ะ ไว้เดี๋ยวถ้าพี่ว่าง พี่จะไปเยี่ยมใหม่นะ”
เสียงที่อยู่ปลายสายนั้นฟังดูจะไม่เป็นอะไรจริงๆ… นี่มัน..เรื่องจริงงั้นเหรอ?
เธอไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จริงๆ แต่ในเมื่อพี่ชายของตนยังไม่ตาย อย่างน้อยๆ เธอก็โล่งอกขึ้นหน่อยและวางโทรศัพท์ไป
ชีวิตของพี่ชายเธอน่ะ สำคัญที่สุด!
สำคัญโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรเลย ตอนนี้ไม่มีอะไรค้างคาใจเธอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของผู้เป็นพี่และฝูซิงที่อยู่ในอ้อมแขน ไม่ว่าหานซือฉีจะจัดให้เธอไปอยู่ที่ไหน เธอก็ไปได้หมดทั้งนั้น
ด้วยอารมณ์ที่กำลังดีขึ้นเรื่อยๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็กอดฝูซิงแน่นขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยอมให้หลินหยงเฉิงพาเธอไปยังสถานที่ที่ถูกจัดเตรียมไว้แล้วด้วย
———————————————————————
วันถัดมา ในห้องสุดหรูหราภายในโรงแรมโอเร็นเต็ล ผู้คนมากมายกำลังนั่งล้อมรอบโต๊ะขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ซึ่งที่โต๊ะนั้นมีเฉียวหยวนหานกำลังตัดเค้กและพูดด้วยรอยยิ้ม “มันก็แค่วันเกิดเอง นี่ฉันเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำถ้าไม่มีใครเตือน”
หานซือเซียนช่วยแจกจ่ายเค้กที่ตัดแล้วนั้นให้แก่ทุกคนบนโต๊ะขณะที่ตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “เทศมนตรีเฉียวยุ่งกับงานแทบตลอดนี่ครับ จะจำวันเกิดตัวเองไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หนำซ้ำ วันเกิดน่ะก็แค่ข้ออ้างที่จะเชิญชวนทุกๆ คนมาอยู่ด้วยกันที่นี่น่ะครับ”
“สร้างมิตรไว้เยอะๆ ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว” เติ้งอันอวี่พูดยิ้มๆ ขณะมองไปยังเฉียวเค่อเหรินและหานซือฉีที่อยู่ข้างๆ ตน
“เค่อเหริน ฉันได้ยินมาว่าบล็อคโคลี่ดีต่อสาวๆ นะ” หานซือฉีป้อนผักใบเขียวให้แก่เฉียวเค่อเหริน และเมื่อเห็นว่าเติ้งอันอวี่กำลังมองพวกเขาอยู่ เขาก็รีบวางตะเกียบลงด้วยความเขินอายทันที
“ทำต่อไปเถอะจ้ะ ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” เมื่อเติ้งอันอวี่พูดออกมาแบบนั้น ทุกๆ คนก็พากันหัวเราะออกมา
เฉียวเค่อเหรินแก้มป่องน้อยๆ “คุณแม่ล่ะก็ เขินไปหมดแล้วเนี่ย!”
เธอจะหันหน้าไปคุยอะไรซักอย่างกับเฉียวหยวนหาน แต่เพราะตอนนั้นเฉียวหยวนหานเดินเข้ามาพร้อมกับเค้กที่แบ่งมาให้พอดี มันเลยกลายเป็นว่าใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มจนสวยงามนั้นขาวโพลนเป็นหิมะไปในทันที
“โอ๊ะ!”
“ไม่เป็นไรๆ อย่าเพิ่งขยับนะ” หานซือฉีรีบช่วยเช็ดเค้กบนหน้าของเฉียวค่อเหรินด้วยทิชชู่อย่างรวดเร็ว
“อ๋าาา ไม่นะ หน้าฉันต้องแย่แน่ๆ เลย!” เฉียวเค่อเหรินรีบปิดบังใบหน้าไว้แล้วรีบวิ่งออกไป “ฉันจะไปเติมหน้าก่อนนะคะ!”
“เดี๋ยวฉันไปด้วย” หานซือฉีเองก็รีบลุกตามมาด้วยเช่นกัน
“ไม่ได้ค่ะ มันน่าเกลียด!” เฉียวเค่อเหรินมองผ่านช่องว่างของนิ้วมองชายที่เดินตามมา
“ฉันเคยเห็นเธอตอนไม่แต่งหน้ามาแล้วน่า ไม่มีอะไรต้องอายหรอก!” จากนั้นหานซือฉีก็กุมมือเฉียวเค่อเหรินไว้และออกไปด้วยกัน
ทุกคนในโต๊ะนั้นรู้ดีว่าเวลาเดียวที่เฉียวเค่อเหรินไม่แต่งหน้าก็คือตอนจะนอน และเมื่อหานซือฉีพูดเช่นนั้น มันก็ทำให้ทุกคนต่างหันมองตากันและยิ้มกรุ้มกริ่มตามๆ กันไป
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานนั้นเอง หานเถิงอวี้ก็ขยิบตาให้หานซือเซียน เขารู้ความหมายนั้นดี หานซือเซียนจึงเป็นฝ่ายยกแก้วขึ้นและเตรียมพูดกับเฉียวหยวนหนาน แต่ทันใดนั้นเอง ประตูโถงขนาดใหญ่นั้นก็เปิดออกพร้อมกับชายคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
———————————————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
ร้ายนักนะหานซือฉี! ร้ายทุกเรื่อง!