ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 106 วันแต่งงาน
ผู้ที่เข้ามานั้นคือ หลิว เลขาส่วนตัวของเฉียวหยวนหาน เขาเข้ามาด้วยรอยยิ้มก่อนจะยื่นซองเอกสารให้แก่ผู้เป็นนายด้วยความเคารพ
เฉียวหยวนหานรับซองเอกสารนั้นมาก่อนจะส่งต่อให้หานซือเซียนพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
หานซือเซียนรับซองนั้นไปก่อนจะเปิดมันออกและตกตะลึงกับเอกสารภายใน “นี่คือ…เอกสารที่เตรียมจะตีพิมพ์เหรอครับ?”
“อา ใช่แล้วๆ มันมีกำหนดการไว้ว่าจะพิมพ์ในวันพรุ่งนี้น่ะ” เฉียวหยวนหานพูด “เดิมก็ไม่คิดว่าจะตีพิมพ์เร็วขนาดนี้หรอก แต่เค่อเหรินมาขอให้ฉันลองเร่งดู ลูกสาวฉันไม่มีความสุขที่เห็นซือฉีต้องทุกข์ใจน่ะ ฮ่าๆๆ เพราะงั้น ฉันก็เลยหน้าด้านหน้าทนอยู่ในออฟฟิศของเลขาจนกระทั่งอีกฝ่ายยอมเซ็นสัญญาให้ฉันสามารถนำเอกสารเหล่านี้ออกมาตีพิมพ์ได้เร็วขึ้นน่ะ”
เฉียวหยวนหานนั้นรับผิดชอบเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินนี้อยู่แล้ว คิดเหรอว่าหานซือเซียนจะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขาพูดหมายถึงอะไร? ชายหนุ่มลุกขึ้นพร้อมยกแก้วไวน์ในมือก่อนจะดื่มอวยพรให้เฉียวหยวนหาน “เทศมนตรีเฉียว ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือครับ”
เฉียวหยวนหานที่เห็นดังนั้นก็ยกแก้วไวน์ขึ้นเช่นกัน “ไม่เป็นไรๆ ไปขอบคุณเค่อเหรินที่เป็นห่วงเป็นใยซือฉีอยู่ตลอดเวลาเถอะ ให้ตายเถอนะ ลูกสาวคนนี้ ไม่ยอมสนใจความยากลำบากของพ่อบ้างเลย ดูสิ ทำตัวเหมือนเป็นสมาชิกตระกูลหานตั้งแต่ยังไม่ทันแต่งเลย ฮ่าๆๆๆ”
“เค่อเหรินกับซือฉีหมั้นกันไปแล้ว พวกเราเองก็มองเธอเหมือนคนในครอบครัวเช่นกันครับ” หานซือเซียนยิ้มรับ
เติ้งอันอวี่ใช้ศอกสะกิดเฉียวหยวนหานเบาๆ และพูดเสริมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “มีคำโบราณเคยพูดกันเอาไว้ว่า หญิงสาวที่เข้าสู่วัยนี้แล้ว ยากที่จะรั้งไม่ให้เธอแต่งงานนะคะ อย่าทุกข์ใจไปเลย”
“พ่อไม่ได้ทุกข์ใจซักหน่อย พ่อกำลังดีใจต่างหากล่ะแม่ ในเมื่อซือฉีกับเค่อเหรินรักกันซะขนาดนั้น ไหนจะตระกูลหานที่ให้การตอบรับเค่อเหรินเป็นอย่างดีอีก”
หานเถิงอวี้รีบพูดตอบขึ้นในทันที “เค่อเหรินน่ะเป็นเด็กฉลาดแล้วก็รอบคอบ จะให้เราไม่เอ็นดูเธอได้ยังไงกันครับ?”
เฉียวหยวนหานยกแก้วขึ้นชนกับหานเถิงอวี้ก่อนจะจิบไวน์ในแก้วเบาๆ แล้วหันไปคุยกับหานเถิงอวี้ “ฉันไปพบลุงของเค่อเหรินที่งานประชุมเมื่อวานมาแล้ว เขาบอกว่าลูกชายของเขากับแฟนสาวก็กำลังตกลงเรื่องแต่งงานกันอยู่เหมือนกัน แล้วก็เขายังถามฉันมาด้วยนะว่า เมื่อไหร่เราจะเลือกวันแต่งงานของเค่อเหรินได้ เลยบอกไปว่า ไว้รอให้ให้เค่อเหรินกับซือฉีคบกันไปซักพักก่อนค่อยแต่งก็ยังไม่สายเกินไป”
เติ้งอันอวี่หัวเราะเบาๆ “รีบกันจังเลยนะคะ แม่น่ะยังอยากเห็นลูกสาวของตัวเองวิ่งมาออดอ้อนให้นานกว่านี้ซักหน่อยเชียว”
อี้หมิง ผู้เป็นเพื่อนกับเฉียวหยวนหานซึ่งนั่งร่วมโต๊ะเดียวกันมาตั้งแต่ต้นนั้น ได้โอกาสพูดขึ้นบ้าง “แน่นอนนายน่ะไม่รีบหรอก แต่ฝั่งตระกูลหานเนี่ยสิที่่กำลังรีบ ฮ่าๆๆๆ ถ้ารีบแต่ง เราก็จะมีหลานให้อุ้มเร็วขึ้น ฉันคิดว่าตระกูลหานเองก็น่าจะคิดแบบฉันแน่ๆ ถึงได้ยินดีให้เค่อเหรินเข้ามาเป็นคนในครอบครัวเร็วขนาดนี้ ฉันพูดถูกไหม? ฮ่าๆๆ”
พูดจบอี้หมิงก็ยกแก้วขึ้นชนกับหานเถิงอวี้ไปเสียทีหนึ่ง
คิดเหรอว่าหานเถิงอวี้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่คนคนนี้อยากจะสื่อ? เขารีบยกแก้วขึ้นชนพร้อมตอบรับ “ใช่แล้วๆ ฮ่าๆๆ”
อี้หมิงยิ้ม “เค่อเหรินน่ะจะนำพาความโชคดีมาให้สามีของเธอ หลังจากที่แต่งงานแล้ว บริษัทเว่ยหานจะต้องเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วแน่นอน”
หานเถิงอวี้ที่รู้ว่าอี้หมิงต้องการอะไร เขารีบหันไปหาหานซือเซียน คิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับเฉียวหยวนหาน “เทศมนตรีเฉียว งั้นถ้าเรากำหนดวันแต่งงานวันนี้เลยเป็นยังไงล่ะครับ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉียวหยวนหานก็ดูเหมือนจะไม่เต็มใจเสียเท่าไหร่ เขาตอบกลับ “โอ้ ฉันว่าเป็นซักปีหน้าหรือปีถัดๆ ไปน่าจะดีกว่านะ ฉันน่ะมีลูกสาวคนเดียว คนเป็นพ่อน่ะก็ไม่อยากจะต้องแยกจากลูกสาวไปเร็วนักหรอก จริงไหม?”
“เอางั้นก็ได้ๆ ไม่ต้องรีบร้อนไป นายอยากจะให้ลูกสาวอยู่กับนายก่อนก็ได้ แต่ซือฉีเขาจะรอนานไปหรือเปล่า?” อี้หมิงพยายามช่วย ‘ตระกูลหาน’ เอาไว้ เขาพูดต่อ “ฉันได้ยินมาว่าวันที่ 8 กุมภาพันธ์นี้เป็นฤกษ์ดีนะ สนใจไหมล่ะ? ยังไงซะอันอวี่เองก็เตรียมสินเจ้าสาวไว้ให้เค่อเหรินเรียบร้อยแล้วนี่”
8 กุมภาพันธ์งั้นเหรอ? แต่นี่มันก็กลางเดือนมกราแล้วนะ!
ในขณะที่หานเถิงอวี้คิดอยู่นั้น หานซือฉีและเฉียวเค่อเหรินก็เปิดประตูเข้ามาพอดี เขาจึงตัดสินใจพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “ฤกษ์ดีจริงๆ ด้วย งั้นก็เป็นวันที่ 8 กุมภาพันธ์ก็แล้วกัน!”
เฉียวหยวนหานหันมองไปยังหานเถิงอวี้และจงใจถาม “ซือฉี พวกเรากำลังตัดสินใจเรื่องวันแต่งงานระหว่างเธอกับเค่อเหรินอยู่ คิดว่าถ้าเป็นวันที่ 8 กุมภาพันธ์จะโอเคหรือเปล่า?”
8 กุมภาพันธ์เหรอ!?
แม้แต่เฉียวเค่อเหรินเองก็ยังตกใจ เธอรีบหันไปหาหานซือฉีต่อ
“8 กุมภาพันธ์งั้นเหรอครับ?” หานซือฉีทวนวันที่นั้นด้วยเสียงนุ่ม การกระทำของเขามันเปรียบเสมือนตุลาการที่กำลังตัดสินอะไรบางอย่าง และทุกๆ คนต่างก็ลุ้นไปกับการตัดสินใจครั้งนี้
เขาค่อยๆ ยกมือขึ้นโอบไหล่เฉียวเค่อเหรินไว้ จากนั้นก็หันไปมองเธอด้วยแววตาที่หวานชื่นปานจะกลืนกิน “ต่อให้เป็นพรุ่งนี้ผมก็ไม่มีปัญหา ผมจะได้ไม่ต้องอดใจรอนานๆ ด้วย”
คำตอบของเขามันทำให้บรรยากาศรอบๆ นั้นผ่อนคลายขึ้นเยอะ เติ้งอันอวี่เองก็พูดด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “เธอจะแต่งงานพรุ่งนี้ไม่ได้นะจ๊ะ งานแต่งงานน่ะเป็นงานใหญ่ เพราะงั้นต้องเลือกวันให้ดี ในเมื่อคุณอี้เสนอมาว่าวันที่ 8 เป็นฤกษ์ดี งั้นก็เลือกวันที่ 8 เป็นวันแต่งงานก็แล้วกันเนอะ”
เฉียวเค่อเหรินตกใจมากๆ เธอหันมองไปยังหานซือฉีที่ยังดูใจเย็นสุดๆ ชายหนุ่มหันกลับมาจับมือเธอไว้และแสร้งทำเป็นเศร้าสร้อย “ดูเหมือนว่าเค่อเหรินไม่อยากจะแต่งงานกับฉันหรือเปล่า?”
“ช-ใช่ค่ะใช่! เอ้ย—แต่งค่ะ!” เฉียวเค่อเหรินรีบส่ายมือปฏิเสธทันที
ทุกๆ คนต่างหัวเราะออกมาเพราะท่าทางโก๊ะๆ นั้น
เมื่อรู้ตัวว่าแสดงท่าทีไม่เหมาะสมออกไป เฉียวเค่อเหรินก็เขินอายขึ้นมา ทว่าหานซือฉีกลับพูดขึ้นมาอย่างจริงจังด้วยรอยยิ้ม “ฉันเองก็อยากจะแต่งงานกับเธอเหมือนกัน”
หลังจากที่เลือกวันที่จะจัดงานแต่งงานได้แล้ว ทุกๆ คนต่างก็สนุกสนานและมีความสุขไปกับมื้อนี้เป็นอย่างมาก
หลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จแล้ว ทุกๆ คนต่างก็แยกย้ายกันกลับไป แต่ก่อนจะจาก หานซือฉีก็พูดกับเฉียวเค่อเหรินต่อหน้าแม่ของเธอเสียก่อน “เค่อเหริน แม่ของเธอเหนื่อยมากแล้ว ส่วนคุณพ่อเองก็ต้องไปทำงานต่อ เธอพอจะพาแม่ของเธอไปส่งบ้านด้วยตัวเองได้ไหม?”
เฉียวเค่อเหรินหันมองหนุ่มหล่อผู้ที่กำลังยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เธอ เขาโอบไหล่เธอไว้และจูบลงไปบนผมเงางามนั้นเบาๆ ก่อนที่เธอจะตกลงและจากไปพร้อมกับแม่ของตน
หานเถิงอวี้ผู้ที่มีสีหน้าบึ้งตึงอยู่นั้นเดินเข้ามาหยุดหานซือฉีผู้ที่กำลังจะแยกกลับไปเช่นกัน “ซือฉี กลับไปที่ฉืออิ๋งลี่หยางกับฉันเดี๋ยวนี้!”
ทั้งสองขึ้นไปบนรถของหานซือเซียน
“ซือฉี…” สายตาของหานซือเซียนนั้นดูจะสับสนเป็นอย่างมาก
หานซือฉีรู้ดีว่าพี่ชายของตนจะพูดอะไร เพราะงั้นเขาจึงไม่ได้ถามอะไร เพียงแค่ขึ้นรถแล้วนั่งไปเงียบๆ
หานซือเซียนได้แต่ถอนหายใจยาวๆ แล้วขับรถกลับไปยังรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางอย่างรวดเร็ว
———————————————————-
ในทันทีที่พวกเขากลับถึงรีสอร์ท หานเถิงอวี้ก็ตะโกนใส่หานซือฉีด้วยความโกรธ “พาซิงซิงกลับมาเดี๋ยวนี้! หากแกไม่ยอมพาหลานของฉันกลับมาล่ะก็ ฉันจะไม่ถือว่าแกเป็นลูก!”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วก่อนจะพูด “ไม่ใช่ว่าคุณพ่อเลือกสะใภ้ไปแล้วเหรอครับ? แล้วจะมาอะไรกับหลานที่มาจากคนอื่นอีก?”
“ซือฉี ทำไมถึงพูดกับพ่อแบบนั้นล่ะลูก?” จีหยาฉูเข้ามาปลอบหานเถิงอวี้ไว้ขณะที่เธอเองก็พยายามข่มความโกรธเอาไว้อยู่เหมือนกัน “ทั้งลูกสะใภ้ทั้งหลาน ทั้งสองอย่างไม่เหมือนกันนะ เมื่อไหร่ที่ลูกกับเค่อเหรินแต่งงานกัน พ่อกับแม่จะพาซิงซิงไปต่างประเทศ!”
“ซือฉี แกจงใจทำให้ฉันหงุดหงิดใช่ไหม! ฉันบอกแล้วว่าฉันต้องได้เห็นหน้าซิงซิงวันนี้!” หานเถิงอวี้ยังคงจ้องมองหานซือฉีด้วยความโกรธ
หานซือฉีตอบกลับแบบไม่รู้สึกอะไร “ผมขอให้ฝูเจิ้งเจิ้งออกไปจากเมืองนี้พร้อมกับซิงซิงแล้ว และพวกเขาทั้งสองจะไม่กลับมาที่เมือง B อีก เพราะงั้นคุณพ่อก็แค่รอให้เค่อเหรินตั้งท้องแล้วคลอดหลานออกมาให้ก็ได้”
“อะไรนะ!? ออกไปจากที่นี่เหรอ? พวกเขาไปไหน!?” คราวนี้แม้แต่จีหยาฉูเองก็ไม่สามารถใจเย็นได้
“ไม่อยากให้แม่ของเด็กแต่งงานเข้าตระกูล แต่ก็เอาแต่ใจอยากได้ลูกเขามาเป็นหลานทั้งๆ ที่พวกเขาอยู่ด้วยกันมาตั้ง 6 ปี พ่อไม่รู้สึกละอายใจที่แยกแม่กับลูกออกจากกันบ้างหรือไง! ผมไม่สนหรอกนะว่าพ่อจะพูดอะไร แต่นี่น่ะมันหมายถึงตระกูลหานกำลังเจอจุดจบเพราะตรรกะคนที่เป็นหัวหน้าตระกูลแล้ว!” จีหมู่เซี่ยนที่ได้ยินการวิวาทเมื่อครู่พอดีเมื่อเดินเข้ามา เขาไม่รอช้าที่จะแทรกทั้งสองในทันที
“หุบปากไปเลย! ตระกูลจะเป็นยังไงแกก็ไม่สนใจอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง!” หานเถิงอวี้เปลี่ยนเป้าหมายไปทิ้งระเบิดใส่จีหมู่เซี่ยนในทันที
แม้จะได้ยินเช่นนั้นแต่จีหมู่เซี่ยนก็ดูจะไม่ได้สนใจอะไร เขานั่งลงไปที่โซฟาก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาเล่นอีกครั้งเห็นว่าตนเองคงจะพูดอะไรไม่ได้
“ถ้ายังอยากให้งานแต่งงานของผมและเฉียวเค่อเหรินสามารถจัดได้ตามวันเวลาที่ตกลงกันเอาไว้ ก็อย่าพูดชื่อของฝูเจิ้งเจิ้งและฝูซิงออกมาอีก!” หานซือฉีพูดก่อนจะเดินออกไป
หานซือเซียนที่เงียบมาตลอดรีบเดินไปหยุดเขาไว้ก่อนทันที “ซือฉี!”
หานซือฉีหยุดลงและหันกลับมามองยังพี่ใหญ่ของตน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้ยินพี่ชายของเขาขึ้นเสียงเวลาเรียกเขาแบบนี้นอกซะจากจะมีปากมีเสียงกัน
“ฉันไม่คิดเลยว่าแกจะตกลงเร็วขนาดนี้” หานซือเซียนพูดด้วยความสับสน
“ยังไงฉันก็ต้องตกลงไม่เร็วก็ช้านี่” หานซือฉียิ้มจางๆ ก่อนจะไปขึ้นรถของตนและขับออกจากรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางทันที
————————————————–
ณ คอมมูนิตี้ที่ค่อนข้างเปลี่ยวในชานเมือง B
ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังท่องอินเตอร์เน็ตไปเรื่อยเปื่อย ในขณะที่ฝูซิงเองก็กำลังมองลงไปที่ด้านล่างหน้าต่าง ด้านหลังของเขานั้นมีตัวต่อที่ต่อเอาไว้อย่างไม่สวยงามนักวางไว้อยู่
หลังจากที่เขาเหม่อมองลงไปอยู่นานแสนนาน ฝูซิงก็หันกลับมาและพูดกับแม่ของตน “หม่ามี๊ ฝูซิงอยากลงไปเล่นข้างล่างบ้าง”
“ลูกไปไม่ได้จ้ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งปฏิเสธ
“หม่ามี๊~” เด็กน้อยวิ่งไปยังข้างเตียงของฝูเจิ้งเจิ้งก่อนจะกอดคอเธอไว้และออดอ้อน “ฝูซิงไม่ได้ออกไปเล่นนอกบ้านมาตั้งวันนึงแล้วนะ”
จริงๆ ตัวฝูเจิ้งเจิ้งเองก็อยากออกไปเดินเล่นบ้างเหมือนกันนั่นแหละ การที่ได้แต่จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นวันๆ แบบนี้ สมองมันก็เหนื่อยล้าไปหมด แต่เพราะคำพูดของหลินหยงเฉิงมันยังวนเวียนอยู่ในหัวเธอตลอดเวลา เพราะงั้นถ้าเธอจะห้ามฝูซิงออกไปข้างนอก เธอก็ต้องอยู่กับเขาด้วย! “ข้างนอกมีคนไม่ดีอยู่นะจ๊ะ เพราะงั้นพวกเราควรจะหลบอยู่ภายในห้องนี้เสียก่อนจะดีกว่า”
“หม่ามี๊ ไม่ใช่ว่าหม่ามี๊เก่งกังฟูหรอกเหรอ?” ฝูซิงยังคงไม่ยอม เขามองเด็กคนอื่นๆ ที่เล่นอยู่ด้านล่างด้วยความสุข “ถ้าหากมีป๊ะป๋าอยู่ที่นี่ ป๊ะป๋าคงไม่กลัวอะไรทั้งนั้น!”
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถโน้มน้าวแม่ของตนได้ ฝูซิงก็ถอนหายใจแล้วเดินไปยังห้องนั่งเล่น
หญิงสาวไม่อยากจะขยับไปไหนทั้งนั้น นั่นเพราะเธอรู้ว่าหลินหยงเฉิงเองก็อยู่ด้านนอกนี่ด้วย
ไม่นานนัก ฝูซิงก็วิ่งกลับเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้ามีความสุข เขาดึงฝูเจิ้งเจิ้งให้เข้ามาหาแล้วพูด “หม่ามี๊ ป๊ะป๋าบอกว่าเราลงไปด้านล่างบ้างก็ได้ แต่ห้ามไปไกลเกินไปนะ”
“ลูกบอกว่าป๊ะป๋าเหรอ?” ฝูเจิ้งเจิ้งถามเพื่อความแน่ใจ
“ใช่แล้ว! ป๊ะป๋าจะมาพาเรากลับไปในอีกไม่กี่วันนี้ จากนั้นพวกเราจะไปไหนก็ได้~” เด็กน้อยอธิบายอย่างมีความสุขขณะลากฝูเจิ้งเจิ้งออกไปทางประตูด้วย
พากลับไปในไม่กี่วัน? ขอโทษนะ บริษัทเว่ยหานมีปัญหาขนาดนั้น แล้วไหนจะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฉียวเค่อเหรินที่ไปไกลแล้วอีก จะมาสนใจพาพวกฉันกลับไปทำไมน่ะ?
ฝูเจิ้งเจิ้งคิดไม่ออกเลยว่าเขาวางแผนอะไรไว้ และเธอยังคงรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำคลุมเครืออยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อนี่มันไม่ใช่เรื่องของเธอ เธอจะมากังวลทำไมกันล่ะ?
มองไปยังเจ้าลูกชายที่วิ่งปรี่เข้าไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆ ที่ด้านล่าง อย่างน้อยๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยังพอจะยิ้มออกมาได้
จริงๆ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วจนถึงตอนนี้ ที่เธอเอาแต่คิดลังเลว่าจะพาฝูซิงหนีไปพร้อมกันเลยดีหรือเปล่า
ที่นี่ ตอนนี้มีเพียงหลินหยงเฉิงเท่านั้น และดูเหมือนว่าหน้าที่หลักของหลินหยงเฉิงก็คือการมาคอยดูแลพวกเธอเนี่ยแหละ ท่าทางหานซือฉีจะกลัวว่าเธอจะพาฝูซิงหนีไปจริงๆ สินะ
ถึงแม้ว่าตัวเธอจะไม่ได้พกโทรศัพท์มือถือเอาไว้ แต่อย่างน้อยๆ ก็ยังสามารถท่องอินเตอร์เน็ตได้ วิธีการติดต่อหยางเต๋านั้นมีอยู่ร้อยแปดพันเก้า แต่ด้วยความลังเล ในท้ายที่สุดเธอก็ยังไม่ได้ทำลงไปเสียที
ขณะที่กำลังนวดไหล่ตนเองและเงยหน้ามองฟ้าที่กำลังเย็นลงนั้นเอง ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกว่าหัวของตนมันเริ่มจะปวดขึ้นมาเรื่อยๆ
“หม่ามี๊ เด็กๆ คนอื่นกลับห้องไปแล้ว เราเองก็กลับกันด้วยดีกว่า” ฝูซิงปัดไม้ปัดมือไล่ฝุ่นก่อนจะหันไปมองเหล่าเด็กๆ คนอื่นที่กำลังแยกย้ายกันออกไป
ก่อนที่ฝูเจิ้งเจิ้งจะได้ตอบอะไร เธอก็ได้ยินหลินหยงเฉิงตะโกนเสียงดัง “ระวัง!”
จากนั้นเงาสีดำก็พุ่งเข้ามาโอบฝูซิงและเธอให้กลิ้งออกไปจากบริเวณนั้น
*เพล้ง!*
กระถางต้นไม้จากด้านบนตกลงมาจนแตกละเอียด
ฝูเจิ้งเจิ้งตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อเธอมองหน้าขึ้นไป ด้านบนก็ไม่มีใครอยู่แล้ว รวมถึงไม่มีวี่แววว่าจะมีกระถางใบอื่นร่วงลงมาเพิ่มด้วย หญิงสาววิ่งกลับไปหาฝูซิงและถามด้วยความร้อนใจ “ฝูซิง ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ฝูซิงที่กำลังสั่นกลัวหันไปมองหลินหยงเฉิงก่อนจะผละตัวไปหาฝูเจิ้งเจิ้งพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “หม่ามี๊ ฝูซิงไม่เป็นไร แต่ฝูซิงกลัวมากเลย!”
“นายเป็นอะไรหรือเปล่า?” เมื่อเห็นว่าลูกชายของตนไม่เป็นไรแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบหันไปถามหลินหยงเฉิงที่ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บเป็นแผลที่มือมา
“ผมไม่เป็นไร รีบกลับกันเถอะครับ” หลินหยงเฉิงมองขึ้นไปเช็คความเรียบร้อยที่ด้านบนก่อนจะเดินนำฝูเจิ้งเจิ้งกลับห้องไป
เมื่อกลับมาถึงห้องแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งปลอบฝูซิงพร้อมกับเปิดการ์ตูนที่เขาชอบให้ดูด้วย ระหว่างนั้นเธอก็หวนคิดถึงเรื่องเมื่อเย็น ความกลัวมันก็ค่อยๆ เริ่มก่อตัวขึ้นมา
ตึกที่พวกเธออาศัยอยู่นี้สูงทั้งหมด 6 ชั้น จะมีก็แต่ชั้น 4 เท่านั้นที่ไม่มีหน้าต่างที่คอยกันไม่ให้เกิดอันตราย เพราะงั้นกระถางต้นไม้นั้นน่าจะตกลงมาจากชั้น 4 แต่ในเมื่อตอนนั้นมันก็ไม่มีลม กระถางต้นไม้จะร่วงลงมาได้ยังไง?
เฉียวเค่อเหรินหาที่อยู่พวกเธอเจอแล้ววางแผนฆ่าอีกแล้วเหรอ?
คงต้องให้หลินหยงเฉิงไปตรวจสอบแล้ว!
ฝูเจิ้งเจิ้งหันกลับไปมองรอบๆ ตัว และวกกลับไปหาที่ห้องนั่งเล่น ทว่าเธอก็ไม่พบหลินหยงเฉิงเลย ดูท่าว่าเขาจะออกไปแล้ว
ไหนว่าจะคอยปกป้องพวกเธอตลอดทั้งวันไม่ใช่หรือไง?
เธอสงสัยสุดๆ แต่ทันใดนั้นเอง กริ่งประตูก็ดังขึ้น
————————————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
มีเลศนัยกันทั้งสองฝั่งอ่ะ 55555 ฝั่งหานซือฉีก็แต่งงานแบบมีเลศนัย ฝั่งฝูเจิ้งเจิ้งก็ดูมีเลศนัย