ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 108 เส้นยาแดงผ่าแปด
“เฉียวเค่อเหริน?” ฝูเจิ้งเจิ้งตกใจและยื่นมือออกไปคอยปกป้องฝูซิงไว้ทันที
หานซือฉีเองก็ตกใจด้วยเช่นกัน
เฉียวเค่อเหรินรีบเดินตรงไปยังหานซือฉีและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงชิงชัง “หานซือฉี! ไอ้คนสารเลว! ฉันอุตส่าห์ทำตามทุกอย่างที่นายบอก แต่ทำไมนายถึงทำแบบนี้กับฉันได้!”
ด้วยสีหน้าที่ซีดเซียวและผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง เฉียวเค่อเหรินในวันนี้ดูแตกต่างจากเธอในวันปกติโดยสิ้นเชิง หานซือฉีขมวดคิ้วช้าๆ ก่อนจะพูดกับเจ้าหล่อนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อะไรที่ฉันขอให้เธอทำ ไว้จะชดเชยให้ทีหลังก็แล้วกันนะ”
“ชดเชยให้งั้นเหรอ? นายคิดว่ามันยังชดเชยได้งั้นเหรอ!” เฉียวเค่อเหรินตะโกนก้องออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “ฉันโดนประณาม โดนทุกๆ คนดูถูกไปแล้ว นายพอใจหรือยังล่ะฮะ! มีความสุขมากไหม!”
ในตอนนั้นเอง หลินหยงเฉิงก็เดินเข้ามาหาหานซือฉีช้าๆ พร้อมกระซิบอะไรบางอย่างให้เขา เมื่อได้ยินเรื่องนั้น หานซือฉีก็สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นทุกข์ใจขึ้นมาทันที เขาหันไปมองหลินหยงเฉิงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และหลินหยงเฉิงก็ได้เพียงพยักหน้าเบาๆ เท่านั้น
หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง หานซือฉีก็หันไปพูดอย่างไร้ความรู้สึก “ฉันไม่รู้เรื่องรูปบนอินเตอร์เน็ตนั่น”
ได้ยินเช่นนั้นแล้วเฉียวเค่อเหรินก็กัดฟันแน่นแล้วพูดเสียดสีออกมา “ฮึ่ม! ฉันไม่คาดคิดเลยนะว่ารองประธานบริษัทเว่ยหานอันโด่งดังจะไม่กล้ายอมรับในสิ่งที่ตัวเองได้ทำ! นายคิดว่าฉันจะเป็นยัยโง่ให้นายหลอกได้ง่ายๆ คนก่อนอีกงั้นเหรอ!”
ชายหนุ่มจ้องไปยังสาวที่กำลังระเบิดอารมณ์ราวกับสัตว์ร้าย ก่อนจะถามเธอออกไป “เธอต้องการอะไร?”
“ฉันต้องการอะไรงั้นเหรอ? ก็ในเมื่อชีวิตของฉันมันป่นปี้ไปหมดแล้ว นายก็ต้องป่นปี้ไปด้วยเหมือนกัน!”
ฝูเจิ้งเจิ้งที่ยืนฟังทั้งสองคุยกันอยู่นานก็ชักจะเริ่มหมดความอดทน เธอจับมือหานซือฉีไว้ก่อนจะพูดเชิงเย้ยหยันเฉียวเค่อเหรินบ้าง “คุยกันเสร็จหรือยังน่ะ? ฉันอยากจะไปแล้วนะ”
ถ้าไม่ติดว่าตัวเองเป็นตำรวจที่เข้ามาที่นี่เพื่อหาหลักฐานแล้วล่ะก็ ป่านนี้เธอคงซัดเฉียวเค่อเหรินหมอบไปแล้ว เพราะต่อให้คิดด้วยนิ้วโป้งเท้า เธอก็รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานต้องเป็นฝีมือของเฉียวเค่อเหรินแน่ๆ !
หานซือฉีเองก็จับมือเธอกลับพร้อมพูดด้วยเสียงอ่อนโยนเช่นกัน “งั้นก็ไปกันเถอะ”
“ดี! รักกันเข้าไป รักกันให้ตายไปเลย!”
เฉียวเค่อเหรินคว้ามีดออกมาจากเสื้อของตนอย่างรวดเร็วและแทงเข้าไปที่อกของฝูเจิ้งเจิ้งทันที
เพราะอุ้มฝูซิงอยู่ในอ้อมแขน ฝูเจิ้งเจิ้งที่ตกใจนั้นรีบพลิกหันให้ฝูซิงอยู่นอกระยะมีดนั้นก่อน จากนั้นเธอก็ยกแขนข้างหนึ่งมาเพื่อคอยป้องกันอันตรายจากมีดที่จะเข้ามาแทงตนด้วย ในตอนนั้นเอง หานซือฉีก็รีบปัดมือของเฉียวเค่อเหรินพร้อมกับผลักเธอออกไปด้วย หากแต่มันช้าไปหน่อย เพราะถึงแม้ว่ามีดจะถูกเบี่ยงให้ไม่โดนจุดสำคัญ แต่มันก็ทำให้หลังมือของฝูเจิ้งเจิ้งเกิดรอยแผลยาวพร้อมเลือดที่หลั่งไหลออกมาในปริมาณมากด้วย
“หม่ามี๊!”
“ฮือ ฮือ” ทันทีที่ฝูซิงเห็นเลือดไหลออกมาจากหลังมือของฝูเจิ้งเจิ้ง เขาก็ร้องไห้ออกมาเสียงดังและกอดคอเธอเอาไว้แน่นด้วย
“บ้าเอ๊ย!” หานซือฉีกุมมือฝูเจิ้งเจิ้งเอาไว้ก่อนจะหันกลับไปมองเฉียวเค่อเหรินและพูดใส่เธอเสียงดัง “เฉียวเค่อเหริน เธอกำลังท้าทายฉันอยู่นะ! ถ้าเธอกล้าที่จะทำร้ายพวกเขาอีกล่ะก็ อย่ามาหาว่าฉันรุนแรงใส่ก็แล้วกัน!”
“รุนแรงเหรอ? นายเคยทำกับฉันเหมือนสุภาพชนด้วยหรือไง?” เฉียวเค่อเหรินผู้ที่ถูกผลักจนล้มอยู่กับพื้นนั้นพูดด้วยความเจ็บแค้นไปหมด
หลินหยงเฉิงที่วิ่งเข้ามาทีหลังก็รีบเก็บมีดไปจากนั้นก็หันไปคอยรับมือกับเฉียวเค่อเหรินด้วยความระมัดระวัง
“ไม่เป็นไรจ้ะฝูซิง หม่ามี๊ไม่เป็นไร” ฝูเจิ้งเจิ้งค่อยๆ วางฝูซิงลงเพราะความเจ็บปวดก่อนจะพยายามกดปากแผลที่มือเอาไว้ขณะที่ปลอบใจเขาไปด้วย
“ไปโรงพยาบาลก่อน” หานซือฉีหันไปพูดกับเธอแล้วรีบอุ้มฝูซิงขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ฝูซิงนั้นปฏิเสธแล้วรีบดึงเสื้อของฝูเจิ้งเจิ้งขณะที่พยายามลากเธอไปขึ้นรถพร้อมๆ กันด้วย เขาปาดน้ำตาขณะที่ยังดึงเสื้อเธออยู่ “หม่ามี๊ ฝูซิงจะพาหม่ามี๊ไปโรงพยาบาล หม่ามี๊”
หานซือฉีเห็นดังนั้นก็รีบนำพวกเธอไปพร้อมกับเปิดประตูด้านหลังของรถให้ในขณะที่ตัวเขานั้นไปนั่งอยู่ที่นั่งคนขับแล้ว หลินหยงเฉิงเองก็รีบไปยังรถของเขาด้วย
ในขณะทั้งฝูเจิ้งเจิ้งและฝูซิงกำลังจะไปถึงรถแล้ว ในตอนนั้นไม่มีใครสังเกตเลยว่า เฉียวเค่อเหรินเองก็ถึงรถแล้วเช่นกัน หญิงสาวเหยียบคันเร่งชนิดที่มิดไมล์แล้วพุ่งตรงเข้าใส่ทั้งสองแม่ลูกในทันที
เมื่อรู้สึกได้ว่ามีภัยร้ายกำลังมา ฝูเจิ้งเจิ้งก็หันกลับไปมอง แล้วเธอก็พบว่ารถของเฉียวเค่อเหรินนั้นกำลังพุ่งมาทางตนด้วยความเร็วสูง!
สีหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งเปลี่ยนไปในทันที แต่ก่อนที่เธอจะกรีดร้อง ปฏิกิริยาตอบสนองอันรวดเร็วของเธอก็รีบสั่งให้เธอผลักฝูซิงออกไปจากจุดนั้นก่อน
ทว่ารถของเฉียวเค่อเหรินที่กำลังจะพุ่งมาถึงเธอนั้นกลับหักเลี้ยวออกแล้วพุ่งเข้าหาฝูซิงแทนแบบไม่คาดคิด ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งจะมีโอกาสรอดเพิ่มขึ้นมาแท้ๆ !
หานซือฉีเองที่เห็นเหตุร้ายกำลังคืบคลานเข้ามาก็รีบออกจากรถหมายจะเข้าไปช่วยฝูซิงไว้ ทว่าเขาเองก็ยังไม่สามารถยับยั้งโศกนาฏกรรมนี้ได้
*ตึง!*
“ไม่—-”
“ซิงซิง!!”
ก่อนที่เสียงกรีดร้องของฝูเจิ้งเจิ้งจะดังออกมา รถของเฉียวเค่อเหรินก็ชนเข้ากับราวกั้นข้างทางไปเสียแล้ว
ร่างของฝูซิงลอยขึ้นไปในอากาศก่อนจะตกลงไปในพุ่มหญ้าเขียวข้างทางราวกับตุ๊กตาไร้ชีวิต เมื่อเห็นภาพตรงหน้าฝูเจิ้งเจิ้งถึงกับเป็นลมล้มพับลงไป
หานซือฉีช็อกกับภาพที่เห็นมากๆ เขารีบพุ่งเข้าไปหาลูกชายอย่างรวดเร็ว แต่แล้วทันใดนั้นความทรงจำบางอย่างมันก็ปรากฏขึ้นมาในหัว ภาพของเด็กวัยรุ่นที่กำลังวิ่งข้ามถนน แล้วจู่ๆ รถบรรทุกที่วิ่งมาด้วยความเร็วนั้นก็ชนเขาจนกระเด็นตกไปที่ข้างทาง แถมเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เขาคนนั้นยังต้องมาโดนรถจักรยานทับขาอีก
ใครกันน่ะ…?
หัวของเขาเริ่มปวดขึ้นมาอย่างฉับพลันและรุนแรง ขณะที่ได้ยินเสียงของหลินหยงเฉิงลอยเข้ามาเรื่อยๆ แม้จะได้สติแต่สีหน้าก็ยังซีดเผือดอยู่ในยามที่วิ่งไปยังพุ่มไม้ที่ฝูซิงตกลงไปนั้น
มือที่สั่นเทาผลักหลินหยงเฉิงออกและอุ้มร่างของเด็กน้อยที่ชุ่มไปด้วยเลือดขึ้นมากอดไว้
“รีบตามรถพยาบาลเร็วๆ !” น้ำเสียงของหานซือฉีเปลี่ยนไป ในขณะที่เขาอุ้มฝูซิงอยู่นั้น สายตาของเขาก็กวาดมองหาร่างของฝูเจิ้งเจิ้งไปด้วย
หลินหยงเฉิงรีบเรียกรถพยาบาลในทันที จากนั้นเขาก็รีบไปดูอาการของฝูเจิ้งเจิ้งที่รุนแรงไม่แพ้กัน
“ซิงซิง ซิงซิง! ลืมตาขึ้นสิ ซิงซิง!”
หัวใจที่แตกสลายห่อหุ้มไว้ด้วยความกังวลนั้นมองทั้งสองร่างที่ไม่ได้สติพอๆ กันด้วยความโหยหา แต่กลับไม่มีใครในที่นั้นเลยที่สนใจเฉียวเค่อเหรินที่สลบโดยไม่ได้สติอยู่ในรถที่ชนเข้ากับกันชนข้างทาง
ไม่นานนัก รถพยาบาลก็เข้ามาและพาทั้งสามคนไปโรงพยาบาลต่ออย่างรวดเร็ว
———————————————————————
ด้านนอกห้องฉุกเฉิน ฝูเจิ้งเจิ้งผู้ที่ฟื้นก่อน เธอพยายามจะลุกขึ้นจากรถเข็นโดยไม่สนใจที่จะให้ทำแผลหรือให้น้ำเกลือแต่อย่างใด
“เจิ้งเจิ้ง! ซิงซิงจะไม่เป็นอะไร เธอทำแผลก่อนเถอะ แล้วให้หมอตรวจร่างกายเพิ่มเติมด้วย”
ด้วยสีหน้าที่ซีดเผือดของหานซือฉี เขาพยายามจะเกลี้ยกล่อมและจับฝูเจิ้งเจิ้งนั่งลงไปตามเดิม ทว่าเธอกลับมองเขาด้วยแววตาที่ขุ่นเคือง
“ออกไปให้พ้นเลย!” ฝูเจิ้งเจิ้งกัดฟันขณะที่ตะโกนออกมาด้วยเสียงอันแหบพร่า
จริงๆ เธอฟื้นมาตั้งแต่อยู่บนรถพยาบาลแล้ว ตลอดทางที่นั่งมานั้นเธอก็จับฝูซิงไว้แน่นและปฏิเสธที่จะให้หมอมารักษาเธอก่อนอย่างหนักแน่น ในตอนนี้ฝูซิงถูกนำตัวส่งเข้าไปในห้องฉุกเฉินมากกว่าชั่วโมงหนึ่งแล้ว และเธอก็ยังคงดึงดันว่าจะไม่ให้ทีมแพทย์เข้ามารักษาเธอดังเดิม
“เจิ้งเจิ้ง ฝูซิงจะไม่สบายใจเอานะถ้าออกมาเห็นเธอสภาพแบบนี้น่ะ” หานซือฉีพยายามปลอบเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุด
“ถ้าหากฝูซิงเป็นอะไรไป ฉันก็จะตายตามไปด้วย จากนั้นก็เชิญนายมาเก็บศพฉันกับลูกไปได้เลย” ฝูเจิ้งเจิ้งถูกจับนอนลงไปบนเตียง เธอได้แต่มองไปยังเพดานสีขาวด้วยแววตาที่ไร้ชีวิตชีวาก่อนที่น้ำตาจะเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง
คิดเหรอว่าเขาไม่รู้ว่าฝูเจิ้งเจิ้งกำลังคิดอะไรอยู่? ถ้าฝูซิงไม่เป็นไร เธอก็ไม่เป็นไรเช่นกัน แต่ถ้าฝูซิงเป็นอะไรไป…เธอเองก็จะตามไปด้วย
เมื่อเห็นว่าเธอยอมนอนลงแล้ว หานซือฉีก็ไม่ได้เข้าไปกวนใจเธอ เขาหันกลับไปรอบๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปต่อยที่ผนังจนผิวของเขาแตกเป็นแผลขึ้นมา
ปกติแล้วเขาจะคาดการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างไว้โดยตลอด ทุกสิ่งที่ทำลงไป จะต้องเกิดจากความมั่นใจเท่านั้น เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าวันหนึ่งจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมา…
เขาไม่กล้าคิดด้วยว่าหากในห้องฉุกเฉินนั้นไม่ได้มีแค่ฝูซิงคนเดียว หากแต่เป็นทั้งสองแม่ลูกเลย บางทีมันคงเหมือนชีวิตของเขาได้โดนพรากหัวใจไปอีกครั้งก็เป็นได้
“คุณหานครับ…” หลินหยงเฉินนั้นอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ต้องหยุดลงไปก่อนและหันไปมองยังประตูหน้าห้องฉุกเฉินด้วยความกังวลเช่นกัน
ในขณะนั้นเอง ทางด้านหนึ่งของทางเดิน เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบของใครหลายคนกำลังมุ่งตรงมายังห้องฉุกเฉินเช่นกัน และผู้ที่เข้ามานั้นก็คือ หานเถิงอวี้กับจีหยาฉู ตามด้วยหานซือเฉียนและจีหมู่เซี่ยน
“ซือฉี ซิงซิงเป็นยังไงบ้าง? หลานของพวกเราอยู่ไหน?” มองไปยังแสงไฟที่บ่งบอกว่าห้องฉุกเฉินมีผู้ป่วยอยู่ จีหยาฉูก็หันไปเขย่าแขนของหานซือฉีพร้อมกับน้ำตาแตกออกมาทันที “เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง!”
เพราะหานซือฉีไม่ยอมพูดอะไร หานเถิงอวี้ที่เอาแต่เดินไปเดินมาด้วยความกังวลก็ตะโกนขึ้นมา “หานซือฉี! เพราะแกจงใจพาฝูซิงออกมา เขาเลยต้องมาประสบอุบัติเหตุ! ถ้าหากเขาเป็นอะไรไปขึ้นมา แกเตรียมตัวตายได้เลย!”
“เงียบหน่อยครับญาติคนไข้ ขอความสงบด้วยนะครับ!” เจ้าหน้าที่ที่ทำงานภายในห้องฉุกเฉินนั้นรีบออกมาพูดให้คนด้านนอกเงียบลงก่อนด้วยความไม่พอใจ
จีหยาฉูรีบปิดปากไว้ขณะที่น้ำตายังคงไหลไม่หยุด ส่วนหานเถิงอวี้ก็เลิกต่อว่าหานซือฉี ระหว่างนั้นทรวงอกของเขามันกลับเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างรุนแรงจนหานซือเฉียนต้องรีบเข้ามาช่วยประคองให้เขานั่งลงไปใกล้ๆ บริเวณนั้นก่อนเพื่อทานยาลดความดันเลือดให้ต่ำลง
ภาพความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้จีหมู่เซี่ยนไม่ค่อยอยากเข้าไปยุ่งซักเท่าไหร่ เขาปลีกตัวไปหาหลินหยงเฉินแทนและถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
“แล้วเฉียวเค่อเหรินเป็นยังไงบ้าง?” หลังจากที่จีหมู่เซียนรู้แล้วว่าเรื่องทุกอย่างเป็นฝีมือของเฉียวเค่อเหริน เขาก็รีบถามถึงเธอขึ้นมาทันที
“ก่อนที่ผมจะขึ้นรถพยาบาลมา ผมเห็นถุงลมนิรภัยในรถของเธอทำงานแล้วนะครับ ดูๆ แล้วเธอไม่มีเลือดไหลเลย น่าจะไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงอะไร แค่สลบน่ะครับ” เขาอธิบายก่อนจะหันไปมองคนของตระกูลหานทั้งหลายก่อนจะรีบพูดขึ้นด้วยเสียงเบาเช่นกัน “ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เพิ่มเติมให้นะครับ”
จีหมู่เซี่ยนพยักหน้าให้ หลินหยงเฉิงหันมองหน้าห้องฉุกเฉินอีกครั้งก่อนจะจากไป
แสงไฟบนประตูห้องฉุกเฉินดับลง ฝูเจิ้งเจิ้งที่อยู่แถวนั้นและคอยจ้องมายังห้องฉุกเฉินตลอดก็รีบวิ่งเข้าไปเป็นคนแรก แต่ทันทีที่เธอลุกออกจากรถเข็น ขาของเธอก็อ่อนแรงและล้มลงไปตรงจุดนั้นอย่างช่วยไม่ได้
หานซือฉีที่เห็นดังนั้นก็รีบเดินเข้าไปช่วยเธอ ทว่าหญิงสาวกลับผลักเขาออกไป
ทันทีที่แพทย์เดินออกมาจากประตูห้อง หานเถิงอวี้และจีหยาฉูก็รีบถามขึ้นมาด้วยความร้อนใจ “คุณหมอครับ หลานของพวกผมเป็นยังไงบ้าง?”
ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามลุกขึ้นและเดินกะเผลกเข้าไป เธอนั้นไม่กล้าถามอะไร ขณะที่รอฟังคำตอบจากหมอด้วยคำถามที่สองคู่รักสูงวัยถามไปก่อนหน้า ดวงตาของเธอมันก็เปี่ยมไปด้วยความเครียดและหวาดกลัว
หานซือเฉียนและจีหมู่เซี่ยนเองก็เดินตามเข้ามาด้วย พวกเขาเองก็รอฟังคำพูดของแพทย์เช่นเดียวกัน
แพทย์ที่เห็นญาติคนไข้พากันมายืนมุงกันพร้อมหน้า เขาก็ค่อยๆ ถอดผ้าปิดปากออก และพูดว่า “เด็กขาหักน่ะครับแล้วก็มีบาดแผลกระจายไปทั่วตัวจากการโดนกิ่งไม้ขีดข่วน แต่โดยรวมแล้วปลอดภัยครับ”
“ขอบคุณพระเจ้า!” จีหยาฉูกุมมือตนเองแน่นขณะที่อุทานออกมาด้วยความโล่งใจ
หัวใจที่บีบแน่นของฝูเจิ้งเจิ้งเองก็เริ่มผ่อนคลายลงมาบ้าง ทว่าเพราะความผ่อนคลายนั้น เธอจึงหมดสติล้มลงอีกรอบ
โชคยังดีที่หานซือฉีนั้นมารับเธอเอาไว้ทัน
เห็นเช่นนั้น แพทย์จึงต้องนำตัวฝูเจิ้งเจิ้งไปรักษาด้วยอีกคน
———————————————————
ห้องพักผู้ป่วย VIP ตอนเย็น
ภายในห้องนั้นมีเตียงผู้ป่วยอยู่สองเตียง เตียงหนึ่งคือฝูเจิ้งเจิ้ง และอีกเตียงหนึ่งเป็นฝูซิง ทั้งสองต่างกำลังนอนให้น้ำเกลืออยู่ข้างๆ กัน ด้วยสีหน้าที่ซีดเซียวกว่าปกติเล็กน้อย
ฝูซิงที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมารีบหันไปหาแม่ของตนก่อนจะถามด้วยเสียงค่อย “หม่ามี๊ ยังเจ็บมืออยู่หรือเปล่า?”
“ไม่เจ็บแล้วจ้ะ” หันไปมองยังลูกชายของตน ที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ทั่วตัว ฝูเจิ้งเจิ้งก็แอบมีน้ำตาไหลออกมา “หม่ามี๊ปกป้องฝูซิงไว้ไม่ได้ หม่ามี๊ขอโทษนะ…”
“หม่ามี๊ ฝูซิงเองก็ไม่ได้บาดเจ็บเหมือนกัน ฝูซิงน่ะแข็งแกร่ง! เพราะงั้นนะหม่ามี๊ ถ้าเมื่อไหร่ฝูซิงโตขึ้น ฝูซิงจะปกป้องหม่ามี๊เอง! อุ่ก—” ยังไม่ทันจะได้พูดจบประโยค ฝูซิงก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเพราะเผลอขยับตัวเสียแล้ว
“โอ้ๆๆๆ หลานรัก ค่อยๆ ขยับสิจ๊ะ” จีหยาฉูที่อยู่ใกล้ๆ ก็รีบเข้ามาจับมือฝูซิงไว้เบาๆ ขณะที่ปาดน้ำตาของตนไปด้วย
“ฉันไม่คิดเลยนะว่าเฉียวเค่อเหรินจะเป็นคนที่ร้ายกาจขนาดนี้ เธอคนนั้นวางแผนจะฆ่าหลานของฉัน เพราะงั้นฉันจะไม่ยอมให้ผู้หญิงแบบนั้นแต่งเข้ามาในตระกูลแน่ๆ !” หานเถิงอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฉันจะปกป้องหลานของฉันให้ได้ แม้จะต้องปล่อยให้โปรเจ็คเมืองฮั่นต้าพังทลายไปต่อหน้าต่อตาก็ตาม!”
“ทำไมซือเซียนถึงไม่รู้มาก่อนล่ะลูก? เห็นไหม ซือฉีเกือบจะได้แต่งงานกับยัยคนโรคจิตนั่นแล้วนะ! โชคดีจริงๆ ที่พวกเรารู้เรื่องนี้ก่อน ไม่งั้นมีหวังความสุขของซือฉีได้หายไปตลอดชีวิตแน่ๆ ” จีหยาฉูหันไปมองลูกชายคนโตด้วยความเสียใจ
ยัยคนโรคจิต?
ฝูเจิ้งเจิ้งหันมองจีหยาฉูด้วยความสงสัย
—————————————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
มันมีความรู้สึกว่า มีมือที่ 3 กำลังปั่นเรื่องนี้อยู่โดยใช้เงาของซือฉีคอยบดบังเอาไว้ และเราเทใจให้หลี่เสี่ยวเมิ่งมากๆ นางดูแอบร้ายอยู่นะ