ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 109 เป็นโรคจิตเพราะคุณหักหลังเขาไปมีคนอื่น!
เมื่อรับรู้ได้ถึงความสงสัยในแววตาของฝูเจิ้งเจิ้ง จีหยาฉูก็อธิบายให้เธอฟัง “หลังจากที่เฉียวเค่อเหรินถูกนำไปส่งโรงพยาบาลน่ะจ้ะ เธอก็ถูกพบว่าเป็นผู้มีความผิดปกติทางจิตอยู่ แล้วตอนนี้ก็ถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลจิตเวชแล้ว”
คนอย่างเฉียวเค่อเหรินจะกลายเป็นคนโรคจิตไปได้ยังไงกันน่ะ? เธอก็ดูปกติดีไม่ใช่หรือไง!
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฝูเจิ้งเจิ้งก็ตระหนักได้ว่า เฉียวเค่อเหรินนั้นจงใจจะฆ่าเธอและลูก และด้วยความจงใจนั้น มันถือว่าเธอทำผิดกฎหมายไปแล้ว ไม่มีทางที่เธอจะไม่โดนจับแน่ๆ
แต่ถ้าเมื่อไหร่เฉียวเค่อเหรินถูกยืนยันว่าเป็นผู้ป่วยทางจิต เธอจะกลายเป็นข้อยกเว้นทันที กฎหมายที่รัดกุมนั้น แท้จริงแล้วค่อนข้างเอื้อต่อผู้ป่วยทางจิตเหล่านี้มากๆ ไม่มีกฎหมายใดที่ลงโทษเวลาผู้ป่วยเหล่านี้ได้!
เฉียวเค่อเหริน!
ทำไมถึงเป็นคนที่น่ารังเกียจได้ขนาดนี้นะ!
นี่ต้องเป็นแผนของตระกูลเฉียวแน่ๆ!
ขนาดก่อนหน้านี้เฉียวเค่อเหรินยังสามารถส่งคนปกติอย่างเธอเข้าไปในโรงพยาบาลจิตเวชได้เลย เพราะงั้นมันจะยากอะไรถ้าส่งตัวเองเข้าไปในโรงบาลจิตเวชด้วยแบบนั้น?
ประสบการณ์ครึ่งคืนของเธอในโรงบาลจิตเวชนั้นค่อนข้างหนักหน่วง มันเกือบทำให้เธอเป็นบ้าได้เลย! แต่สำหรับเฉียวเค่อเหรินที่ต้องอยู่นานกว่านั้น ต่อให้ไม่มีใครอยากจะหาเรื่องเธอ แต่เธอก็น่าจะได้รับความทรมานทางจิตใจหนักเอาการอยู่เหมือนกัน
คิดได้ดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกเบาใจขึ้นมานิดหน่อย แต่เมื่อเธอหันไปมองยังลูกชายที่กำลังบาดเจ็บของเธอ ความเกลียดชังที่เพิ่งจะลดลงไปนั้นก็กลับขึ้นมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง และมันพลอยทำให้เธอปวดหัวขึ้นมาอีกครั้งด้วย
ในตอนนั้นเอง ที่มุมหนึ่งนอกห้องพักผู้ป่วย หานซือเซียนและหานซือฉีกำลังยืนคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่
“ซือฉี พวกเราพอจะยืดเวลายกเลิกงานแต่งงานไปก่อนได้หรือเปล่า?” ท่าทีของหานซือเซียนนั้นดูจะหนักอกหนักใจเป็นพิเศษ “ฉันกลัวว่าจะมีคนสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่เรายกเลิกงานแต่งงานทันทีหลังจากที่วิกฤตของเมืองฮั่นต้าเพิ่งจะคลี่คลายไปแบบนี้ นอกจากนี้เมืองฮั่นต้าเองก็กำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย หนำซ้ำอีกไม่กี่วันมันก็พร้อมที่จะเปิดขายรอบที่สองแล้วอีก ฉันไม่อยากให้มันมีอะไรเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นในหลายวันนี้ ฉันสัญญาเลยว่าหลังจากช่วงนี้ไปแล้ว ฉันจะเป็นฝ่ายไปกับแกเพื่อยกเลิกงานแต่งงานนั่นเลย!”
หานซือฉียืนมองหานซือเซียนผู้พี่โดยที่ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ซึ่งมันทำให้หานซือเซียนรู้สึกหนักใจขึ้นมาอีกจนต้องพยายามฝืนยิ้มออกมา “ฉันรู้นะว่านี่มันเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวมากๆ และมันไม่ยุติธรรมกับแก ฝูเจิ้งเจิ้งกับฝูซิง…”
“โอเค” ได้ยินเช่นนั้นหานซือฉีก็รีบตัดบทไปก่อนและเดินกลับเข้าห้องผู้ป่วยไป
ในตอนแรกหานซือเซียนคิดว่าอาจจะต้องใช้เวลาเกลี้ยกล่อมน้องชายของตนมากกว่านี้ เขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะยอมตกลงด้วยง่ายๆ ชายหนุ่มยืนมองตามหลังของอีกฝ่ายไป ภายในใจก็รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตนทำไม่น้อยเลย
เมื่อหานซือฉีเดินเข้ามาถึงประตูห้อง เขาก็พบกับหมินจงจู่และเฉินเฉี่ยวหลานที่หิ้วอาหารมาด้วยพอดี
“ซือฉี ซิงซิงกับเจิ้งเจิ้งดีขึ้นหรือยัง?” หมินจงจู่หันมาถามทันทีเมื่อเขาเห็นหานซือฉี
“อืม” หานซือฉีพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าห้องไปพร้อมกับทั้งสอง
“ซิงซิงลูก!” เมื่อเห็นว่าฝูซิงกลายเป็นเจ้ามัมมี่ตัวน้อยไปแล้ว เฉินเฉี่ยวหลานก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
“ย่าเฉิน…ฝูซิงสบายดี” เสียงของฝูซิงในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเสียงของยุงที่กำลังบินตอมหูเลย
“โอเคๆ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย” จีหยาฉูหันไปมองยังเฉินเฉี่ยวหลานราวกับจะดุอีกฝ่าย เธอรีบเข้าไปรับซุปมาจากมือแม่บ้านคนสนิทนี้ก่อนจะพูด “ซิงซิง ย่าไปต้มซุปกระดูกหมูมาให้ด้วยน้า~ ค่อยๆ ดื่ม แล้วหลานจะหายเร็วขึ้นนะจ๊ะ”
หานเถิงอวี้เองก็รีบเข้ามาช่วยฝูซิงให้ลุกขึ้นนั่งพร้อมๆ กับช่วยจีหยาฉูป้อนซุปไปพลางๆ
“ให้ผมทำเอง!” หานซือฉีเองก็อยากจะช่วยด้วย
“ออกไปให้ห่างๆ เขาเลย!” หานเถิงอวี้รีบเหลือบมองหานซือฉีด้วยแววตาที่เฉียบคมทันที
“พวกเราจะป้อนซิงซิงเอง!” จีหยาฉูเองก็หยุดเขาไว้ด้วยท่าทีแข็งกร้าวไม่เหมือนปกติด้วย
“หืม–โอ้ย!” ฝูซิงเองก็หันหน้าออกเพื่อจะไม่มองหานซือฉี แต่เมื่อเขาขยับตัว ความเจ็บปวดมันก็ทำให้เด็กน้อยร้องออกมาอีก
“เด็กดีๆ อย่าเพิ่งหันไปไหนนะจ๊ะ” จีหยาฉูตกใจมาก เธอรีบหันไปขึ้นเสียงใส่หานซือฉี “อย่ามาเดินเตร่หน้าซิงซิงด้วย!”
หานซือฉีที่รู้สึกได้ถึงความเกลียดชังของฝูซิงก็เริ่มหนักใจขึ้นมา เขาหันไปมองหมินจงจู่ที่กำลังจะช่วยป้อนข้าวให้ฝูเจิ้งเจิ้ง ทันใดนั้นเขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปหาเธอแทน และเมื่อหมินจงจู่เห็นหานซือฉีกำลังเดินเข้ามา เขาก็รีบหยุดและลุกให้
“ฉันจะกินเอง” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดขึ้นมาก่อนอย่างเยือกเย็นก่อนจะใช้มือซ้ายที่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรคอยประคองตัวเองดีๆ
เขาไม่สนใจคำปฏิเสธของเธอ หานซือฉีเข้าไปโอบไหล่ของหญิงสาวไว้และจับเธอขึ้นมานั่งดีๆ
ชายหนุ่มรับถ้วยมาจากมือของเฉินเฉี่ยวหลาน และนั่งลงไปข้างๆ ฝูเจิ้งเจิ้ง
ขณะที่หานซือฉีกำลังบรรจงตักซุปร้อนๆ ขึ้นมานั้นเอง ฝูเจิ้งเจิ้งที่กำลังแสดงสีหน้าเคร่งเครียดอยู่นั้นก็ยื่นมือซ้ายของเธอออกไปหมายจะจับช้อนไว้
“เธอไม่อยากรีบๆ หายแล้วไปปกป้องซิงซิงหรือไง?” ทว่าหานซือฉีก็จี้ใจดำเพื่อหยุดเธอเอาไว้
ได้ยินเช่นนั้น แม้จะไม่อยากได้รับความช่วยเหลือ แต่มือเธอมันก็ต้องชะงักไปกลางอากาศ
เธอคิดถึงหน้าของเฉียวเค่อเหริน ถึงแม้ว่าตัวเฉียวเค่อเหรินจะถูกส่งเข้าโรงพยาบาลจิตเวชไปแล้ว แต่ครอบครัวของฝ่ายนั้นจะต้องไม่สนใจความเลวร้ายที่ลูกสาวของตนได้ทำไว้แน่ๆ ดังนั้นแล้วเป้าหมายของพวกเขาก็คือเธอกับหานซือฉีนั่นแหละ!
ตราบใดก็ตามที่เธอและฝูซิงยังอยู่ภายในเมือง B นั่นหมายถึงชีวิตของพวกเธอกำลังอยู่ในอันตราย!
การที่จะออกไปจากที่นี่พร้อมฝูซิงได้ เธอจำเป็นต้องรีบรักษาตัวให้หายก่อน!
เมื่อริมฝีปากของเธอรับรู้ได้ถึงความอุ่นจากช้อนที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ ในท้ายสุดเธอก็ค่อยๆ อ้าปากออกช้าๆ
ในขณะเดียวกันที่จีหยาฉูและหานเถิงอวี้ผู้ที่กำลังป้อนซุปให้ฝูซิงได้เห็นหานซือฉีป้อนซุปฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความอ่อนโยน ทั้งสองต่างก็หันมองหน้ากันด้วยความหนักใจ
หลังจากที่ป้อนซุปฝูเจิ้งเจิ้งเสร็จแล้ว หานซือฉีก็ส่งชามคืนให้เฉินเฉี่ยวหลาน และหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปากให้เธอ ทว่าฝูเจิ้งเจิ้งกลับเป็นฝ่ายจับทิชชู่นั้นไว้และเช็ดปากตนเองอย่างไม่ใส่ใจ เมื่อเสร็จทุกอย่างแล้วเธอก็เอนนอนลงไปโดยที่ไม่มองไปยังหานซือฉีเลยแม้แต่นิดเดียว
โดยไม่มีการพูดอะไร หานซือฉีเองก็ลุกขึ้นช้าๆ เขาเดินไปดูฝูซิงที่นอนลงไปแล้วก่อนจะเตรียมที่จะเดินออกไปด้านนอก
“อย่าเพิ่งไป!”
ได้ยินเสียงหมินจงจู่ร้องขึ้นมา หานซือฉีก็หันกลับไปมอง ทว่าเขาก็พบว่าแม่ของเขากำลังหยุดไม่ให้หมินจงจู่พูดต่อ เห็นเช่นนั้นหานซือฉีก็ไม่รออะไรทั้งนั้นและรีบเดินออกจากห้องไป
ทันทีที่เห็นว่าหานซือฉีเดินออกมาจากห้องแล้ว หลินหยงเฉิงก็รีบเข้าไปเตือนเขาด้วยเสียงเบา “คุณหานครับ อย่าไปทางประตูหน้านะครับ ที่นั่นมีนักข่าวจำนวนมากรออยู่”
“เข้าใจแล้ว” หานซือฉีพยักหน้าและเดินไปยังลิฟต์ที่จะพาเขาไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดินแทน แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เพราะเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เหล่านักข่าวก็พากันกรูออกมาและห้อมล้อมเขาไว้อย่างรวดเร็ว ราวกับแร้งที่เห็นเหยื่อ
“คุณหานคะ ช่วยอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับฝูเจิ้งเจิ้งทีค่ะ!”
“คุณหาน ฉันได้ยินมาว่าคุณเฉียวมีอาการทางจิตขึ้นมาก็เพราะว่าคุณหานทิ้งเธอไปรักคนอื่นจริงไหมคะ?”
“คุณหาน…”
หานซือฉีผู้ที่เงียบอยู่ตลอดนั้นทำเป็นหูทวนลมขณะใช้ศอกของเขาเขี่ยคนนู้นทีคนนี้ทีออกไปเพื่อเปิดทางให้ตนเองเดินได้
ในตอนนั้นเอง เสียงรถเบรคก็ดังสนั่นขึ้นมาจนหานซือฉียังต้องหันไปมอง หมินจงจู่ผู้เป็นเจ้าของรถคันนั้นจอดรถไว้ที่ปลายทางอีกด้านหนึ่งของความวุ่นวาย เขารีบเปิดกระจกและตะโกนเรียก “ซือฉี มาขึ้นรถเร็ว!”
ได้ยินเช่นนั้น หานซือฉีก็รีบแหวกทางมาจากคนเหล่านั้นแล้วเข้ารถไปอย่างรวดเร็ว
“คุณหานคะ!”
“คุณหาน—”
เหล่าผู้สื่อข่าวทั้งหลายต่างพากันวิ่งตามมาติดๆ หมินจงจู่ที่เห็นดังนั้นก็รีบเหยียบคันเร่งออกไปทันทีโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น จนเหล่านักข่าวเริ่มวิ่งตามกันไม่ทันในที่สุด
หลังจากที่ออกมาจากลานจอดรถชั้นใต้ติดของโรงพยาบาลได้แล้ว หมินจงจู่ก็โล่งใจและเอ่ยแซวขึ้นมา “ดูเหมือนนายกับเฉียวเค่อเหรินคงจะต้องเหนื่อยกับพวกนักข่าวพวกนี้หน่อยแล้วล่ะในสองวันนี้”
ทว่าหานซือฉีกลับไม่ได้ยิ้มหรือตอบอะไรกลับไปเลย
เมื่อรู้ว่ามุขตลกของเขานั้นไม่ได้ช่วยคลายความตึงเครียดของคนข้างๆ ได้เลย หมินจงจู่จึงไม่ได้ยิ้มขี้เล่นแบบที่มักจะยิ้มให้เวลาเล่นมุข และเอ่ยขึ้นมาอย่างจริงจังแทน “ซือฉี เรื่องมันเป็นแบบนี้ไปแล้ว มีแผนอะไรไหม?”
หานซือฉียังคงไม่ตอบอะไร เขามองตรงไปข้างหน้าด้วยใบหน้าเฉยชา
ตั้งแต่ที่เกิดอุบัติเหตุนั้นขึ้นจนถึงตอนนี้ก็ครึ่งวันเข้าไปแล้ว ข่าวที่ถูกแพร่ออกไปอย่างแพร่หลายนั้นก็บ่งบอกชัดเจนว่าหานซือฉีนั้นนอกใจเฉียวเค่อเหริน จนทำให้เฉียวเค่อเหรินกลายเป็นโรคจิตไป ด้วยเหตุนี้เธอจึงขับรถไล่ชนฝูเจิ้งเจิ้ง ผู้หญิงอีกคนจนทำเกิดอุบัติเหตุรถพุ่งเข้าชนฝูซิงแทน
นอกจากนั้นบางคนก็ยังบอกอีกว่า เพราะหานซือฉีนอกใจเฉียวเค่อเหริน เฉียวเค่อเหรินจึงโกรธมากๆ และไปดื่มหนักๆ อยู่ในคลับแห่งหนึ่ง จนกลายเป็นที่มาของภาพหลุดพวกนั้นในอินเตอร์เน็ต
ไม่เพียงเท่านั้น เพราะว่ามันยังมีข่าวลือในอินเตอร์เน็ตที่บอกไว้ว่า ตระกูลหานนั้นจ้องจะยกเลิกงานแต่งงานกับตระกูลเฉียวอยู่แล้วตั้งแต่ต้น เพราะจุดประสงค์จริงๆ ที่เข้าหาตระกูลเฉียวก็เพียงเพราะเมืองฮั่นต้าเท่านั้น เมื่อไหร่ที่เอกสารเกี่ยวกับสถานีรถไฟใต้ดินถูกตีพิมพ์ออกมา ปัญหาในเมืองฮั่นต้าก็จะคลี่คลาย ตระกูลหานก็จะสลัดตระกูลเฉียวทิ้งอย่างไม่ใยดี
ความคิดเห็นของผู้คนมากมายต่างร่วมกันประณามตระกูลหาน โดยเฉพาะ หานซือฉี!
เฉียวหยวนหาน ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์! เล่นบทโดนกระทำเก่งนักนะ!
ตระกูลเฉียวนั้นไม่ได้ออกมาแสดงตัวหรือยุ่งเกี่ยวอะไรกับข่าวลือนี้ทั้งนั้น พวกเขารออย่างใจเย็นและปล่อยให้ทางตระกูลหานดิ้นรนกันเอง และเพราะเหตุนี้มันเลยทำให้ตระกูลหานทั้งตระกูลต้องอยู่กันในสถานะตกทุกข์ได้ยากกันหมด
หานซือฉีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหาหลินหยงเฉิง “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?”
“มันน่าจะต้องใช้เวลาอีกซักหน่อยครับ ผมเปลี่ยนคนที่ไปโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว น่าจะเสร็จเร็วๆ นี้”
“โอเค รีบหน่อยก็แล้วกัน”
วางโทรศัพท์ลง หานซือฉีก็เอนหัวลงไปบนเบาะนั่งและหลับตาลงช้าๆ ใบหน้าของเขาแสดงความเหนื่อยล้าออกมานิดหน่อย
หมินจงจู่รู้ดีกว่าเขากำลังคิดอะไร เพราะงั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ขับรถไปเงียบๆ
“ฝู เธอเป็นผู้หญิงของฉันแล้ว เธอคงจะไม่ทิ้งฉันไปไหนอีกใช่ไหม? ฉันจะไม่ยอมให้เธอไปไหนอีกแน่ๆ !”
“ฝู ฉันจะรอเธอนะ! ฉันจะรอเธอกลับมา!”
เสียงของเขาเองเมื่อ 6 ปีที่แล้วมันวกกลับมาในหัวอีกครั้ง และเพราะเสียงนี้มันเลยทำให้หานซือฉีขมวดคิ้วขึ้นมา
ในภวังค์ที่ปรากฏขึ้นมา เขาเห็นตัวเองเมื่อ 6 ปีก่อน กำลังกำสร้อยคอเส้นหนึ่งไว้แน่นพร้อมทั้งร้องเรียกชื่อของผู้หญิงที่ชื่อ ฝู ออกมาด้วย
จริงๆ ตั้งแต่ที่เห็นภาพของฝูซิงโดนเฉียวเค่อเหรินขับรถชน ภาพจำหลายๆ อย่างมันก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขาเป็นจำนวนมาก เศษเสี้ยวของความทรงจำที่หายไป มันกำลังกลับมาอย่างรวดเร็ว
ฝูเจิ้งเจิ้ง—เจิ้นฝู!
เธอกลับมาตามหาเขางั้นเหรอ? แล้วทำไมถึงต้องเปลี่ยนชื่อล่ะ?
ทั้งๆ ที่ฝูเจิ้งเจิ้งรู้ว่าเขานั้นเป็นห่วงเธอขนาดไหน แต่ก็ยังทิ้งเขาไปในท้ายที่สุดงั้นเหรอ!
ที่เธอกลับมาหาเขาอีกครั้ง เพียงเพราะว่าเธอให้กำเนิดฝูซิงแล้วหรือไง?
“ซือฉี นี่เป็นกุญแจบ้านของฉัน เดี๋ยวฉันจะไปรับหลิงหลงจากที่ทำงาน แล้วจะพาหลิงหลงไปเยี่ยมเจิ้งเจิ้งกับฝูซิงก่อน เพราะงั้นพวกเราอาจจะกลับกันมาช้า ถ้ายังไงมื้อเย็น…”
คำพูดของหมินจงจู่นั้นปลุกให้หานซือฉีตื่นจากภวังค์แห่งความคิด และก่อนที่หมินจงจู่จะพูดจบ หานซือฉีก็คว้ากุญแจบ้านของอีกฝ่ายมาและลงรถไปโดยไม่หันกลับมามอง
หมินจงจู่นั้นไม่ได้โกรธอะไร เขาเพียงมองทิ้งท้ายก่อนจะขับรถออกไป
หลังจากที่เข้าไปในบ้านของหมินจงจู่แล้ว หานซือฉีก็คิดนู่นคิดนี่อยู่อีกพักหนึ่งก่อนจะโทรหาหลินหยงเฉิง “ตรวจสอบข้อมูลของ เจิ้นฝู ในเมือง A แล้วก็ดูความสัมพันธ์ของเธอกับ เจิ้นเฉ่า”
โทรศัพท์ถูกโยนออกไปไกลเมื่อใช้งานเสร็จสิ้น จากนั้นเขาก็หยิบเปิดคอมพิวเตอร์และดูข่าวสารต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นในโลกออนไลน์ที่เกี่ยวกับเขา ฝูเจิ้งเจิ้ง และเฉียวเค่อเหริน ก่อนจะแสดงท่าทีเหยียดหยามออกมาอย่างเยือกเย็น
เขาหยิบเอาเอกสารกองใหญ่ออกมาจากกระเป๋าก่อนจะเริ่มไล่อ่านไปเรื่อยๆ ตามจุดที่ข้อความขีดเน้นย้ำไว้ด้วยปากกาแดง
หากผู้ป่วยทางจิตนั้นกระทำการอะไรลงไปโดยที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ จะไม่ถือว่ามีความผิดทางอาญา และเมื่อได้รับการยืนยันทางกฎหมายแล้ว จะเป็นทางครอบครัวเองที่จะต้องรับผิดพาคนคนนั้นไปรักษาและดูแลให้ดีเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องนั้นอีก
ส่วนผู้ป่วยทางจิตที่ไม่ได้มีอาการอย่างต่อเนื่อง ยังคงได้รับผิดในทางอาญาเช่นเดิม
หากผู้ป่วยทางจิตที่กระทำความผิดโดยที่ยังไม่สูญเสียความสามารถในการควบคุมตัวเอง คนคนนั้นจะยังคงได้รับความผิดทางอาญาเช่นเดิม แต่อาจจะได้รับการลดหลั่นกันไปตามความเหมาะสม
หลินหยงเฉิงบอกเขาไว้ว่าเฉียวเค่อเหรินนั้นถูกยืนยันว่าเป็นผู้ป่วยทางจิตแล้ว!
และนั่นหมายถึง ต่อให้เธอทำร้ายฝูซิงถึงขนาดนี้ เธอก็จะไม่ได้รับความผิดใดๆ ทั้งสิ้น!
ความโกรธเคืองของหานซือฉีมันระเบิดออกมารุนแรงจนเขาโยนเอกสารต่างๆ ทิ้งไปจนหมด แต่ทันใดนั้นเอง โทรศัพท์ก็ดังขึ้น และเมื่อเขาหยิบโทรศัพท์ที่โยนทิ้งไปมาดู เขาก็พบว่า มันเป็นสายจาก เฉียวหยวนหาน!
——————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
ทำไมเนื้อเรื่องมันเริ่มซับซ้อนขึ้นแล้วนะ จู่ๆ บทจะหนักก็หนักเลย หนักมากด้วย
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-