ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 110 ยากที่จะคลายปมในใจ
“ซือฉี นี่ฉันเอง เฉียวหยวนหาน”
น้ำเสียงของเฉียวหยวนหานนั้นอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง แม้เขาจะอ่อนโยนกับหานซือฉีมาตลอดก็จริง แต่คราวนี้หานซือฉีก็ประหลาดใจไม่น้อย ชายหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไปอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ คุณเฉียว”
“เธออาจจะต่อว่าฉันก็ได้เรื่องที่ฉักปกปิดอาการป่วยของเค่อเหรินมาโดยตลอด จริงๆ ฉันพยายามรักษาเธอมานานแล้วล่ะ คุณหมอเองก็บอกว่าเธอไม่เป็นไรแล้วหากไม่ถูกกระตุ้น ฉันคิดว่าเธอและลูกสาวของฉันน่าจะไปกันได้ดีไปนานๆ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าเค่อเหรินจะอาการกำเริบแล้วคลุ้มคลั่งขึ้นมาแบบนี้…” เฉียวหยวนหานถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “เค่อเหรินคงสร้างปัญหาให้เธอมามากเลยสินะ”
หานซือฉียิ้มเย้ยหยันอยู่ภายในใจ เขาเล่าเรื่องทุกอย่างที่ฝูซิงโดนเค่อเหรินกระทำใส่ และเฉียวหยวนหานก็ไม่รอช้าที่จะเยียวยาเขาด้วยเงินก้อนใหญ่ทันที!
“ตอนนี้เค่อเหรินจำฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ ลูกสาวฉันเอาแต่เรียกหาชื่อเธออยู่ตลอด เอาเป็นว่าถ้าเธอมีเวลา ก็มาเยี่ยมเค่อเหรินบ้างนะ” หลังจากนั้นเขาก็บอกเลขห้องพักผู้ป่วยของเฉียวเค่อเหรินให้พร้อมกับถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะวางสายไป
คนคนนี้ต้องการให้หานซือฉีไปเยี่ยมเฉียวเค่อเหรินบ้าง หรือกำลังจะบอกว่าเฉียวเค่อเหรินนั้นป่วยจริงๆ เขาอย่าเอาเรื่องเลย?
ในขณะที่หานซือฉีกำลังนวดบ่าของตัวเองอยู่และเตรียมที่จะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมา
มันเป็นสายโทรเข้าจากหานซือเซียน
“ซือฉี รีบมาโรงพยาบาลด่วนเลย! ซิงซิงมีไข้ ส่วนพ่อก็ความดันขึ้นด้วย!”
ได้ยินเช่นนั้นหานซือฉีก็รีบสวมเสื้อโค้ทแล้ววิ่งออกไปทันที
——————————————–
“ซิงซิง เข้มแข็งไว้นะลูก ซิงซิง! หม่ามี๊ชอบแค่ซิงซิงที่เป็นเด็กเข้มแข็งนะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งกุมมือฝูซิงไว้พร้อมกับเรียกชื่อเขาตลอดด้วยความกระวนกระวายใจ
“หม่ามี๊…” ฝูซิงที่กำลังไข้ขึ้นจนหน้าแดงตอบรับเสียงเรียกนั้นด้วยเสียงของตนที่แผ่วเบาและดวงตาที่หลับไหล
“หม่ามี๊อยู่นี่แล้ว! หม่ามี๊อยู่กับฝูซิงนะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบบีบมือของเขาเบาสลับแรงเหมือนให้เขารู้ว่าเธอยังอยู่ข้างๆ ใบหน้าสวยในตอนนี้มีแต่หยาดน้ำตาไหลพรากลงมาหมดแล้ว
“ซิงซิงเป็นยังไงบ้าง?” หานซือฉีพุ่งเข้ามาในห้องพักนั้นโดยที่ไม่ได้หยุดก้าวขาลงเลย เขามองไปยังฝูซิงก่อนจะถามด้วยความกังวลใจ
เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งไม่ยอมคุยกับเขา เขาก็ยื่นมือไปแตะหน้าผากฝูซิงเบาๆ แต่ก่อนที่ปลายนิ้วจะได้สัมผัส ฝูเจิ้งเจิ้งก็พูดขึ้นมาและปัดมือเขาออก “อย่ามาแตะต้องลูกชายของฉัน!”
แต่เธอทำใจแข็งได้ไม่นานก็ต้องกัดฟันด้วยความเจ็บปวด นั่นเพราะว่ามือที่เธอใช้ปัดป้องมือของอีกฝ่าย มันดันเป็นมือที่ได้รับบาดเจ็บซะได้
ชายหนุ่มรีบจับมือข้างนั้นของเธอไว้ก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วง “เจ็บมากหรือเปล่า?”
ฝูเจิ้งเจิ้งปัดมือเขาออกต่อในทันที “หานซือฉี! ฉันจะไม่เจ็บไม่ป่วยอะไรทั้งนั้นถ้านายอยู่ห่างจากพวกฉัน! ดีไม่ดีพวกฉันจะไม่ต้องมาอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ!”
หานซือฉียืนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้นมาอีกครั้ง “ซิงซิงเป็นยังไงบ้าง?”
หญิงสาวยังคงไม่ตอบและไม่หันไปมองเขาเหมือนเดิม รวมถึงไม่สนใจมือที่เจ็บนั่นด้วย
พลันเมื่อเห็นว่าถามไปคงไม่ได้คำตอบ เขาจึงยื่นมือไปสัมผัสหน้าผากฝูซิงเองพร้อมกับอุทานออกมาด้วยความตกใจ “ตัวร้อนจี๋เลยนี่! หมออยู่ไหนน่ะ?”
เพราะอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ หานซือฉีจึงหันหน้าเตรียมจะวิ่งออกไปตามหมอด้วยความร้อนใจ
“เขากินยาไปแล้ว แถมฉีดยาไปแล้วด้วย!” ทันใดนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็พูดขึ้นมาเสียงเย็น “ไข้ไม่ลงเร็วขนาดนั้นหรอก”
พูดจบเธอก็หยิบเอาปรอทวัดไข้ออกมา
“เดี๋ยวฉันทำเอง” เขาหยิบเอาปรอทวัดไข้นั้นก่อนจะค่อยๆ วัดไข้ให้ฝูซิงขณะที่เจ้าตัวเล็กยังคงหลับไม่ได้สติ
ครู่หนึ่ง หานซือฉีก็ค่อยๆ ดึงปรอทวัดไข้ออกมาเพื่อดูค่า และเมื่อนั้นคิ้วของเขาก็ต้องขมวดขึ้นอีกครั้ง “38.9 องศาเลยเหรอ! นี่มันยังสูงอยู่เลยนี่!”
“ก่อนหน้านี้ 39.8 องศา”
“โอ๊ะ” ชายหนุ่มค่อยๆ วางปรอทวัดไข้ลงและไปนั่งข้างๆ ฝูเจิ้งเจิ้ง เขามองเธออยู่พักหนึ่งก่อนจะถามช้าๆ “เธอยังโกรธฉันอยู่เหรอ? วันนี้…”
“ฉันไม่อยากจะฟังอะไรเกี่ยวกับนายทั้งนั้น! เพราะงั้นเชิญไปนั่งตรงนั้นด้วยค่ะ…. คุณหาน” ฝูเจิ้งเจิ้งชี้ไปยังโซฟาที่ไม่ไกลจากเตียงเสียเท่าไหร่
หานซือฉีไม่ยอมขยับไปไหน เขาก้มหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจ้องมองเธอด้วยใบหน้าเศร้าหม่น “ทำไมเธอถึงเลือกจะหนีออกไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว?”
คำถามนั้นทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งถึงกับช็อก เธอหันไปมองหานซือฉีทันที
“ฉันจำได้หมดแล้ว”เขายืนยันกับเธออีกครั้ง
แม้จะเพียงแค่ครู่เดียว แต่ก็พอจะเห็นได้ว่าแววตาของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นเปล่งประกายขึ้นมาก่อนจะกลับไปเป็นเฉยชาดังเดิม บางทีถ้าเธอได้ยินเรื่องนี้ก่อนที่ฝูซิงจะป่วย เธออาจจะดีใจมากๆ เลยก็ได้
“ทำไมเธอถึงพยายามจะหนีจากฉัน?” หานซือฉีจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้และถามย้ำ
ฝูเจิ้งเจิ้งสังเกตเห็นว่าสีหน้าของชายตรงหน้าเธอนี้ดูกำลังสับสนเป็นอย่างมาก นี่เป็น…คำถามที่วนอยู่ในหัวของเขาตลอดตั้งแต่ก่อนจะเสียความทรงจำไปงั้นเหรอ?
‘ฉันจะเกลียดเธอแน่ๆ ถ้าเธอไม่ยอมกลับมา!’ ทันใดนั้นเสียงของเหนียนซี่ก็หวนกลับมาในหูของเธออีกครั้ง
บางทีอาจจะเป็นเพราะหัวใจที่กำลังสั่นกลัวเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอจึงรีบตอบกลับไป “ฉันกลับมาแล้ว! แต่เพราะนายเองต่างหากที่หายไป!”
“ฉันยังอยู่ที่เดิมอีก 3 วันก่อนที่ฉันจะย้ายออกมา แต่ฉันกลับไม่รู้เรื่องของเธอเลย! ไม่ได้ยินอะไรเกี่ยวกับเธอทั้งนั้น!”
“ฉัน…”
เธออยากจะพูดว่าเธอหนีไปอยู่ที่สถานีตำรวจกับพี่รองของเขา แต่หานซือฉีก็ชิงพูดขึ้นมาซะก่อน “ถ้าเธอไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตั้งท้อง เธอจะกลับมาหาฉันหรือเปล่า?”
เป็นอีกคำถามที่ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งถึงกับพูดไม่ออก นั่นเพราะสิ่งแรกที่เธอถามหาและเฝ้าออกตามหาตั้งแต่ที่ออกจากสถานีตำรวจได้ก็คือเหนียนซี่ เธอเห็นภาพของตึกมากมายที่ถูกทุบทิ้งไป รวมไปถึงกลัวว่าลูกน้องของหลี่หมิงจะมาไล่ตามจับตัวเธออีก ดังนั้นเธอจึงเลือกออกไปจากเมือง B หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าหาอีกฝ่ายไม่เจอ แต่สิ่งที่เขาพูดมันก็ใช่… เธอกลับมาตามหาเขาอีกครั้งก็เพราะเธอรู้ว่าตนเองตั้งท้อง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอนั้นคอยเฝ้าถามตัวเองอยู่ตลอดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตั้งแต่ที่เธอกำลังลังเลเกี่ยวกับการให้กำเนิดฝูซิง จนแม้จะมีลูกชายที่ชาญฉลาดคนนี้ออกมาแล้ว คำตอบในใจของเธอก็ยังคงเป็น ใช่ ดังเดิม!
เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งนั้นเงียบไป หานซือฉีก็หัวเราะกับตนเองก่อนจะพูด “จริงๆ แล้ว เมื่อ 6 ปีก่อน เหนียนซี่ก็เป็นแค่ไอ้โง่ในสายตาคนอื่น หากฉันยังเป็นแบบที่ฉันเป็นเมื่อ 6 ปีก่อน เธอจะพาฝูซิงกลับมาหาฉันหรือเปล่าล่ะ?”
“เหนียนซี่ไม่ใช่ไอ้โง่ซักหน่อย! เขาน่ะฉลาด…” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเถียงก่อนจะค่อยๆ หยุดไปพร้อมกับใบหน้าบูดบึ้ง “หานซือฉี นี่นายกำลังดูถูกตัวเองงั้นเหรอ?”
หานซือฉียื่นแขนออกไปและดึงเธอเข้ามากอดไว้พร้อมพูดด้วยเสียงเบา “บอกฉันสิ ว่าความรักที่เธอมีให้ฉันตลอด 6 ปีนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
ฝูเจิ้งเจิ้งอยากจะดิ้นรน ทว่าเขากลับกอดเธอด้วยแรงที่มากกว่า
“เจิ้งเจิ้ง! ห้ามไปไหนอีก! ถ้าเธอไปล่ะก็ ฉันจะเกลียดเธอจริงๆ ด้วย!”
ได้ยินถ้อยคำที่ขาดๆ หายๆ ของเขา ฝูเจิ้งเจิ้งก็เริ่มหยุดไปทีละนิด จนเลิกขัดขืนในที่สุด
เธอเริ่มจะเดาความคิดของหานซือฉีไม่ออกจริงๆ แล้วตอนนี้ เพราะงั้นมันเลยทำให้เธอไม่รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงอารมณ์แปรปรวนขนาดนี้
แต่พลันเมื่อทั้งสองได้ยินเสียงเคาะประตู กอดที่แน่นก็พลันคลายลงพร้อมกันหันหน้าไปทางประตูพร้อมๆ กัน
ผู้ที่เดินเข้ามานั้นคือหานซือเซียนที่กำลังยิ้มอย่างเลิ่กลั่ก “ซือฉี เสี่ยวเสี่ยวไม่ยอมนอน เพราะงั้นเดี๋ยวฉันคงต้องกลับไปก่อน ส่วนหมู่เซี่ยนเองก็เหมือนจะกลับไปเอาอะไรบางอย่าง เพราะงั้นฉันฝากนายไปดูแลพ่อหน่อยนะ ที่ห้องนั้นมีแค่แม่เท่านั้น ฉันเองก็เป็นห่วงทั้งสองคนมากพอๆ กันด้วย”
“โอเค” หานซือฉีลุกขึ้นทันทีหลังฟังเสร็จ
“หืมม…” หานซือเซียนหันมองฝูซิงที่กำลังหลับปุ๋ยเพราะฤทธิ์ไข้อยู่ก่อนจะพยักหน้าให้ฝูเจิ้งเจิ้งแล้วรีบออกไป
“ฉันจะไปดูแลพ่อกับแม่ของฉันหน่อย ซิงซิงยังหลับอยู่ เธอเองก็พักผ่อนด้วยล่ะ” หานซือฉีพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะเดินไปยังประตู ทว่าเขาก็หันกลับมาอีกรอบ “ถ้าพี่รองของฉันกลับมาเมื่อไหร่ ฉันจะรีบกลับมา”
ฝูเจิ้งเจิ้งพยักหน้าน้อยๆ หลังจากที่เห็นหานซือฉีออกไปแล้ว เธอจึงเอนตัวลงไปนอนให้สบายข้างๆ ฝูซิง
ก่อนหน้านี้ เมื่อตอนที่ฝูซิงไข้สูงจนเกือบจะถึง 40 องศา หานเถิงอวี้ก็เครียดจนความดันขึ้น จีหยาฉูเองก็ปวดหัวไปหมด หมอกับพยาบาลที่มาดูแลฝูซิงก็เลยต้องพาทั้งสองคนแยกไปตรวจด้วยเช่นกัน อาการนี้น่ะมันไม่ต่างอะไรกับฝูเจิ้งเจิ้งที่แทบจะใจสลายเวลาที่ฝูซิงเป็นอะไรไปหรอก แม้พวกเขาจะเคยทำไม่ดีกับเธอมาก่อน แต่ยามที่รู้ว่าพวกเขารักฝูซิงขนาดไหน มันก็อดที่จะมองข้ามเรื่องร้ายๆ และเห็นใจคนเหล่านี้ไม่ได้
ไม่นานนักหลังจากที่หานซือฉีออกไป แพทย์ก็เดินเข้ามา
“คุณหมอคะ ไข้ของลูกชายฉันเริ่มลงแล้วล่ะค่ะ เขาหลับไปซักพักหนึ่งแล้วหลังจากให้กินยาไป เพราะงั้นไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบรายงานอาการเพราะคิดว่าแพทย์คนนี้จะต้องเข้ามาดูอาการของฝูซิงแน่ๆ
“เหรอ ดีแล้วล่ะ” ชายหนุ่มในชุดแพทย์พูดอย่างโล่งใจก่อนจะเปิดหน้ากากออก
“รุ่นพี่? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งตกใจและรีบยันตัวเองขึ้นมาดูอีกฝ่ายทันที
หยางเต๋ายิ้มก่อนจะพูด “ไม่ต้องกังวล คนข้างนอกน่ะคิดว่าฉันเป็นหมอกันหมดนั่นแหละ ฉันเข้ามาในนี้ก็เพราะเห็นว่าหานซือฉีออกไปแล้ว เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาทั้งที จะให้ฉันไม่มาได้ยังไงกัน?”
“รุ่นพี่อยู่ข้างนอกตลอดเวลาเลยเหรอคะ?”
“ก็ไม่ขนาดนั้น ฉันเผอิญมาถูกจังหวะน่ะ แล้วเธอเป็นยังไงบ้างเจิ้งเจิ้ง?” หยางเต๋ามองมือข้างที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลของฝูเจิ้งเจิ้ง
“แค่ผิวถลอกนิดหน่อยน่ะค่ะ แผลแค่นี้ไม่คณามือฉันหรอก”
“ทุกคนในเมืองนี้ต่างรู้หมดแล้วว่าฝูซิงนั้นถูกเฉียวเค่อเหรินทำร้าย” หยางเต๋าเปลี่ยนสีหน้าไปเป็นกังวลทันที “พวกเธอนี่โชคดีจริงๆ!”
“มันกลายเป็นเรื่องในอินเตอร์เน็ตอีกแล้วเหรอคะ? พวกเขาพูดอะไรกันบ้างเหรอ?” ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มอย่างขมขื่น พักหลังๆ นี่เธอมักจะตกเป็นขี้ปากคนบนโลกออนไลน์บ่อยเกินไปซะแล้วสิ
“ยังไม่มีใครพูดอะไรหรอก แต่ข่าวน่ะบอกไว้ว่าเฉียวเค่อเหรินจู่ๆ ก็กลายเป็นโรคจิตแล้วขับรถไล่ชนคน ส่วนเธอกับลูกชายก็เป็นเหยื่อ” หยางเต๋าพยายามใช้ถ้อยคำที่อธิบายได้ง่ายๆ
“ไม่มีใครพูดถึงหานซือฉีเลยเหรอคะ?” หญิงสาวประหลาดใจกับเรื่องนี้มากๆ
“ใช่ แต่บางทีอาจจะเป็นเพราะฉันอ่านไม่ละเอียดน่ะ” เขารีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปก่อน “เจิ้งเจิ้ง แผลเก่าเธอยังไม่หาย ตอนนี้ฝูซิงก็ยังมาบาดเจ็บอีก เธอน่ะอยู่ในเมือง B ไม่ได้อีกต่อไปแล้วนะ! แบบนี้เธอจะยอมฟังฉันแล้วพาฝูซิงออกจากที่นี่ไปได้หรือยัง?”
เมื่อเห็นท่าทีที่ดูจริงจังของหยางเต๋า มันก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าตอนนี้ตระกูลหานและตระกูลเฉียวห้ำหั่นกันขนาดไหน และคนที่เธอกังวลมากที่สุดก็คือ หานซือฉี
ต่อให้เธอจะต่อว่าเขามากขนาดไหน ยังไงเสียก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี
“เจิ้งเจิ้ง! ฉันเป็นคนพาเธอมาที่เมือง B นี่! เพราะงั้นฉันจะเป็นคนรับผิดชอบเธอเอง!” ใบหน้าที่จริงจังของหยางเต๋านั้นทำให้รูปประโยคนั้นดูจริงจังมากขึ้นในทันที
ฝูเจิ้งเจิ้งหันไปมองฝูซิง ก่อนจะคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งและตอบเขาไป “ฉันคงพาฝูซิงออกจากที่นี่ในสองวันไม่ได้แน่ๆ ถ้าเป็นสามวันหลังจากนี้ได้ไหมคะ?”
หยางเต๋าโล่งใจขึ้นมาและรีบตอบ “โอเค 3 วันหลังจากนี้ เดี๋ยวฉันจะขับแท็กซี่มารอรับที่หน้าประตูโรงพยาบาล เธอก็หาโอกาสออกมาก็แล้วกัน เมื่อไหร่ก็ได้”
“โอเคค่ะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ถ้างั้นก็ดูแลฝูซิงกับตัวเองดีๆ นะ” แววตาที่มองมาของหยางเต๋านั้นแฝงไปด้วยความรักใคร่
พลันเมื่อเสียงประตูเปิดดังขึ้น หยางเต๋าก็รีบสวมหน้ากากไปตามเดิม
“ขอบคุณค่ะ คุณหมอ” ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็พูดเนียนอย่างรวดเร็วด้วย
“อืม” หยางเต๋าพยักหน้าและหันหลังกลับ เขาเผชิญเข้ากับสายตาของจีหมู่เซี่ยน ก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาเดินหลีกอีกฝ่ายออกไป
เมื่อเห็นว่าจีหมู่เซี่ยนดูจะสงสัยอีกฝ่าย ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบพูดขึ้น “ดูเหมือนพ่อแม่ของนายจะอาการทรุดกันน่ะ ซือฉีก็เลยรีบไปดูอาการ”
จีหมู่เซี่ยนละสายตาจากหมอคนเมื่อครู่ก่อนจะหันไปวางถุงของเล่นบนโต๊ะแทน “เอาของเล่นที่ซิงซิงชอบมาให้”
“ขอบคุณ”
“ดึกขนาดนี้ยังมีหมอมาตรวจอีกเหรอ?”
ชัดเจน จีหมู่เซี่ยนหัวไวมากจริงๆ ด้วย!
“อือ ฝูซิงมีไข้ก่อนหน้านี้ เพราะงั้นเขาเลยมาตามอาการ นี่ยังดีที่ฝูซิงดีขึ้นแล้ว ไม่งั้นเขาบอกว่าคงต้องเปลี่ยนยาแล้วล่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบหาข้ออ้างในทันที
โชคยังดีที่จีหมู่เซี่ยนไม่ได้ถามอะไรต่อและเดินออกไป
ฝูเจิ้งเจิ้งค่อยๆ กลับไปนอนข้างๆ ฝูซิงอีกครั้ง เธอสัมผัสหน้าผากของเจ้าตัวเล็กเบาๆ และพบว่าตัวเขาเริ่มคลายร้อนลงมาหน่อย หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอกและนึกถึงคำพูดของหยางเต๋าก่อนหน้านี้
อ้างอิงจากพฤติกรรมของเฉียวหยวนหาน เขาน่ะจะไม่ยอมให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนต้องทุกข์ใจหรือเสียหน้าแน่ๆ แต่ในเมื่อตอนนี้เอกสารเกี่ยวกับสถานีรถไฟใต้ดินก็ถูกตีพิมพ์แล้ว แถมบริษัทเว่ยหานก็รอดจากวิกฤตครั้งใหญ่แล้วด้วย นอกจากนี้หานซือเซียนก็ไม่ได้ถูกเฉียวหยวนหานเล่นลูกไม้อะไรอีก มันทำให้เธอคิดไม่ออกเลยว่าเฉียวหยวนหานกำลังตั้งใจจะทำอะไรอยู่กันแน่
แล้วทำไมฉันต้องมาคิดเรื่องนี้น่ะ? สิ่งที่ฉันต้องคิดนั้นมีแค่จะดูแลฝูซิงให้ดียังไงเท่านั้น จากนั้นก็รีบหาโอกาสพาฝูซิงหนีออกจากที่นี่ภายใน 3 วัน ลาจากปัญหาที่ถาโถมที่นี่เสียที!
ในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังคิดอยู่นั้นเอง มือข้างหนึ่งก็เอื้อมออกมาจากด้านหลังของเธอแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงใดๆ!
———————————————————————————————————————-
คุยกับผู้แปล
แผนหนีซือฉีไปสู่เมือง A ครั้งที่ 3 เริ่มได้!