ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 12 หม่ามี๊สติแตกอีกแล้ว
บทที่ 12 หม่ามี๊สติแตกอีกแล้ว
“หม่ามี๊ ทำอะไรน่ะ!” เสียงร้องของฝูซิงดังขึ้นมาอีกครั้ง
“อ๊ะ?”
กว่าจะรู้ตัวว่าคนที่มาเปิดประตูนั้นคือหานซือฉี ข้าวของในมือของเธอรวมทั้งมือเท้าก็พุ่งใส่หัวของอีกฝ่ายไปเรียบร้อยแล้ว
เกิดอะไรขึ้นน่ะ?
นี่มัน…เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ฝูเจิ้งเจิ้งในตอนนี้กำลังพยายามทำความกับเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า
ฝูซิงรีบวิ่งเข้ามาและกอดหานซือฉีเอาไว้ “ป๊ะป๋า เจ็บมากไหม?”
มือหนาของชายหนุ่มคว้าถุงที่เพิ่งกระแทกเข้ามาที่หัวเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็ลูบหัวตนเองเบา ๆ เขาส่ายหน้าช้า ๆ แทนคำตอบให้ฝูซิง กลับกันแล้วฝูเจิ้งเจิ้งยังยืนตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ หานซือฉีขมวดคิ้วให้เธอก่อนจะพูดขึ้น “เลขาฝูนี่แข็งแรงจริง ๆ นั่นแหละ”
“ฉ-ฉัน เอ่อ…” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบทำตัวเป็นปกติก่อนที่จะเอ่ยต่อด้วยเสียงที่ตะกุกตะกัก “ค-คุณหาน ฉันคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับฝูซิง ฉันต้องขอโทษจริง ๆ ค่ะ! ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันจะช่วยประคบเย็นให้นะคะ”
พระเจ้า! นี่รองประธานบริษัทเว่ยหานเลยนะ! ถ้าเมื่อกี้เกิดเขาคอหักตายชีวิตเธอจะเหลืออะไรบ้างเนี่ย!?
“หม่ามี๊ ฝูซิงกับป๊ะป๋าแค่เล่นเกมกันเอง!” ฝูซิงหันมาพูดกับผู้เป็นแม่ก่อนจะรีบเข้าไปช่วยประคองหานซือฉีกลับไปยังโซฟา “ป๊ะป๋า ฝูซิงขอโทษแทนหม่ามี๊ด้วยนะ หม่ามี๊สติแตกอีกแล้ว” เจ้าตัวแสบพูดพร้อมกับลูบไปที่หัวของหานซือฉีเบา ๆ
หา? เล่นเกม?
ฉันเอาชีวิตตัวเองมาแลกกับการขัดขวางความสุขของคนที่กำลังเล่นเกมเนี่ยนะ?
ความอับอายค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นภายใต้ใบหน้าสะสวยของหญิงสาว เธอรีบเดินตามไปช่วยประคองหานซือฉีด้วยอีกคน ฝูเจิ้งเจิ้งลูบหัวเขาเพื่อหวังจะคลายความเจ็บปวดให้เขาได้บ้าง
เด็กน้อยปีนขึ้นไปบนโซฟาและดันตัวแม่ของเขาออกไป “หัวป๊ะป๋าเดี๋ยวฝูซิงดูแลเอง หม่ามี๊รีบไปทำอาหารอร่อย ๆ มาดีกว่า ไม่งั้นป๊ะป๋าก็จะไม่หายเจ็บและไม่หายหิวด้วย ตอนนี้ฝูซิงหิวมาก ๆ แล้ว!”
หานซือฉีที่ได้ยินแบบนั้นก็ดูเหมือนจะรู้เห็นเป็นใจด้วย เขาแอบโบกมือให้เธอไปทำตามที่ฝูซิงบอก แต่อย่างน้อยฝูเจิ้งเจิ้งก็เบาใจ ดูท่ารองประธานหนุ่มคนนี้จะไม่ได้เป็นอะไรมาก ดังนั้นเธอจึงรีบเข้าครัวและเตรียมทำอาหารในทันที
ฝูเจิ้งเจิ้งตั้งใจจะแสดงฝีมือการทำอาหารให้หานซือฉีได้ลิ้มรส เพื่อให้เขาเกิดความประทับใจในตัวเธอและลืมภาพจำของเขาที่มองว่าเธอตั้งใจจะหาเสี่ยรวย ๆ เลี้ยงให้หมดไป แล้วหญิงสาวก็จะสามารถเข้าใกล้เขาได้มากกว่าเดิม ซึ่งมันก็จะเป็นผลดีในการทำงานสืบสวนของเธอต่อไป เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ลงมือทำอาหารมื้อนี้อย่างสุดความสามารถ
ทว่าขณะที่เธอเตรียมทุกอย่างเกือบจะเสร็จพร้อมเสิร์ฟแล้ว โทรศัพท์ของชายหนุ่มก็ดังขึ้น
หญิงสาวรีบกวักมือเรียกเจ้าตัวเล็กให้มาอยู่กับเธอก่อนเพื่อที่เธอจะได้แอบฟังได้สะดวก ๆ แม้จะทำถึงขนาดนี้แล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะมีความลับมากกว่าที่คิด เพราะตั้งแต่รับโทรศัพท์ เขาพูดกับปลายสายว่า “ฉันจะรีบไป” เท่านั้น แล้วก็วางสายไปเลย
ต้องเป็นเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลแน่ ๆ!
“กลิ่นหอมดีนี่” หลังจากที่วางสายไปแล้ว หานซือฉีก็เข้าไปที่ห้องครัว เขาแตะไหล่มนเบา ๆ พร้อมกับสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “น่าเสียดายที่ฉันอยู่ชิมไม่ได้ เพราะงั้นพรุ่งนี้ทำไปเผื่อฉันด้วยก็แล้วกัน”
“ดึกขนาดนี้ยังมีงานต้องทำอีกเหรอคะ? นี่มันดึกมากแล้วนะ” เธอลองพยายามโน้มน้าวอีกฝ่ายดู
“แค่เรื่องยิบย่อยน่ะ ซิงซิง วันนี้ป๊ะป๋าคงอยู่ทานมื้อเย็นด้วยไม่ได้แล้ว ถ้ายังไงพรุ่งนี้จะไปรับที่โรงเรียนนะ” มือหนาลูบไปตามแก้มของเด็กน้อยที่กำลังทำหน้างออยู่ก่อนจะจากไป
ทันทีที่ประตูปิดลง ฝูเจิ้งเจิ้งก็วางชามที่เต็มไปด้วยกับข้าวไว้บนโต๊ะ “ซิงซิง หม่ามี๊นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ซื้อนมสำหรับมื้อเช้าเตรียมไว้ให้ลูกเลย อีกไม่นานซูเปอร์มาร์เก็ตหน้าหมู่บ้านเราก็จะปิดแล้วด้วย เพราะงั้นลูกกินข้าวไปก่อนได้เลยนะ แล้วถ้ากินเสร็จแล้วหม่ามี๊ยังไม่กลับมา ลูกไปนอนก่อนเลยก็ได้ แต่หม่ามี๊จะรีบไปรีบกลับนะ”
ฝูซิงโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง นั่นทำให้เธอวางใจที่จะปล่อยลูกเอาไว้ตามลำพัง
แม้จะรู้สึกไม่พอใจนัก แต่อย่างน้อย ๆ ฝูซิงก็เชื่อฟังและยอมปีนขึ้นมานั่งทานข้าวตามที่เธอบอก
ตอนนี้ไม่มีเวลามาอธิบายอะไรมากนัก ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเร่งฝีเท้าออกมาลงบันได ซึ่งในจังหวะนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นรถของหานซือฉีกำลังแล่นออกไปพอดิบพอดี เมื่อเห็นดังนั้นแล้วหญิงสาวจึงรีบเรียกแท็กซี่ตามเขาไปติด ๆ
ด้วยสัญชาตญาณของเธอ ฝูเจิ้งเจิ้งมั่นใจมาก ๆ ว่าการรับโทรศัพท์เมื่อครู่นี้ของอีกฝ่ายมันน่าสงสัย จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ ๆ เธอต้องตามไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเองให้ได้
ขณะที่รถแท็กซี่ที่เธอนั่งขับตามรถของหานซือฉีไปเรื่อย ๆ เขาก็เลี้ยวเข้าไปยังย่านชุมชนอีกแห่งที่มีขนาดเล็กกว่า ชื่อว่า ย่านไฉ่หง ฝูเจิ้งเจิ้งตัดสินใจลงจากรถ เลือกที่จะใช้วิธีเดินสะกดรอยตามเข้าไป
ผู้อยู่อาศัยภายในย่านนี้ส่วนใหญ่เป็นเพียงคนธรรมดา มีบ้างที่เป็นคนมีฐานะหน่อย และด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งจึงยิ่งมั่นใจเข้าไปอีกว่าต้องมีอะไรแปลก ๆ จริง ๆ
รถของหานซือฉีเข้าไปจอดที่หน้าตึกแห่งหนึ่งที่มีเลข 5 ติดไว้ราวกับจะบอกลำดับที่ ตรงจุดนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนรออยู่แล้ว รถคันนั้นกลับรถ และออกตัวทันทีเมื่อรับหญิงสาวคนนั้นขึ้นมาบนรถ
ฝูเจิ้งเจิ้งที่แอบดูอยู่ใกล้ ๆ รีบกระโจนเข้าไปหลบในพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว เมื่อแสงไฟจากรถเหมือนจะส่องมาถึงตัวเธอ หญิงสาวก็รอจนกระทั่งหานซือฉีขับรถผ่านเธอไปจึงค่อย ๆ ชะโงกหน้าขึ้นมา และมันเป็นจังหวะเหมาะพอดีกับการที่ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งเห็นว่า สตรีที่อยู่บนรถคือ หลี่เสี่ยวเมิ่ง!
ความวิตกกังวลเข้าครอบงำห้วงความคิดเธอ ทั้งสองคน…มีความสัมพันธ์กันแบบไหนนะ?
หญิงสาวตัดสินใจที่จะตามต่อไปทันที แต่ทันทีที่คิดจะตามติดรถคันนั้นไป โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นมา
———————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
ยอดนักสืบสาว ฝูเจิ้งเจิ้ง ขยันทิ้งฝูซิงไว้นู่นบ้างนี่บ้างแบบนี้ไม่แปลกใจเลยถ้าเด็กจะติดหานซือฉีที่โอ๋ตนมากกว่า ว่าแต่ฝูเจิ้งเจิ้งจะรู้เรื่องนี้มั้ยนะ…
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-