ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 13 ถ้าคิดถึงเขามากเกินไป พิษร้ายจะส่งผลถึงตัวเธอเองนะ
บทที่ 13 ถ้าคิดถึงเขามากเกินไป พิษร้ายจะส่งผลถึงตัวเธอเองนะ
สายเรียกเข้านั้นมาจากฝูซิงที่โทรมาถามเธอว่าเมื่อไหร่จะกลับบ้านเพราะเขาอยากเข้านอนแล้ว
และเมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาอีกที รถที่มีหานซือฉีและหลี่เสี่ยวเมิ่งนั่งอยู่ก็หายลับตาไปแล้ว แม้ใจจะอยากตามไปดูให้เห็นกับตาแต่เมื่อคิดว่าลูกของเธอคงจะต้องนอนเหงาแน่ ๆ หากไม่มีเธอไปอยู่ด้วย ฝูเจิ้งเจิ้งก็ตัดสินใจละทิ้งความดื้อดึงนั้นแล้วเรียกแท็กซี่เพื่อกลับบ้านไปแต่โดยดี ยังไงลูกก็สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด!
เช้าวันต่อมา ฝูเจิ้งเจิ้งเข้าไปที่ออฟฟิศเร็วกว่าปกติ เธอนั่งอยู่ในสภาพร่างไร้วิญญาณอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์ของตนเองอยู่พักใหญ่ นั่นก็เพราะว่าตัวเธอตั้งใจจะมาเจอหน้าหานซือฉีอยู่แล้วในวันนี้ ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายก็ยังไม่ปรากฏตัวเสียที รวมถึงไม่ได้บอกคนที่เป็นเลขาอย่างเธอด้วยว่าจะไปไหน
“นี่มันสายแล้วนะ…สรุปสองคนนั้นไปเดทหรือไม่ก็ทำอะไรแบบนั้นกันจริง ๆ งั้นเหรอ” ภาพจำของทั้งสองที่นั่งรถไปด้วยกันตอนดึกมันไล่ต้อนความคิดในหัวของฝูเจิ้งเจิ้งให้จมอยู่เรื่องเดียว ไม่สามารถคาดเดาเป็นอย่างอื่นไปได้อีกแล้ว เธอคิดพร้อมกับมองไปที่ประตูอย่างเลื่อนลอย
แต่ไม่ว่าภาพที่เห็นนั้นจะชัดเจนขนาดไหน แต่การคาดเดาก็คือการคาดเดา ไม่ใช่เรื่องจริงมีโอกาสที่จะไม่เป็นจริงนี่นา
“ฮัลโหล เจิ้งเจิ้ง ได้ยินฉันหรือเปล่า? โอ้ นี่เธอ…คิดถึงคุณหานอยู่งั้นเหรอ?” เสียงเคาะโต๊ะตรงหน้าทำให้สติของฝูเจิ้งเจิ้งกลับมาอีกครั้ง ซึ่งต้นเสียงก็มาจากหมินจงจู่ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะเธอตอนนี้นั่นแหละ
“อ่ะ แน่นอนว่าไม่อยู่แล้วล่ะค่ะ” พลันเมื่อได้สติ ฝูเจิ้งเจิ้งก็นั่งยืดหลังตรงพร้อมตอบไปด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ผู้จัดการหมินคะ ทำไมวันนี้คุณหานถึงไม่เข้ามาในบริษัทงั้นเหรอคะ?”
“เห็นว่ามีเรื่องที่ต้องไปทำนะ เขาอาจจะไม่ได้เข้าบริษัทเลยวันนี้”
“อ่า…เข้าใจแล้วค่ะ”
ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะทำท่าทีเป็นไม่ใส่ใจอะไรนัก แต่หมินจงจู่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความกังวลใจของเธออยู่ดี เพราะงั้นเขาจึงหัวเราะออกมาก่อนจะพูดปลอบใจเธอ “ซือฉีน่ะก็เหมือนยาพิษแหละ ยิ่งคิดถึงเขามากเท่าไหร่ เธอก็จะเหมือนโดนพิษมากขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น”
ยาพิษงั้นเหรอ?
จริงๆแล้วฝูเจิ้งเจิ้งได้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวหมินจงจู่คนนี้มาบ้างแล้วส่วนหนึ่ง ทำให้พอจะรู้นิสัยใจคอของเขา เธอจึงแสร้งทำเป็นชมเขาว่า “ผู้จัดการหมินนี่สุดยอดไปเลยนะคะ เพราะตามปกติแล้วคุณหานน่ะจะเอาแต่ทำหน้าบึ้งใส่ทุก ๆ คนราวกับว่าทุกคนทำให้เขาหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา แต่กับผู้จัดการแล้ว ดูเหมือนเขาจะชื่นชอบคุณเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
“แน่นอน ก็พวกเราผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันกว่าครึ่งชีวิตเลยนะ ฮ่า ๆๆๆ ตั้งแต่เรียนอนุบาลที่เดียวกัน จนมหาลัยเดียวกัน แล้วท้ายสุดก็มาจบที่บริษัทเดียวกัน บริษัทที่ชื่อว่าเว่ยหานเนี่ยแหละ” เป็นไปดังคาด หมินจงจู่ดูจะพึงพอใจกับคำชมของฝูเจิ้งเจิ้งเป็นอย่างมาก เขาเผยข้อมูลออกมาโดยที่ไม่ต้องถามอะไรเลยด้วยซ้ำ
“แบบนั้นเองเหรอคะ ว้าว แต่ความสามารถของผู้จัดการหมินเองก็โดดเด่นจนพวกเราเทียบไม่ติดเลยด้วย” เมื่อเห็นว่าหมินจงจู่พึงพอใจแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งจึงเปิดฉากถามในสิ่งที่เธอต้องการรู้ทันที “ว่าแต่ พวกคุณอยู่ด้วยกันตลอดตั้งแต่สมัยเรียนเลยเหรอคะ?”
“ใช่แล้วล่ะ ตลอดเวลาเลย อ๊ะ… ได้ จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!” ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ จู่ ๆ ก็มีเสียงคนจากด้านนอกมาเรียกหาเขาไปเสียแล้ว
“ขอโทษทีนะเจิ้งเจิ้ง ไว้เดี๋ยวว่างแล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้ใหม่ก็แล้วกัน” กระนั้นหมินจงจู่ก็เดินยิ้มออกไปด้วยใบหน้าชื่นมื่นจากการได้รับคำชมเมื่อครู่
เหนียนซี่ที่เธอรู้จักน่ะ ถูกขังไว้ในห้อง ๆ หนึ่งมาร่วม 10 ปี เพราะงั้นหานซือฉีไม่มีทางเป็นเขาไปได้หรอก…ไม่มีทาง ครั้นเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง
เธอพยายามบอกกับตนเองให้ตระหนักถึงตัวตนและหน้าที่ของตัวเธอเองตลอดเวลา แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้เธอคลายทุกข์ได้บ้างเลย ในใจของฝูเจิ้งเจิ้งราวกับว่ามีหินก้อนใหญ่ถูกนำมาวางทับอยู่ข้างใน หินที่ใหญ่พอจะย้ำเตือนเธอให้ตระหนักได้ถึงการมีอยู่ของมันตลอดเวลา
เนื่องจากวันนี้หานซือฉีไม่ได้เข้าบริษัท เธอจึงสามารถเลิกงานเร็วกว่าปกติได้ ด้วยเหตุนี้ฝูเจิ้งเจิ้งจึงตั้งใจจะไปรับฝูซิงจากโรงเรียนอนุบาลด้วยตนเอง
“ทำไมป๊ะป๋าไม่มารับฝูซิงกับหม่ามี๊ล่ะ?” ทันทีที่ฝูซิงเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งมารับเขาเพียงลำพัง เด็กน้อยก็หันไปรอบ ๆ เพื่อมองหาหานซือฉีทันที
เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งเห็นว่าลูกชายของเธอเฝ้าแต่เรียกหาหานซือฉี อารมณ์โกรธที่ยังค้างอยู่จากเรื่องเมื่อคืนก็พาลให้เธอหงุดหงิดใส่เด็กน้อยตรงหน้าไปด้วย “หานซือฉีไม่ใช่พ่อจริง ๆ ของลูกสักหน่อย แถมคนคนนั้นยังไม่ได้ว่างขนาดจะมารับลูกทุกวันด้วยนะ! คนที่เกี่ยวข้องกับลูกทางสายเลือดจริง ๆ น่ะคือหม่ามี๊คนนี้! ฝูเจิ้งเจิ้งผู้นี้ และต่อจากนี้หม่ามี๊จะมารับลูกทุกวันเอง!” เธอระบายความรู้สึกของเธอออกมา
เด็กชายที่เห็นผู้เป็นแม่อารมณ์เสียแบบนั้นก็พาลตกใจ “หม่ามี๊ ทำไมหม่ามี๊…โกรธ ฝูซิงก็แค่สงสัย ป๊ะป๋าไม่ได้มารับทุกวันฝูซิงก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว หม๊ามี๊ไม่โกรธสิ มาเร็ว เดี๋ยวฝูซิงกอด—อะ.. หวาาาาา” ขณะที่ร่างเล็กนั้นกำลังจะเดินเข้าหาฝูเจิ้งเจิ้ง หินเจ้ากรรมก็ดันมาขวางทางเท้าเล็กจนเด็กน้อยเสียหลักเกือบจะล้มลง
ผู้เป็นแม่เห็นดังนั้น ด้วยสัญชาตญาณก็รีบรุดเข้าไปเพื่อจะประคองลูกชายสุดที่รักของเธอไว้ แต่ทางฝั่งเธอเองก็มีหินกระจายอยู่เต็มไปหมดจนรองเท้าส้นสูงของเธอเสียหลักไม่ต่างกับฝูซิง
หินเหล่านี้มาจากการที่โรงเรียนเพิ่งจะเรียกช่างมายกพื้นใหม่ และยังเก็บงานไม่เรียบร้อยดี ดังนั้นทั่วทุกที่ที่มีการก่อสร้างจึงยังคงเต็มไปด้วยเศษซากที่ยังไม่ได้ทำความสะอาดให้เหมือนปกติ
ไอ้รองเท้าเวรเอ๊ย!
แต่ไหนแต่ไร ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ถูกชะตากับส้นสูงอยู่แล้ว แต่เพราะที่ทำงานเธอกำหนดเครื่องแบบไว้ให้แบบนี้ เธอจึงเลือกไม่ได้
หลังจากที่ล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว หญิงสาวก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บแสบที่มือเป็นอย่างมากจนน้ำตาซึมน้อย ๆ
“หม่ามี๊! มือหม่ามี๊มีเลือดไหล! รีบไปโรงพยาบาลเร็ว!” เศษหินที่กระจายอยู่ตามพื้นพวกนั้นสร้างแผลที่มือของเธอเสียแล้ว จริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่เพราะคนเห็นดันเป็นฝูซิง
เด็กน้อยคนนี้ตกใจกลัวแบบสุด ๆ จนร้องเสียงหลงออกมา
ดูจะเป็นห่วงเธอเอามาก ๆ ท่าทีร้อนรนของลูกชายทำให้หญิงสาวพึงพอใจสุด ๆ ลูกของเธอยังรักเธออยู่^^
แต่ยังไงแผลนี่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากสำหรับตำรวจสาวอย่างเธออยู่ดี เพราะงั้นฝูเจิ้งเจิ้งจึงหยิบทิชชู่ขึ้นมาซับเลือดที่มือก่อนจะสะบัดมือไปมาให้เห็นว่าไม่เป็นไรเพื่อปลอบประโลมเด็กน้อยไปพลาง ๆ “หม่ามี๊ไม่เป็นไร เห็นไหม? สบายมาก”
ทว่าฝูซิงกลับไม่ยอมเชื่อในท่าทางเช่นนั้นของเธอ ประกอบกับใกล้ ๆ โรงเรียนนี้มีโรงพยาบาลตั้งอยู่ด้วย เด็กน้อยผู้ห่วงแม่คนนี้จึงรีบลากแม่ของตนไปโดยไม่เปิดโอกาสให้หญิงสาวได้ต่อรองแต่อย่างใด นั่นก็เพราะเขาคิดว่าตนเองเป็นคนที่ทำให้หม่ามี๊ต้องมาบาดเจ็บอย่างนี้ ในฐานะของผู้ชายคนหนึ่ง เขาจำเป็นต้องดูแลผู้เป็นแม่ให้ดี นอกจากนี้แม้จะเป็นเพียงแผลตื้น ๆ แต่ถ้าหากไม่ทำการรักษาให้ดีก็จะทำให้กลายเป็นแผลติดเชื้อได้ในท้ายที่สุด
“รีบร้อนไปแล้วนะฝูซิง!” แม้ในใจลึก ๆ จะกำลังมีความสุขอยู่ แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่อยากให้ฝูซิงเป็นกังวลเกี่ยวกับแผลที่มือของเธอมากไปกว่านี้ สุดท้ายเธอจึงยอมเดินไปโรงพยาบาลกับเจ้าตัวเล็กแต่โดยดี
“เดี๋ยวฝูซิงจะแบกกระเป๋าให้หม่ามี๊เอง!” หลังจากที่ไปถึงโรงพยาบาลแล้ว ฝูซิงก็รีบหยิบเอากระเป๋าของฝูเจิ้งเจิ้งขึ้นมาถือไว้บนไหล่ทันที
หลังจากทำแผลเสร็จ ทั้งสองก็เตรียมที่จะเดินออกจากโรงพยาบาลแห่งนี้ไป แต่แล้วฝูซิงก็ร้องออกมา “หม่ามี๊ ดูนั่น! ป๊ะป๋าล่ะ!”
——————————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
โดนซักเป็นผ้าแน่ หานซือฉี!
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-