ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 14 คนพรรค์นี้จะเป็นป๊ะป๋าของลูกได้ยังไง
บทที่ 14 คนพรรค์นี้จะเป็นป๊ะป๋าของลูกได้ยังไง?
ฝูเจิ้งเจิ้งหันขวับไปตามทิศทางที่ลูกชายของเธอชี้ แล้วก็พบว่าคนที่อยู่ตรงนั้นคือหานซือฉีจริง ๆ แม้เขาจะสวมแว่นดำแต่ก็ใช่ว่าโครงหน้าจะเปลี่ยนจนจำแทบไม่ได้ หานซือฉีวันนี้ไม่ได้มาเพียงคนเดียว แต่ข้าง ๆ กายเขายังมีหลี่เสี่ยวเมิ่งเดินเคียงคู่ออกมาจากโรงพยาบาลด้วย พวกเขาทั้งสองเดินตรงมาหาเธอกับลูก
เมื่อสังเกตดี ๆ เธอยังพบอีกว่าที่เท้าของหลี่เสี่ยวเมิ่งนั้นมีผ้าพันแผลอยู่ บางทีเธอคนนี้อาจจะมาโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อคืนแล้วก็ได้
ไหนจะเสื้อผ้าของหานซือฉีที่ยังเป็นชุดเดิมอยู่ นั่นก็น่าจะเป็นสิ่งยืนยันได้ดี แม้สิ่งเหล่านี้จะทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย แต่ภายใต้ความโล่งใจนั้นก็ยังมีความโกรธโดยไม่มีเหตุผลแฝงอยู่ด้วย
“ไหนป๊ะป๋าบอกจะมารับฝูซิงไง! ป๊ะป๋าโกหก! ฝูซิงจะไม่เล่นกับป๊ะป๋าแล้ว!” เด็กน้อยทำแก้มป่องแล้วสะบัดหน้าไปทางอื่น
“ฝูซิง! ระวังคำพูดของลูกหน่อยสิ” ฝูเจิ้งเจิ้งที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเข้าไปบีบแก้มเจ้าตัวเล็กของเธอไว้ทันที “ป๊ะป๋าของลูกงานยุ่งจะตาย อย่าไปเพิ่มภาระให้เขาสิ”
“ป๊ะป๋าก็เตรียมจะมารับซิงซิงแล้วไง แต่ซิงซิงก็มาอยู่นี่ซะก่อน” ระหว่างที่กำลังปลอบเด็กน้อยด้วยรอยยิ้ม หานซือฉีก็สังเกตเห็นถึงแผลที่มือของฝูเจิ้งเจิ้งจึงรีบชิงถามออกมาก่อน “แล้วมือเธอเป็นอะไรไป?”
หลี่เสี่ยวเมิ่งที่ยืนเงียบอยู่นาน เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งได้รับบาดเจ็บเหมือนกันเธอก็ร้องอุทานออกมา “คุณเจิ้งเจิ้งต้องดูแลตัวเองให้ดีนะคะ นี่ฉันเองก็เผลอซุ่มซ่ามจนสร้างปัญหาให้ตัวเองไม่พอ ดันกลายเป็นปัญาให้คุณซือฉีอีก”
“คุณหานเขาไม่ปล่อยให้คนสวย ๆ ทุกคนบนโลกนี้ต้องตกระกำลำบากหรอกค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งแสร้งยิ้มหวานด้วยความสุข “นี่ก็เย็นมากแล้ว ฝูซิง เรากลับบ้านกันเถอะ” หญิงสาวตัดบทรีบชวนลูกน้อยกลับบ้าน
“หม่ามี๊ ฝูซิงเหนื่อย ฝูซิงอยากให้ป๊ะป๋าขับรถไปส่งที่บ้าน” เด็กน้อยทำหน้าออดอ้อน ฝูซิงลืมเรื่องที่บอกว่าจะไม่เล่นกับป๊ะป๋าในตอนแรกไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เจ้าตัวแสบกำลังพยายามจะดิ้นออกจากอ้อมแขนของเธอโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“ฝูซิง!”
เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มดุฝูซิง หลี่เสี่ยวเมิ่งจึงรีบเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณซือฉี ฉันไม่เป็นไรแล้วค่ะ คุณขับรถไปส่งพวกเขาก็ได้นะ”
แค่เพียงเสี้ยวนาทีที่เธอพยายามยืนด้วยตนเอง หลี่เสี่ยวเมิ่งก็เป็นต้องเซล้มด้วยความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บที่ฝ่าเท้า
หานซือฉีรีบประคองหญิงสาวไว้และตอบกลับไปว่า “พวกเขาอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง ส่วนเธอยังไม่พร้อมที่จะกลับบ้านเองหรอก เพราะงั้นฉันคงยังทิ้งเธอไว้ไม่ได้”
“ตามนั้นเลยค่ะ ถ้ายังไงพวกเราขอตัวก่อนนะคะ” ฝูเจิ้งเจิ้งเห็นว่านี่เป็นโอกาสเหมาะ เธอจึงรีบเอ่ยคำลาแล้วจูงมือเล็ก ๆ ของฝูซิงออกไปจากที่นี่ทันที
นี่คิดจะมาหวานอวดฉันหรือไงน่ะ? เห็นแล้วหงุดหงิดชะมัด
ฝูซิงที่ได้แต่มองหน้าหานซือฉีพร้อมกับทำแก้มป่อง แสดงให้เขาเห็นว่าเด็กน้อยขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก แต่หานซือฉีก็ไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางง้องอนของเจ้าตัวเล็กมากนัก เขาเพียงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ซิงซิง เดี๋ยวป๊ะป๋าจะกลับไปกินข้าวเย็นด้วยนะ”
กลับมากินข้าวเย็นหรือกลับมากินหมัดยะ?
แม้จะไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจเหมือนลูกชาย แต่ความคิดของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นไปไกลกว่าคำว่าไม่พอใจมากแล้ว
“หม่ามี๊ ป๊ะป๋าน่ะไม่ได้ชอบครูหลี่หรอก พวกเขาก็แค่จีบกันขำ ๆ เพราะงั้นไม่ต้องเครียดน้า” ระหว่างทางที่สองแม่ลูกกำลังกลับบ้านนั้น จู่ ๆ ฝูซิงก็เอ่ยขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“จีบกันขำ ๆ? อีตาหานนั่นสอนอะไรให้ลูกชายสุดที่รักของหม่ามี๊น่ะ!?” ฝูเจิ้งเจิ้งเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับกำชับฝูซิงว่า “แล้วต่อจากนี้ลูกก็เลิกเรียกคนคนนั้นว่าป๊ะป๋าได้แล้ว จะให้คนพรรค์นี้เป็นป๊ะป๋าของลูกได้ยังไง”
“ถ้างั้นป๊ะป๋าจริง ๆ ของฝูซิงอยู่ไหนกันล่ะ!” เด็กน้อยจ้องมองอย่างต้องการคำตอบที่เขาเคยเฝ้าถามผู้เป็นแม่มาตลอด
“อะ…” แล้วฝูเจิ่งเจิ้งก็ได้แต่นิ่งเงียบ
“ห้ามบอกว่า ‘ป๊ะป๋าของลูกอยู่ที่ไกลแสนไกล แต่หม่ามี๊เชื่อว่าสักวันหนึ่งพวกเราจะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง’ เด็ดขาดเลยนะหม่ามี๊ ฝูซิงเห็นในจอทีวีมาเยอะแล้ว โกหกทั้งเพ”
เมื่อเห็นว่าหม่ามี๊ของตนเอาแต่นิ่งเงียบ ฝูซิงจึงพูดขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศ “ป๊ะป๋าน่ะเป็นคนดี แต่แค่ติดนิสัยเจ้าชู้ ลองให้หม่ามี๊ของฝูซิงแต่งตัวสวย ๆ ดูสิ รับรองว่าขนาดครูหลี่ก็สู้หม่ามี๊ไม่ได้ ทุกคนบนโลกก็สู้หม่ามี๊ไม่ได้เลยด้วย! แค่หึงอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ หม่ามี๊ต้องลงมือด้วย!” ฝูซิงพูดด้วยแววตาเป็นประกาย
“เดี๋ยว ๆๆ หยุดเลยนะ ทำไมลูกถึงพูดแบบนั้นน่ะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเอ่ยขึ้น ลูกของเธอยังเด็ก ทำไมเขาถึงได้รู้และเข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่นักนะ
“ถ้าลูกพูดออกมาอีกแม้แต่คำเดียว คืนนี้หม่ามี๊จะให้ลูกนอนในห้องอาบน้ำนะ!” หญิงสาวมีสีหน้าที่จริงจัง เธอกำลังแสดงให้เด็กน้อยเห็นว่าเธอจะดุเขาจริง ๆ แล้วถ้าต่อจากนี้ยังไม่หยุดพูด
และที่สำคัญ ใครหึงมิทราบ? ฉันควรต้องหึงเหรอ?
ฉันไม่ได้ชอบหานซือฉีสักหน่อย ก็แค่เห็นว่าเขาเหมือนเหนียนซี่เท่านั้นเอง!
ยังไงซะ ท้ายสุดแล้วเธอก็ต้องสืบหาความจริงจากอีกฝ่ายอยู่ดี ไม่ว่าเขาจะเป็นเหนียนซี่หรือไม่!
แต่ทำไมกันนะ…ภาพของเขาที่กำลังจู๋จี๋กับหลี่เสี่ยวเมิ่งถึงไม่หายไปจากหัวของเธอเสียที ยิ่งตัวอยู่ห่างจากอีกฝ่ายมากขึ้นเท่าไหร่ ภาพเหล่านั้นก็ยิ่งชัดเจนจนเหมือนมีหินก้อนใหญ่ที่คอยถ่วงขาเธอไว้ยิ่งขึ้น
ทางฝูซิงที่ไม่ได้สนใจกับคำขู่ของผู้เป็นแม่ได้แต่ส่ายหัวน้อย ๆ พร้อมกับคิดในใจ มองยังไงก็รู้ว่าหึง
หลังจากที่เข้ามาในห้องเช่าของพวกเธอได้แล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ได้พูดอะไรกับลูกของเธออีก ทำเพียงวางกระเป๋าแล้วเดินปรี่เข้าไปในครัว
“หม่ามี๊ ในตู้เย็นมีเนื้ออยู่ ป๊ะป๋าเองก็บอกไว้ว่….” ฝูซิงที่เดินตามเข้ามาในครัวค่อย ๆ หยิบเอาเนื้อออกมาจัดใส่จานเอาไว้ เขาวางมันบนโต๊ะเพื่อที่จะรอฝูเจิ้งเจิ้งนำมันไปปรุงต่อ
“เก็บมันกลับเข้าไปเลย! คืนนี้เราจะกินบะหมี่กัน!”
“ต-แต่บะหมี่มันสารอาหารไม่ครบนะ!” เด็กน้อยงบ่นงึมงำเบา ๆ “ฝูซิงไม่อยากกินบะหมี่…หม่ามี๊…”
“ก๊อก..ก๊อก”
ทว่าตอนนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ดูเหมือนว่า…จะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาหาถึงที่เสียแล้ว
———————————————————————————————————–
คุยกับนักแปล
หึงแหละ หึงชัวร์ #ทีมฝูซิง
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-