ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 21 จะไม่มีใครต้องเป็นคนไร้บ้านทั้งนั้น
บทที่ 21 จะไม่มีใครต้องเป็นคนไร้บ้านทั้งนั้น
“ฝูเจิ้งเจิ้ง! ฉันรู้ว่าเธออยู่ในนั้น!”
นี่มัน…เสียงหานซือฉีจริงๆ!?
เขามาที่นี่จริง ๆ งั้นเหรอ!?
ฝูเจิ้งเจิ้งแทบจะปล่อยโฮออกมา หญิงสาวตะโกนเสียงดังด้วยความยินดีกับการมาของเขา
“พวกเราอยู่ทางนี้!”
ปึง!
ในทันทีทันใด หานซือฉีก็พังประตูห้องเข้ามา เขาตรงเข้ามารับฝูซิงไปจากแขนของเธอพร้อมกับดึงแขนระหงของฝูเจิ้งเจิ้งให้ตามออกไปด้านนอกด้วยกัน
เวลานี้ทั่วทั้งห้องนั่งเล่นที่คุ้นเคย เต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลุ่มควันปกคลุมไปทั่ว หานซือฉีรีบนำทางลงไปด้านลงอย่างรวดเร็วเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ก่อนที่จะพากันหมดสติไป
20 นาทีต่อมา ในที่สุดรถดับเพลิงก็มาถึงและเริ่มดับไฟในทันที
หลังจากที่ไฟมอดดับลงหมดแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เดินกลับเข้าไปภายในบ้านอีกครั้ง เธอยืนมองห้องนั่งเล่นที่เละจนจำอะไรแทบไม่ได้ ใกล้ ๆ ตัวเธอก็มีเจ้าของบ้านเช่าหลังนี้มายืนดีดลูกคิดคำนวณค่าเสียหายทั้งหมดด้วยความโกรธอยู่ด้วย
“ดูสิว่าเธอทำอะไรกับบ้านของฉันไป! เธอจะต้องจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดที่ฉันต้องสูญเสียไปกับไอ้กองไฟบ้าบอนี่!”
หญิงสาวไม่มีอะไรจะแก้ตัว เธอได้แต่มองหน้าคนที่กำลังดีดลูกคิดอยู่นี้อย่างช่วยไม่ได้ เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะโทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสตางค์รวมไปถึงบัตรเครดิตต่าง ๆ ก็ล้วนอันตรธานหายไปหมดแล้ว สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ตอนนี้สองคนแม่ลูกสิ้นเนื้อประดาตัวไม่มีแม้กระทั่งที่อยู่อาศัย แล้วดูท่าว่าค่าเสียหายมหาศาลนี้ก็น่าจะกลายเป็นหนี้ก้อนโตที่เธอต้องหาเงินมาใช้หนี้อีกนานแน่ ๆ
การที่เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวและไม่มีญาติ ฝูเจิ้งเจิ้งอยู่เพียงลำพังในเมืองแห่งนี้ มันเลยทำให้การสู้หน้าเจ้าของบ้านเช่าที่กำลังโกรธจัด เปรียบเสมือนกับการยืนต่อหน้าศาลที่กำลังอ่านคดีความผิดของเธออย่างหนีไม่ได้
“หม่ามี๊ เราจะกลายเป็นคนไร้บ้าน ต้องเดินเร่ร่อนกันแล้วเหรอ ฝูซิงกับหม่ามี๊จะต้องนอนข้างถนนใช่ไหม?” ฝูซิงเอ่ยถาม เด็กน้อยตัวสั่นเทาราวกับจะร้องไห้ขณะที่มองแม่ของเขาตาละห้อย
“ใครจะปล่อยให้เด็กน้อยน่ารักต้องกลายเป็นคนไร้บ้านกันน่ะ? มานี่เร็ว บ้านป๊ะป๋าก็คือบ้านของซิงซิงนั่นแหละ” หานซือฉีที่เสร็จจากการคุยโทรศัพท์นั้นเผอิญได้ยินฝูซิงพูดเรื่อง ‘ไร้บ้าน’ พอดี
“ป๊ะป๋า!” ทันทีที่ฝูซิงเห็นหานซือฉี เด็กน้อยก็รีบวิ่งเข้าหาพร้อมทั้งกอดขาของอีกฝ่ายแน่น
“ป๊ะป๋าอยู่นี่แล้ว เพราะงั้นไม่ต้องมีใครไปนอนข้างถนนทั้งนั้น” ชายหนุ่มอุ้มฝูซิงขึ้นมาพร้อมกับเช็ดคราบเขม่าดำบนใบหน้าเด็กน้อยด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กที่ชุบน้ำมาแล้ว
ก่อนที่ฝูเจิ้งเจิ้งจะทันได้ถามลูกชายเธอว่าไปเรียนรู้คำว่า ‘นอนข้างถนน’ มาจากไหน เธอก็สังเกตเห็นว่าแววตาของหญิงเจ้าของบ้านเช่านั้นดูจะเปล่งประกายเสียเหลือเกินเมื่อได้ยินคำว่า ‘ป๊ะป๋า’ ซึ่งมันกลายเป็นแสงแห่งความหวังที่จะได้เงินคืนของเธอไปแล้ว “นี่ คุณฝู ในเมื่อสามีของเธอก็มาที่นี่แล้ว เพราะงั้นก็ช่วยบอกเขาให้จ่ายค่าเสียหายของฉันมาให้ด้วยนะ ฉันน่ะแก่แล้ว หากไม่มีเงินจากค่าเช่าประทังชีวิต ฉันเองก็ไม่ต่างอะไรกับยาจกแก่ ๆ นักหรอก”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะคุณป้า ฉันไม่มีปีก เพราะงั้นฉันไม่บินหนีไปไหนแน่ ฉันจะจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดแน่ ๆ หลังจากจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว ถ้ายังไงไว้คุยเรื่องนี้กันอีกครั้งเมื่อเวลานั้นมาถึงนะคะ” ฝูเจิ้งเจิ้งไม่อยากจะพูดอะไรกับเจ้าของบ้านเยอะนัก เพราะงั้นเธอจึงเอ่ยสั้น ๆ และปลีกตัวออกมาจากอีกฝ่ายทันที
หานซือฉีเดินดูตามห้องต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันที่ยังไม่จางหายไปหมด เขาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้น?”
“เอ่อ…ฉันแค่ประมาทน่ะค่ะ ก็เลยกลายเป็นเหตุเพลิงไหม้แบบนี้ แหะ ๆ” หญิงสาวหัวเราะแห้ง ๆ และพยายามบ่ายเบี่ยงปิดบังความจริงเอาไว้
ตอนแรกเธอคิดว่าคนพวกนั้นน่าจะมาจากหลินเจี่ยว แต่เมื่อมาคิดทบทวนดี ๆ แล้ว เธอกลับรู้สึกว่านี่ไม่น่าจะใช่ฝีมือของเธอคนนั้นแน่ ๆ เพราะเมื่อครั้งที่เจอกับหานซือฉีวันนั้น หลินเจี่ยวดูจะยังเข้าใจผิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอและหานซือฉีอยู่ นอกจากนั้นแล้วปัญหาของสาว ๆ เองก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรขนาดที่ต้องจ้างคนมาฆ่าแกงกันแบบนี้ด้วย
แต่นอกจากหลินเจี่ยวแล้วหญิงสาวก็นึกไม่ออกว่าตนเองเคยไประรานใครไว้หรือเปล่า จะไปแจ้งความไว้ก็เกรงว่าข้อมูลส่วนตัวของเธอที่ปิดบังไว้จะเล็ดลอดออกไป และถ้าหากเป็นแบบนั้น การทำงานของเธอคงจะต้องลำบากกว่านี้แน่ ๆ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือเผยตัวตนของเธอให้น้อยที่สุดและรอเวลาที่จะฝากให้หยางเต๋าไปสืบเรื่องนี้ให้อีกทีหนึ่ง
ทว่าสิ่งที่ฝูเจิ้งเจิ้งไม่รู้เลยนั่นก็คือ ฝูซิงได้เล่ารื่องที่เธอโดนลอบทำร้ายจนกลายมาเป็นเหตุไฟไหม้ใหญ่โตเช่นนี้ไปหมดแล้วตั้งแต่ตอนที่เขาซ่อนตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้า ใช่แล้ว เขานี่แหละเป็นคนโทรเรียกหานซือฉีให้มาช่วย
ชายหนุ่มมองสาวสวยตรงหน้าที่พยายามชักเเม่น้ำทั้งห้าไปเรื่อยอย่างนิ่งสงบโดยที่ไม่ได้พูดเรื่องก่อนหน้านี้ให้เธอฟังแล้วหันไปสนใจฝูซิงพร้อมกับช่วยเช็ดคราบเขม่าที่เหลืออยู่บนใบหน้าของเจ้าตัวน้อยต่อไป หางตาของหานซือฉีเหลือบมองฝูเจิ้งเจิ้งในชุดนอนที่ถูกฉีกขาดไปหลายส่วน เขาก็ถอดเสื้อคลุมของตนเองและโยนใส่อีกฝ่ายโดยไม่ได้พูดอะไรและอุ้มฝูซิงออกไปเงียบ ๆ
“นี่ ๆๆ คุณหานจะพาฝูซิงไปไหนน่ะคะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งรับเสื้อคลุมนั้นไว้แล้วรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว
“ไปบ้านฉัน”
“ไม่!” ฝูเจิ้งเจิ้งคว้าแขนของฝูซิงไว้ก่อนที่หานซือฉีจะพาเดินไปไกลกว่านี้
ฝูซิงหันกลับมาบุ้ยปากและพูดขึ้น “ฝูซิงไม่อยากไปนอนข้างถนนกับหม่ามี๊หรอก!”
“ฉลาดมากหนุ่มน้อย” หานซือฉีลูบแก้มของฝูซิงก่อนจะเดินลงบันไดไปโดยไม่ได้สนใจฝูเจิ้งเจิ้งอีก
“ด-เดี๋ยวก่อน…” หญิงสาวอยากจะตามไปรั้งอีกฝ่ายไว้ แต่เธอก็ไม่สามารถทำได้ พอมาคิดดูดี ๆ แล้ว ตอนนี้คงได้แค่ตามเขาไปเท่านั้น มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้ฝูซิงปลอดภัยไปด้วย
ตลอดทางที่นั่งรถในยามค่ำคืนเช่นนี้ ฝูซิงดูจะตื่นเต้นอยู่ตลอด เด็กน้อยที่หน้าบูดบึ้งก่อนหน้านั้น ตอนนี้กำลังยิ้มแป้นให้ผู้เป็นแม่อยู่ เขาคุยโม้หานซือฉีตลอดเวลาที่ปีนป่ายไปตามที่นั่งเหมือนลูกลิงตัวน้อย ๆ ในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งก็จมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตนจนไม่ได้สนใจที่จะสนทนากับลูกชายของเธอ
ฝูเจิ้งเจิ้งครุ่นคิดอย่างหนักถึงเรื่องที่หยางเต๋าจะคิดอย่างไรหากรู้ว่าตนเองและฝูซิงนั้นย้ายมาอยู่ที่บ้านของหานซือฉีเช่นนี้ แต่พอมาคิดดูดี ๆ นี่อาจจะทำให้เธอได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมก็ได้หากอยู่ที่บ้านของหานซือฉี และถ้าเป็นแบบนั้น หน้าที่ของเธอก็จะบรรลุผลได้ง่ายยิ่งขึ้น…
นี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีแล้วจริง ๆ ที่จะได้เข้าใกล้ผู้ต้องสงสัยมากขึ้น…จะได้รู้ซักทีว่ามีไฝหรือเปล่า…ไม่ ๆๆ ไม่ใช่เรื่องนั้นสิ!
หญิงสาวส่ายหน้าเพื่อปัดความคิดชั่ววูบที่เข้ามาในตอนท้ายไปและแอบโทษตัวเองที่เอาแต่คิดเรื่อยเปื่อยมากเกินไป
“หม่ามี๊ ถึงแล้ว! ดูสิ บ้านป๊ะป๋าใหญ่เบิ้ม ๆ เลย!” เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความร่าเริงของฝูซิงไหลเข้ามาในโสตประสาทของเธออีกครั้ง มันช่วยดึงสติของฝูเจิ้งเจิ้งให้กลับมาโฟกัสกับสิ่งรอบตัว หญิงสาวรีบเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่ารถที่เธอนั่งอยู่นั้นเลี้ยวเข้ามาในคฤหาสน์หลังใหญ่เสียแล้ว
เมื่อมองไปรอบ ๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็พบว่า ด้านหลังดงต้นการบูรสูงใหญ่นั้นเก็บซ่อนสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่นี้ไว้ได้โดยที่ไม่รู้สึกว่าขัดหูขัดตาเลย เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินตามฝูซิงลงไปจากรถ
“ไม่หนาวหรือไง?” หานซือฉีขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้สวมเสื้อคลุมที่เขาส่งให้ตั้งแต่ที่บ้าน หญิงสาวยังคงถือเสื้อนั้นไว้ในมือทั้ง ๆ ที่ชุดที่สวมอยู่นั้นขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
ทันทีที่โดนถามหญิงสาวจึงเริ่มรู้สึกได้ถึงสายลมอันหนาวเย็นปะทะเข้ากับผิวนวลผ่องภายใต้รอยขาดของเสื้อผ้าจนต้องสั่นสะท้าน ในตอนนั้นเองเธอถึงเริ่มตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง และเมื่อก้มมองที่ตนเอง ใบหน้าสวยเปื้อนเขม่าควันก็แดงก่ำขึ้นมาทันที
พระเจ้า นี่ฉันใจกล้าขนาดอวดเนื้อหนังขนาดนี้แล้วเหรอนี่? ดีนะที่เจ้าของบ้านเช่าเป็นผู้หญิง ไม่งั้นมีหวังโดนต่อรองให้ชดใช้ค่าเสียหายด้วยวิธีอื่นไปแล้ว!
พลันเมื่อคิดขึ้นได้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบสวมเสื้อคลุมที่ชายหนุ่มให้เอาไว้ในทันที
ตรงหน้าประตูคฤหาสน์หลังโตนี้ มีหญิงอายุราว ๆ 50 ปีกำลังยืนรอการมาถึงของหานซือฉีอยู่ เธอคนนั้นโค้งให้อย่างช้า ๆ ก่อนจะผลิยิ้มและกล่าวทักทาย “สวัสดีค่ะ คุณฝู ดิฉันชื่อ เฉินเฉี่ยวหลาน เป็นคนรับใช้ของท่านซือฉีค่ะ ก่อนหน้านี้ท่านซือฉีได้บอกฉันไว้แล้วว่าให้จัดห้องสำหรับเด็กไว้ด้านบน และห้องของคุณฝูไว้ข้าง ๆ ห้องนั้นด้วย เพราะงั้นแล้วฉันจะนำทางไปให้นะคะ”
“อ่ะ–โอ๊ะ รบกวนด้วยนะคะ” ฝูเจิ้งเจิ้งทำตัวไม่ค่อยถูกนักเมื่อเจอกับการต้อนรับเช่นนี้ แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธความอ่อนน้อมของอีกฝ่ายแต่อย่างใดและรีบเดินตามเฉินเฉี่ยวหลานไปอย่างรวดเร็ว
“ห้องของท่านซือฉีอยู่ด้านนี้ค่ะ ส่วนนี่เป็นห้องของคุณฝู” เฉินเฉี่ยวหลานเดินนำฝูเจิ้งเจิ้งขึ้นมาที่ห้องชั้นสองของคฤหาสน์ยักษ์ “มันค่อนข้างจะกะทันหันตอนที่ได้ยินคำสั่งให้จัดห้องจากท่านซือฉี แต่วางใจได้เลยค่ะว่าสิ่งต่าง ๆ บนเตียงนั้นเป็นของใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ท่านซือฉียังบอกให้คนจัดเตรียมชุดไว้ให้คุณฝูด้วย ซึ่งฉันเองก็นำชุดเหล่านั้นไปจัดไว้ให้ในห้องน้ำแล้ว ตอนนี้ท่านซือฉีน่าจะอาบน้ำกับเด็กน้อยคนนั้นอยู่ คุณฝูเองก็ไปอาบน้ำด้วยก็ดีนะคะ”
“ขอบคุณมาก ๆ เลยจริง ๆ ค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งมองไปยังห้องที่สะอาดเอี่ยมราวกับโรงแรมหรูที่มากกว่า 5 ดาวแล้วก็กล่าวขอบคุณแม่บ้านผู้แสนอ่อนโยนต่อแขกที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกคนนี้ สภาพของเธอในตอนนี้กับสภาพห้องนั้นไม่ต่างอะไรกับคนจรจัดที่มีคนพาไปหาที่นอนดี ๆ เลย เห็นแล้วช่างน่าอายนัก คิดได้ดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็วิ่งหายไปในห้องน้ำทันที
หลังจากที่อาบน้ำจนสบายเนื้อสบายตัวแล้วหญิงสาวก็ออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับชุดใหม่ที่สะอาดเอี่ยมไปทั้งตัว ทว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นถึงกับทำให้หญิงสาวสะดุ้งโหยง หานซือฉีและฝูซิงนั้นนอนรออยู่บนเตียงที่เตรียมไว้ให้เธอแล้ว
“เขาหลับไปแล้ว” หานซือฉีค่อย ๆ พลิกตัวขึ้นมานอนตะแคงและมองฝูเจิ้งเจิ้งตั้งแต่หัวจรดเท้า “เวลาที่ได้เห็นสาวสวยอาบน้ำเสร็จหมาด ๆ เนี่ย มันทำให้ฉันกระชุ่มกระชวยไม่หยอกเลยนะ” เขาอดไม่ได้ที่จะแกล้งแหย่หญิงสาวตรงหน้าด้วยความเคยชินของเสือร้ายอย่างเขา
“ฮึก— ขอบคุณสำหรับที่พักนะคะคุณหาน ความช่วยเหลือในครั้งนี้มันมากมายจนฉันไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี…” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบยกมือขึ้นกอดตัวเองไว้เพราะรู้สึกหวั่น ๆ กับท่าทีนั้นของอีกฝ่าย จากนั้นเธอก็รีบเปลี่ยนน้ำเสียงให้ปกติที่สุดและพูดออกไป “แต่ตอนนี้มันดึกมาแล้ว เกรงว่าหากคืนนี้คุณหานไม่กลับห้องและอยู่กับฉันสองต่อสอง มันจะทำให้ชื่อเสียงของคุณแปดเปื้อนเอาได้ ดังนั้น…ช่วยกลับไปที่ห้องของคุณด้วยค่ะ”
เมื่อเห็นทีท่าของหญิงสาวแบบนั้น หานซือฉียิ่งได้ใจ เขาใช้สายตาโลมเลียร่างบางและพูดกับเธอว่า
“กับคนที่ไม่ว่าใครก็มองเป็นเพลย์บอยอย่างฉันแล้ว เธอคิดว่าฉันห่วงชื่อเสียงอะไรนั่นหรือไง? ล้มเลิกความคิดที่จะไล่ฉันกลับห้องได้แล้ว ฉันจะนอนที่นี่ เธอเหนื่อยฉันก็เหนื่อย จะไม่ขยับไปไหนแล้ว” ไม่พูดเปล่า หานซือฉีก็ทิ้งตัวลงนอนไปบนเตียงทันที
“ถ้างั้นคุณหานนอนที่นี่กับฝูซิง เดี๋ยวฉันไปนอนห้องถัดไปแทนก็ได้” ด้วยความแน่วแน่ ฝูเจิ้งเจิ้งไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรด้วยซ้ำ เธอรีบเดินตรงไปอีกห้องทันทีที่พูดจบ
“ปกติแล้วฉันจะนอนกับผู้หญิงสวย ๆ แต่ยังไม่เคยนอนกับเด็กสักที” หานซือฉีลุกพรวดขึ้นมาพร้อมหาวด้วยท่าทีขี้เกียจ “เพราะงั้นเธอมานอนนี่ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ไปที่บริษัทพร้อมกับฉัน”
เมื่อเห็นว่าหานซือฉีลุกออกไปแล้ว เธอก็รีบวิ่งไปปิดประตูและล็อกไว้ทันที หานซือฉีไม่อยู่แล้ว ฝูซิงก็หลับแล้ว ไม่มีอะไรน่ายินดีไปกว่านี้อีกแล้ว เธอเดินกลับขึ้นเตียงไปช้า ๆ และจูบเข้าที่หน้าผากของเด็กน้อยเบา ๆ แล้วจึงค่อย ๆ ทิ้งตัวลงไปนอนข้าง ๆ อย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เจ้าตัวเเสบตื่นขึ้นมาอีก
แววตาคู่สวยเหลือบมองเพดานอีกครั้ง มันกลายเป็นเหมือนเรื่องที่ต้องทำก่อนนอนไปแล้ว ในหัวของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นคิดถึงเรื่องที่หานซือฉีมักจะทำตัวหว่านเสน่ห์ใส่เธออยู่เรื่อย แล้วมันก็อดโกรธและกังวลไปพร้อม ๆ กันไม่ได้ ก่อนหน้านี้ บ้านคือที่เดียวที่พอจะหลบหน้าหานซือฉีได้ แต่ในเมื่อมาอยู่ด้วยกันเช่นนี้แล้ว ชีวิตของเธอจะปั่นป่วนขนาดไหนกันนะ…
แต่อีกเรื่องที่ต้องคิดตอนนี้คือ ต้องรีบซื้อโทรศัพท์ใหม่พร้อมซิมการ์ดในวันพรุ่งนี้เลย มันน่าจะประจวบเหมาะกับการที่หยางเต๋ารู้เรื่องบ้านเช่าของเธอถูกไฟไหม้แล้ว หากไม่รีบล่ะก็ ต้องมีคนกระวนกระวายเจียนตายเพราะติดต่อเธอไม่ได้แน่ ๆ
แต่เธอควรยืมเงินหานซือฉีไหมนะ? ยืมพรุ่งนี้เลยดีไหม… แต่เขาก็ช่วยเธอไว้ตั้งเยอะแล้วนี่นา ไม่ว่าจะเป็นอาหารฟรี ที่พักฟรี แบบนี้จะเอาหน้าที่ไหนไปยืมเงินอีกเนี่ย? ก่อนหน้านี้ก็เคยโดนมองเป็นพวกจับผู้ชายรวย ๆ กินไปแล้ว ถ้าหากไปยืมเงินจริง ๆ เธอก็จะเป็นผู้หญิงแบบนั้นจริง ๆ น่ะสิ?
ฝูเจิ้งเจิ้งส่ายหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เพราะเธอเลือกทางออกได้แล้วถึงปัดเรื่องอื่น ๆ ทิ้งและหลับไปด้วยความพึงพอใจกับทางออกที่เลือก
แต่แล้ว เช้าวันรุ่งขึ้น หัวของฝูเจิ้งเจิ้งก็หนักอึ้งเหมือนมีหินก้อนใหญ่ทับมาที่ศีรษะของเธอ แถมร่างกายของเธอก็ยังไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับไปไหนอีก
“นอนเฉย ๆ ไปก่อน สาวน้อย”
นี่มันเสียงหานซือฉีนี่?
ไม่เพียงแค่เสียงเท่านั้น เพราะในตอนนี้ฝ่ามือใหญ่ของเขาก็กำลังกดหน้าผากเธอลงไปนอนดังเดิมด้วย “เพราะดื้อไม่ยอมสวมเสื้อคลุมเมื่อวาน สมควรแล้วที่จะป่วย” เขาพูดราวกับกำลังดุเด็กน้อย
ฉันป่วยเหรอ?
“หม่ามี๊ ห้ามขยับไปไหนนะ คุณหมอบอกว่าเมื่อคืนหม่ามี๊ไข้ขึ้น เพราะงั้นวันนี้หม่ามี๊ต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่บ้าน” สิ้นเสียงหานซือฉีก็ตามด้วยเสียงของฝูซิงที่ดังเข้ามา
นี่ฉันป่วยจริงหรอเนี่ย? ไม่อยากจะเชื่อเลย!
ทั้ง ๆ ที่ปกติออกจะเป็นคนสุขภาพร่างกายแข็งแรงแท้ ๆ ทำไมร่างกายถึงนึกคึกมาป่วยตอนที่อยู่บ้านคนอื่นแบบนี้เล่า?
มือเล็ก ๆ ของฝูซิงค่อย ๆ จับไปตามใบหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งไว้พร้อมกับพรมจูบไปทั่วหน้า ลูกชายตัวแสบทำเหมือนว่าเธอเป็นเด็กเล็กกว่าเขายังไงยังงั้น
“หม่ามี๊ห้ามขยับไปไหน แล้วก็ห้ามพูดอะไรด้วย คุณย่าเฉินจะคอยดูแลหม่ามี๊เอง… ป๊ะป๋าก็บอกไว้ว่าเด็กที่ไม่เรียนหนังสือจะเป็นเด็กไม่ดี เพราะงั้นฝูซิงจะไปโรงเรียนกับป๊ะป๋า”
“ไม่ได้นะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดขึ้นมาทันที เธอพยายามตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วถ้าหลินเจี่ยว—”
“ไม่มีหลินเจี่ยวอะไรทั้งนั้น” แต่หานซือฉีก็กดหน้าผากเธอลงไปนอนอีกครั้งและพูดตัดบทด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นกว่าแผ่นเจลลดไข้เสียอีก
แม้จะป่วยอยู่แต่อาการช็อกก็ไม่ได้ป่วยตามเธอ เมื่อได้ยินว่าจะไม่มีหลินเจี่ยว ฝูเจิ้งเจิ้งก็สงสัยขึ้นมาอีก “ว่ายังไงนะ? คุณหานทำอะไรกับหลินเจี่ยวไปน่ะ?”
“ฉันทำในสิ่งที่ฉันควรทำไปแล้ว” ชายหนุ่มตอบง่าย ๆ “ส่วนเธอก็ต้องทำในสิ่งที่เธอควรทำ นั่นคือนอนนิ่ง ๆ บนเตียงนี่ แล้วฉันจะกลับมาอีกที ซิงซิง ไปกันเถอะ”
“ด-เดี๋ยว…” กว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะรวบรวมแรงมาตะโกนเรียกได้ หานซือฉีก็พาตัวฝูซิงออกจากห้องของเธอไปแล้ว
“คุณฝูคะ ท่านซือฉีน่ะไตร่ตรองก่อนทำเสมออยู่แล้วล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นคุณฝูสามารถไว้ใจเขาได้เลย ตอนนี้อยากจะดื่มอะไรหน่อยไหมคะ?” เฉินเฉี่ยวหลานนำหมอนสองใบมาสอดเพิ่มใต้ศีรษะของฝูเจิ้งเจิ้งเพื่อให้คนป่วยอย่างเธอนอนสบายขึ้น
เมื่อได้ยินว่าเฉินเฉี่ยวหลานเรียกหานซือฉีว่า ‘ท่านซือฉี’ ฝูเจิ้งเจิ้งก็คิดอะไรออก ความคิดนี้ช่างประเสริฐจนเธอลืมอาการปวดหัวไปเลย “ป้าเฉินคะ ป้าเฉินทำงานเป็นแม่บ้านให้กับตระกูลหานมานานแล้วหรือยังคะ?”
“ดิฉันอยู่กับตระกูลหานมากว่า 30 ปีแล้วค่ะคุณฝู จะเรียกว่าตั้งแต่พี่ใหญ่ของบ้านนี้เกิดเลยก็ได้ หุ ๆๆ”
“โอ้ ดีเลย งั้นแสดงว่าป้าเฉินก็คอยเฝ้าดูการเจริญเติบโตของสองพี่น้องคู่นี้ตลอดเลยสินะคะ?”
“ใช่แล้วค่ะ จริง ๆ แล้วดิฉันเป็นคนเลี้ยงท่านซือฉีมากับมือเลยนะคะ ไม่งั้นแล้วเขาคงจะไม่ยอมให้ดิฉันมาดูแลเวลาเขาต้องอยู่คนเดียวแน่ ๆ” เฉินเฉี่ยวหลานดูจะภาคภูมิใจกับหน้าที่นี้ของตนไม่เบาเลย
“ป้าเฉินพอจะรู้เรื่องของคุณหานซือฉีช่วง 12-24 ปีไหมคะ?” ครั้นเมื่อฝูเจิ้งเจิ้งถามคำถามเช่นนี้ออกไป เฉินเฉี่ยวหลานก็แสดงสีหน้างุนงงออกมา สถานการณ์ในตอนนี้เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังของฝ่ายเธอ และความตึงเครียดของป้าเฉินเฉี่ยวแล้ว
————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
ไม่แต่ง แต่ได้เข้าบ้านแล้ว แถมยัง…วางปมไว้เยอะแยะไปหมดอีกด้วย…
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-