ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 22 คนคนนี้เคยความจำเสื่อมงั้นเหรอ
บทที่ 22 คนคนนี้เคยความจำเสื่อมงั้นเหรอ?
“ท่านซือฉีไปเรียนอยู่ต่างประเทศพักหนึ่งเลยน่ะค่ะ ดิฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าช่วงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง แต่ว่าเท่าที่รู้มา ท่านซือฉีนั้นเป็นพวกความจำดีมาก ๆ เลยนะคะ ดีขนาดที่ว่าสามารถร่ายยาวเนื้อหาในหนังสือได้เป็นเล่ม ๆ หลังจากอ่านจบไปไม่กี่รอบเลยค่ะ”
“เขาไปเรียนต่างประเทศมาเป็น 10 ปีเลยเหรอคะ?” ไม่อยากจะยอมแพ้หรอกนะ มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ “แล้วเขากลับมาบ้านบ้างไหมคะ?”
เฉินเฉี่ยวหลานตอบกลับด้วยรอยยิ้มอย่างไม่ลังเล “ดิฉันจำได้ว่าท่านซือฉีกลับมาบ่อยอยู่นะคะ อย่างน้อย ๆ ก็ทุกวันหยุด แล้วทุก ๆ ครั้งเวลาที่เขากลับมา เขาก็จะขอให้ฉันทำอาหารจานโปรดให้ทาน ท่านซือฉีน่ะ มักจะบอกว่าเขาไม่สามารถหาอาหารจานไหนที่อร่อยเทียบเท่าอาหารที่ฉันทำในต่างประเทศได้เลยค่ะ โฮะ ๆๆ”
“โอ้…” ฝูเจิ้งเจิ้งจ้องไปยังเฉินเฉี่ยวหลานเงียบ ๆ เพื่อสังเกตท่าทีไม่ชอบมาพากลของอีกฝ่าย ทว่าจนแล้วจนรอด ท่าทีของแม่บ้านวัยกลางคนผู้นี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคนทั่วไปเลย เธอคงพูดความจริงสินะ นี่ทำให้หญิงสาวแอบรู้สึกผิดหวังอยู่ลึก ๆ
ถึงแม้ว่าเธอนั้นจะสงสัยอยู่ตลอดว่า ‘หรือบางทีหานซือฉีจะไม่ใช่เหนียนซี่จริง ๆ?’ แต่ในเมื่ออุตส่าห์ลงทุนลงแรงไปแล้ว จะยอมแพ้ซะตั้งแต่ตอนนี้โดยที่ยังไม่รู้ความจริงก็คงจะเสียเวลาเปล่า
ถ้าหากหานซือฉีไม่ใช่เหนียนซี่จริง ๆ แล้วเหนียนซี่ตัวจริงไปไหนน่ะ?
เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งดูจะอาการไม่ดีขึ้นหลังฟังเรื่องราวเหล่านี้ เฉินเฉี่ยวหลานก็เข้าใจว่าเธอคนนี้คงจะยังปวดหัวอยู่ “คุณฝูคะ ถ้ารู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว นอนลงอีกสักพักเถอะค่ะ ให้ร่างกายได้พักผ่อน เดี๋ยวอาการเจ็บปวดก็หายไปเอง”
ฝูเจิ้งเจิ้งฝืนยิ้มออกมาก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นมาได้อีกอย่างหนึ่ง “อ๊ะ ป้าเฉินคะ พอจะรู้จักคนที่ชื่อ เฉียวเค่อเหริน ไหมคะ?”
เฉินเฉี่ยวหลานหันมองเธอในทันที แม่บ้านผู้ใจดีคนนี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบกลับในเชิงคำถาม “ท่านซือฉีพูดชื่อนี้ให้คุณฝูได้ยินเหรอคะ?”
เธอส่ายหน้าเบา ๆ และเมื่อเห็นว่าเฉินเฉี่ยวหลานปฏิเสธที่จะพูดอะไรต่อ ท่าทีเช่นนี้เลยทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งเข้าใจได้ว่า บางทีเฉียวเค่อเหรินน่าจะเป็น 1 ในแฟนสาวของหานซือฉีแน่ ๆ ยังไงซะหานซือฉีก็ไม่เคยปฏิเสธสาวสวยอยู่แล้วนี่
ในเมื่อตานี่ไม่ใช่เหนียนซี่ก็แล้วไป แต่ถึงจะคิดอย่างงั้น ในใจมันก็ไม่ได้รู้สึกโล่งขึ้นมาเลย…ให้ตายเถอะ ฉันต้องไม่คิดเรื่องไร้สาระสิ! ยังไงซะการที่ฉันมาเมือง B แห่งนี้ก็เพราะงาน จำไว้ฝูเจิ้งเจิ้ง จำไว้ว่าตัวเองมาทำงาน ไม่มีเรื่องอื่นแอบแฝง!
หลังจากที่ไข้เริ่มลดลงบ้างแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก เธอเห็นเฉินเฉี่ยวหลานเดินลงบันไดไปแล้ว ดังนั้นนี่เป็นเวลาของการบุกค้นห้องหานซือฉีแล้ว!
ห้องของหานซือฉีนั้นใหญ่พอ ๆ กับห้องทำงานของเขาที่บริษัท การตกแต่งภายในนั้นเรียบง่ายหากแต่ก็ดูมีรสนิยม ทว่าสิ่งที่สะกดสายตาเธอจริง ๆ กลับไม่ใช่การตกแต่งที่ดูสบายตาเช่นนี้แต่เป็นภาพเขียนอักษรที่ใส่กรอบไว้อย่างสวยงามอยู่บนกำแพงนั่นมากกว่า
ข้อความในกรอบนั้นเขียนไว้ว่า ‘เมื่อไหร่ที่เราเจอผู้ที่มีคุณธรรมและความสามารถ ขอให้คิดว่าเขาและเรานั้นเท่าเทียมกัน หากแต่เมื่อไหร่พบคนที่นิสัยตรงกันข้าม ขอให้เรากลับมาคิดทบทวนและไถ่ถามตนเองว่าคนเช่นนี้ควรปฏิบัติตนด้วยเช่นไร- แด่ลูกที่รัก ซือฉี’ ข้อความเหล่านั้นทำเอาฝูเจิ้งเจิ้งหลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมา ดูท่าว่าพ่อของหานซือฉีจะเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและสง่างามในเวลาเดียวกันสินะ หานซือเซียนได้เขามาไม่น้อยเลย แต่กับหานซือฉีแล้ว..
เธอหันกลับมามองเตียงขนาดใหญ่สีขาวดำที่ตั้งตระหง่านอยู่ในห้อง ฝูเจิ้งเจิ้งก็ตระหนักได้ว่าหานซือฉีน่าจะชอบเตียงนี่พอ ๆ กับที่เขาบ้าผู้หญิงเลยแน่ ๆ
เมื่อตรวจสอบจนมั่นใจแล้วว่าห้องนี้ไม่มีกล้องซ่อนอยู่ชัวร์ ๆ หญิงสาวก็ไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่า จุดประสงค์ที่เธอมายังห้องนี้น่ะ…ก็เพื่อหาเงินยังไงล่ะ! เธอเริ่มเดินไปดูตามจุดต่าง ๆ ที่มนุษย์ปกติจะเก็บเงินไว้กัน ไม่ว่าจะเป็นบนโต๊ะ บนชั้น ในลิ้นชัก ในตู้ ทว่าฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ได้สิ่งที่ต้องการกลับมาเลยแม้แต่นิดเดียว เธอเริ่มจะสิ้นหวังและแอบบ่นหานซือฉีอยู่ในใจ
ขี้งก!
ร่างบางทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนิ่มสุดอลังการนั้นด้วยความหงุดหงิด
แววตาของเธอยังคงกวาดมองไปทั่วจนกระทั่งมาหยุดที่ชั้นหนังสือที่ตั้งไว้ติดกับผนังทั้งหมด บนชั้นนั้นมีหนังสืออยู่มากมายจนแทบจะล้นออกมา ฝูเจิ้งเจิ้งลุกขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ภาพตรงหน้านี้ทำเอาเธอสับสนนิดหน่อย เพราะภายในหัวของเธอ หญิงสาวจำได้ว่าห้องของเหนียนซี่ก็มีชั้นหนังสือที่วางจนเต็มกำแพงแบบนี้เหมือนกัน แถมยังมีหนังสือเยอะแบบนี้เลยด้วย นี่มัน…เรื่องบังเอิญเหรอ?
จะว่าไปแล้วไอ้การจัดห้องง่าย ๆ แบบนี้ก็แอบคล้ายกันอยู่ด้วย
นี่น่ะ…เรื่องบังเอิญจริง ๆ เหรอ?
มือเรียวค่อย ๆ สัมผัสไปตามหนังสือที่วางเรียงอยู่บนชั้นนั้น และภาพของเหนียนซี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าชั้นหนังสือคอยยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนมันก็ค่อย ๆ ชัดขึ้นมาอีก คล้ายจริง ๆ… ภาพของเหนียนซี่กับหานซือฉีค่อย ๆ ทับซ้อนกันทีละนิด แต่ในท้ายสุดมันก็ไม่เหมือน
ไม่มีทางเด็ดขาด นิสัยคนละขั้วกันเลย
“เล่มนั้นก็สนุกนะ ฉันอ่านจบไปหลายรอบแล้ว” ทันใดนั้นเอง เสียงของหานซือฉีก็ดังขึ้นมาจากทางประตู
“แหก!” หญิงสาวตกใจกับภาพตรงหน้า
“ไม่แหก จะหยิบอะไรก็หยิบไป ฉันแค่บอกว่าเล่มนั้นสนุก” เจ้าของเสียงนั้นกำลังยืนกอดอกพิงขอบประตูอย่างสบายใจมองไปยังหญิงสาวด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ
ด้วยความตกใจ ฝูเจิ้งเจิ้งหันไปมองเจ้าของห้องและนิ่งชะงักอยู่พักหนึ่งเพื่อคิดหาคำแก้ตัว “ฉ-ฉ-ฉันแค่มาเดินดูเฉย ๆ น่ะค่ะว่าปกติคุณหานอ่านอะไรบ้าง…ก็เท่านั้น…”
“เท่านั้นเองเหรอ?” ชายหนุ่มทำท่าทางไม่เชื่อคำพูดแก้ตัวของเธอเท่าไหร่นัก
“ใช่ค่ะ!” หญิงสาวพยักหน้ารัว ๆ ส่วนภายในใจเธอนั้นน้อมรับความผิดนี้แล้ว
ทว่าหานซือฉีกลับไม่ปล่อยผ่าน เขาเดินตรงมาหาฝูเจิ้งเจิ้งและเชยคางของแม่ตัวแสบตรงหน้าอย่างเบามือก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ฉันคิดว่าเธอเข้ามาในห้องนี้เพราะคิดถึงฉันซะอีก”
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบปัดมือของอีกฝ่ายออก เธอรู้ดีว่านี่คือวิธีหลอกล่อสาว ๆ ของเขา เพราะงั้นเธอจะหลงกลไม่ได้เด็ดขาด! ใบหน้าสวยหันกลับไปมองชั้นหนังสืออีกครั้งก่อนจะสุ่มหยิบเอาหนังสือออกมาเล่มหนึ่งและเตรียมจะออกจากห้องไป
แต่เจ้าของห้องก็คว้าแขนเธอไว้เสียก่อน เขาเพิ่มแรงกระชากเพียงเล็กน้อย ร่างบางก็ถลาเข้าใส่อ้อมแขนของเขาได้อย่างง่ายดาย ริมฝีปากบางของเขาค่อย ๆ งับเข้าที่ใบหูของหญิงสาวเบา ๆ อย่างหยอกล้อ และเริ่มเล้าโลมเธอต่อ “นั่งอยู่ในห้องนี้ก่อนก็ได้ บางทีเธออาจจะหายเร็วกว่าเดิม”
เลขาสาวรีบส่ายหน้าหนีและผละตัวออกอย่างรวดเร็ว คราวนี้เธอหันมองเขาด้วยความโกรธ “คุณหานคะ! คุณจะเข้าหาผู้หญิงทุกคนด้วยวิธีนี้ไม่ได้นะคะ!”
“ก็ไม่ได้ทำกับทุกคนสักหน่อย มันอยู่ที่ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครต่างหาก” ชายหนุ่มกัดริมฝีปากตนเองเบา ๆ เพราะโดนขัดใจ “แต่กับสาว ๆ ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอน่ะ ทำแบบนี้เหมาะสุดแล้ว” เขาใช้สายตาร้ายกาจของเขาจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า
“ให้ตายเถอะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งแลบลิ้นใส่หานซือฉีก่อนจะนึกอะไรได้แล้วถามออกไป “ว่าแต่คุณหานทำอะไรกับหลินเจี่ยวไปน่ะคะ?”
“ก็แค่ทำให้เธอคนนั้นหายไปจากเมืองนี้เฉย ๆ” เขาพูดสั้น ๆ แต่คำพูดของเขานั้นทำให้ร่างบางรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว
“ร-รึว่า คุณสั่งฆ่าหล่อนไปแล้วเหรอ!?” ใบหน้าสวยของฝูเจิ้งเจิ้งถอดสี “คุณจะทำถึงขั้นนั้นไม่ได้นะคะ! ต่อให้หลินเจี่ยวอาจจะเป็นคนจ้างคนมาวางเพลิงบ้านของฉันก็จริง แต่ฉันกับฝูซิงก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรกันทั้งคู่…ไม่สิ ไฟนั่นมาจากความซุ่มซ่ามของฉันเองแหละ… ไม่ ๆๆ ลืมเรื่องนั้นไปก่อน ไม่ว่ายังไงคุณหานก็ไม่สามารถสั่งฆ่าคนเหมือนผักปลาได้นะคะ! คุณกำลังทำผิดกฎหมาย! หากตำรวจสืบเจอล่ะก็ คุณหานจะติดคุกเอาได้นะคะ!”
ลืมตัวเผลอพูดเรื่องเมื่อวานไปแล้วแฮะ…
“ถ้าฉันต้องเข้าคุก เธอจะเป็นคนส่งข้าวให้ฉันหรือเปล่า?” เขายิ้มและมองท่าทีร้อนรนของหญิงสาวอย่างนึกตลกอยู่ในใจ
ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามยืนให้ดูมั่นคงและตอบไปด้วยเสียงหนักแน่น “ถ้าคุณหานรีบไปมอบตัวตอนนี้อาจจะได้ลดโทษนะคะ…”
ได้ยินเช่นนั้นเขาก็หลุดหัวเราะออกมา “ฮ่ะ ๆๆๆ ยอมรับความผิด จากนั้นก็เข้าคุกไปซะ ทำตัวสำนึกผิดให้ผู้คุมเห็น จากนั้นจะได้กลับบ้านทุก ๆ ปีใหม่ แบบนี้หรือเปล่า?”
“คุณหาน!” หญิงสาวกระทืบเท้า “คุณหานทำแบบนั้นไปได้ยังไง? นี่มันคืออาชญากรรมเลยนะคะ! ไม่คิดบ้างเหรอคะว่าครอบครัวของคุณหานจะกังวลใจขนาดไหนถ้ารู้ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลลงมือฆาตรกรรมคนอื่นแบบนี้น่ะ!?” ฝูเจิ้งเจิ้งตอนนี้โกรธคนตรงหน้าเธอเอามาก ๆ จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนชั่วร้ายแบบนี้สินะ แล้วเธอเป็นอะไรเนี่ยทำไมต้องร้อนใจไปกับเขาด้วยนะ
“แล้วเธอจะกังวลเรื่องของฉันหรือเปล่า?” หานซือฉีรีบคว้ามือของฝูเจิ้งเจิ้งไว้และถามต่อ
“ฉ-ฉัน…เอ่อ…” คำถามนี้ทำเอาฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มจะครุ่นคิดขึ้นมา
“เธอจะแจ้งความจับฉันไหม?” ชายหนุ่มยิงคำถามต่อ เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของเธออย่างต้องการคำตอบ
“ฉัน…” ทั้งสองคำถามนี้กดดันเธอไม่น้อย แล้วทำไมเธอถึงนึกลังเลนะ หน้าที่ของเราคือจับคนที่ทำผิดกฎหมาย เธอกัดฟันแน่นก่อนจะพูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันจะแจ้งความอย่างแน่นอน!”
“งั้นหลังจากฉันเข้าคุกแล้วเธอจะเอาข้าวไปส่งให้ฉันไหม?” คำตอบนั้นทำให้เขายิ้มออกมา
“ก็ได้ แค่นี้เอง!”
หานซือฉียิ้มกว้างก่อนจะดึงร่างบางของหญิงสาวเข้ามาโอบกอดเอาไว้ “ถ้างั้นฉันขอเลือกกินข้าวฝีมือเธอที่บ้านดีกว่า”
“ต-แต่…มันจะเป็นไปได้ยังไงกันน่ะ?” เธองุนงงกับการกระทำของคนตรงหน้า นี่เธออุตส่าห์จริงจังนะ หรือเขาหลอกปั่นหัวเธอ หญิงสาวได้แต่ฟึดฟัดกับตัวเอง
ลูกไก่ตัวนี้ติดกับเข้าให้แล้ว หานซือฉีแค่พูดหยอกฝูเจิ้งเจิ้งเฉย ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าผลลัพธ์นั้นจะทำให้เขาพึงพอใจมากขนาดนี้ “พวกนั้นหนีออกไปจากเมืองนี้เมื่อคืน หลัก ๆ ก็เพราะว่ากลัวเรื่องที่ตัวเองทำไว้จะแดงขึ้นมานั่นแหละ”
พวกเขาเหรอ?… หรือว่า!?
เมื่อวิเคราะห์คำพูดของหานซือฉีดี ๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็เข้าใจได้แล้วว่าทั้ง 4 คนนั้นไม่ว่าจะเป็น หลินเจี่ยว หลินหง รวมถึงสามีและลูกต่างพากันย้ายหนีออกไปจากเมืองเมื่อคืน
มิน่าล่ะ เมื่อเช้าเขาถึงพาฝูซิงไปส่งโรงเรียนได้…
“เรื่องนี้…หลินเจี่ยวเลือกเองจริง ๆ ใช่ไหมคะ?” ด้วยความที่ไม่คิดว่าเรื่องมันจะจบง่ายๆแบบนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งเลยยังคงลังเลอยู่นิดหน่อยว่าจะวางใจได้หรือเปล่า
“ถ้าไม่ไปด้วยตัวเองแล้วเธอคิดว่าจะไปเพราะอะไร? เพราะเธอเหรอ?”
“เป็นแบบนั้นได้ก็ดี…” เมื่อได้ยินแบบนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็เบาใจได้บ้าง
“แล้วเธอดีขึ้นแล้วหรือยัง”
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบผลักหานซือฉีออกไปก่อนที่มือของเขามันจะเริ่มอยู่ไม่สุขอีกครั้ง “ไม่ใช่ว่าคุณหานไปที่บริษัทแล้วเหรอคะ? ทำไมจู่ ๆ ถึงมาโผล่ที่บ้านได้?”
“ก็แค่เป็นห่วง แบบที่เขาว่ากันว่า คนป่วยน่ะต้องมีคนดูแล” เขาพูดพร้อมกับก้มหน้าเข้ามาใกล้เธอ
ถึงจะเริ่มชินกับการพูดจาแทะโลมของหานซือฉีมานักต่อนักแล้ว แต่พอเขาพูดอะไรแบบนี้ หัวใจเธอเป็นต้องสั่นไหวไปกับคำพูดเหล่านั้นตลอด ทว่าเมื่อนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่เฉินเฉี่ยวหลานพูด สีหน้าของหญิงสาวก็กลับมาอมทุกข์อีกครั้ง …คนคนนี้ไม่ใช่เหนียนซี่
หานซือฉีสามารถรับรู้ได้ว่าบางสิ่งบางอย่างผิดแปลกไปด้วยสัญชาตญาณของเขาเอง “ยังไม่หายดีหรือไง?”
โดนถามเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบส่ายหน้าอีกรอบ “ฉันแค่นึกถึงสมัยก่อนที่ฉันไม่ชอบกินยาแล้วดันพลาดท่าป่วยซะได้น่ะค่ะ ทุก ๆ ครั้งที่จำเป็นต้องกินยา แม่ของฉันจะคอยมาป้อนตลอด ส่วนพ่อก็จะคอยอยู่ข้าง ๆ และเตรียมของหวานไว้ในมือ พอฉันกินยาไปแล้วเขาก็จะป้อนของหวานฉันต่อทันที นอกจากนั้นแล้วทุกครั้งเวลาฉันป่วย พวกเขาก็จะพากันหยุดงานแล้วมาดูแลฉันที่บ้านจนกว่าจะหายดี…”
“ก็อย่างที่ฉันพูดนี่ เพราะเธอน่ะเป็นคนป่วย ฉันถึงต้องมาคอยดูแลจนกว่าเธอจะหายดีนั่นแหละ” คนตรงหน้าพูดพร้อมกับเอื้อมมือแตะที่หน้าผากเธอเบา ๆ
คำพูดที่ดูอบอุ่นนี้ของชายหนุ่มมันเข้าถึงจิตใจของฝูเจิ้งเจิ้งในตอนนี้ได้ง่าย ๆ เธอยังจำได้ดีว่าการเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนของตนนั้นทำให้ครอบครัวดูแลเธออย่างดี ไหนจะประคบประหงมเหมือนไข่ในหิน ไม่ว่าเธอจะอยากได้อะไร พวกเขาก็จะหามาให้ตลอด เรียกได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ฝูเจิ้งเจิ้งไม่รู้จักคำว่าเสียใจเลยจนกระทั่งเธอมีฝูซิงขึ้นมา…
แต่จะเรียกว่ามันเป็นความเสียใจก็ไม่ได้ แม้เธอจะต้องหนีออกมาจากถิ่นเดิมที่เคยอยู่ เธอก็เต็มใจ ไม่ได้จำใจทำแต่อย่างใด นั่นก็เพราะ ในใจฝูเจิ้งเจิ้งนั้นยังมีเหนียนซี่คอยเยียวยาอยู่
ช่างน่าเสียดายที่ชายตรงหน้านี้ไม่ใช่เขา ความเจ็บปวดเริ่มกัดกินหัวใจของเธอจนน้ำตามันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เธอ…ร้องไห้งั้นเหรอ? ใช่ที่เขาเรียกว่าอาการโฮมซิคหรือเปล่า? ถ้าคิดถึงมากก็กลับไปเยี่ยมบ้านบ้างก็ได้ ฉันเองก็ไม่ได้ใจยักษ์ใจมารขนาดไม่ให้เธอหยุดหรอกนะ” หานซือฉีพยายามพูดปลอบในแบบของเขาขณะพยายามเช็ดน้ำตาให้หญิงสาวไปด้วย
ทันทีที่ได้สติและรู้ตัวว่าไม่ควรทำตัวแบบนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบเช็ดน้ำตาของตนด้วยแขนเสื้อและพยายามหยุดสะอื้นพูดต่อให้ “พวกเขา…เสียชีวิตกันหมดแล้วน่ะค่ะ”
จริง ๆ นี่เป็นเพราะอีกฝ่ายจะถามนู่นถามนี่เธอมากกว่านี้ต่างหาก ดังนั้นต้องรีบชิงเปลี่ยนเรื่องก่อน “แล้วคุณหานล่ะคะ? ตอนเด็ก ๆ ป่วยแล้วเป็นยังไงบ้าง เล่าให้ฉันฟังได้หรือเปล่า?”
พ่อคะ แม่คะ หนูต้องขอโทษด้วยนะคะที่พูดแบบนั้นออกไป…
“ตอนเด็กงั้นเหรอ…” หานซือฉีทวนคำถามนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ฉันน่ะแข็งแรงจะตายไป ไม่เหมือนเธอหรอกนะ”
“หา คุณหานไม่เคยป่วยเลยงั้นเหรอ? พูดจริงเหรอคะเนี่ย? นี่คุณหานถูกสร้างมาจากเหล็กหรือไงคะ?” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะประชดประชันคนตรงหน้า
“ใช่แล้ว ฉันมีส่วนประกอบหลักเป็นเหล็ก เพราะงั้นต่อไปนี้เรียกฉันว่าไอร่อนแxนก็แล้วกัน ฮ่า ๆๆ”
“ฉันคิดว่าคุณหานจะบอกว่าตัวเองเป็นหงอคงซะอีก…” เธอพูดแหย่
“หงอคงมันเกิดจากหินที่แตก ส่วนฉันน่ะเกิดจากท้องแม่… แต่ช่วยอย่าเอาฉันไปรวมกับลิงได้ไหม” เขาทำหน้าบูดบึ้งใส่เธอที่บังอาจว่าเขาเป็นลิง
“ฮ่ะ ๆๆ โอเค ๆ คุณหานไม่เป็นลิงก็ได้ เพราะคุณหานซนกว่าลิงเยอะเลย ฉันเดาเลยว่าตอนเด็ก ๆ คุณหานคงจะซ่าน่าดู เป็นเจ้าตัวแสบที่คุณแม่ต้องคอยเป็นห่วงใช่หรือเปล่านะ? เล่าเรื่องตอนเด็ก ๆ หรือไม่ก็ตอนเรียนให้ฉันฟังบ้างได้ไหมคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งใช้ลูกอ้อนที่เป็นไม้เด็ดของเธอ และตอนนี้เธอก็เริ่มอยากรู้จักคนคนนี้ให้มากขึ้นเช่นกัน
“ฉันลืมเรื่องตอนนั้นไปหมดแล้ว” หานซือฉีเหยียดแขนก่อนจะยืนขึ้น
“ลืมเหรอคะ? นี่ลืมได้ยังไงน่ะ? ขนาดฉันยังจำได้ยันวีรกรรมตอนฉัน 3 ขวบเลยนะ”
มือหนาเคลื่อนมาเคาะหน้าผากหญิงสาวเบา ๆ “เพราะเธอเอาแต่จำเรื่องในอดีตเยอะไปหมดแบบนี้ไงสมองถึงไม่เหลือที่ให้จำเรื่องปัจจุบันน่ะ เอาล่ะ ในเมื่อเธอดีขึ้นแล้วฉันก็จะกลับไปทำงานต่อ พี่ซือเซียนกำลังรอให้ฉันกลับไปรายงานเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังอยู่”
“อ๋อ โอเคค่ะ…! นี่คุณหานหลอกด่าฉันเหรอคะ!?”
ใบหน้าคมเข้มนั้นผลิยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเหลือบมองหญิงสาวด้วยหางตาและเตรียมจะเดินออกไป ทว่าตอนนั้นเอง ฝูเจิ้งเจิ้งก็คว้าแขนเขาเอาไว้อีกครั้ง “อ-เอ่อ…ฉันอยากจะขอยืมเงินคุณหานหน่อยน่ะค่ะ… ฉัน…ฉันอยากจะไปซื้อของมาเตรียมทำอาหารให้ฝูซิง…”
“เดี๋ยวฉันพาฝูซิงไปซื้อตอนไปรับเขากลับจากโรงเรียนเอง” เขาบอกกับเธอ เพราะตอนนี้ต้องการให้แม่ตัวแสบพักผ่อนให้มากที่สุด
“ไม่ได้นะคะ! ห้ามซื้อของตามใจฝูซิงเด็ดขาด!” เมื่อเห็นว่าหานซือฉีดูท่าจะไม่ให้แน่ ๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็งัดเอาประโยคเด็ดเสร็จทุกรายออกมาใช้พร้อมแสร้งทำเป็นเขิน “ม-มันมีของจำเป็นบางอย่างของผู้หญิงที่ต้องซื้ออยู่ด้วย…”
คราวนี้หานซือฉีไม่ได้โต้แย้งอะไรเพิ่ม เขาหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาและหยิบเงินที่มีติดกระเป๋าอยู่น้อยนิดนั้นทั้งหมดให้เธอไป “ฉันไม่ค่อยชอบพกเงินสดติดตัว ไว้เดี๋ยวจะเอามาเพิ่มให้ทีหลังก็แล้วกัน”
“ข-ขอบคุณค่า…”
เมื่อเห็นว่าหานซือฉีไปแล้ว หญิงสาวก็ก้มมองเงินในมือสลับกับห้องของหานซือฉีที่เธอยังยืนอยู่ด้านใน บทสนทนาที่ได้คุยกับอีกฝ่ายก่อนหน้านี้หวนกลับมาในหัวอีกครั้ง และฝูเจิ้งเจิ้งก็จับใจความสำคัญบางอย่างได้
เขาบอกว่า เขาจำเรื่องทุกอย่างตอนเด็กไม่ได้เลยงั้นเหรอ…เป็นไปได้ไหมนะว่าเขาจะเคยความจำเสื่อม?
————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
อะไรกันครับเนี่ย คู่รักข้าวใหม่ปลามันเหรอ?
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-