ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 23 เมื่อคืนคุณไปไหนมา
บทที่ 23 เมื่อคืนคุณไปไหนมา?
ถ้าหากหานซือฉีเคยเสียความทรงจำจริง ๆ งั้นเรื่องที่ไปเรียนอยู่ต่างประเทศตามที่เฉินเฉี่ยวหลานบอกนั่นก็เป็นแบบในนิยายเหรอ? สร้างความทรงจำปลอมขึ้นมาเพื่อให้ตัวเขาไม่รู้สึกว่าวัยเด็กมันว่างเปล่า แบบนี้อ่ะนะ?
จะว่าไปแล้ว พอมานึกย้อนดูดี ๆ ตอนที่รู้จักเหนียนซี่ เขาก็บอกเธอว่าโดนคุณน้ากักขังไว้ในห้องกว่า 10 ปีเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะมีความรู้มากมายจากการอ่านหนังสือ แต่ทักษะการเข้าสังคมของเขาก็ค่อนข้างต่ำเอามาก ๆ
แถมเหนียนซี่ยังเคยพูดอีกว่า ตัวเขาต้องเรียนรู้อะไรอีกหลายอย่างจากพี่ชาย เพื่อที่สักวันหนึ่งจะได้กลายเป็นสุภาพบุรุษให้ได้อย่างคนคนนั้น
แล้วถ้านี่เป็นเรื่องจริง นั่นหมายความว่า เพียงแค่ 6 ปี จากเด็กที่เก็บตัวในห้องมาตลอด 10 ปี สามารถเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้เลยเหรอ? กลายเป็นคนที่ยืนหนึ่งไม่พึ่งพาใครในเว่ยหานไปแล้ว…
ฝูเจิ้งเจิ้งส่ายหน้าเพื่อหยุดความคิดฟุ้งซ่านไว้ก่อน เธอตระหนักได้ว่าหานซือฉีน่าจะออกไปไกลแล้ว เห็นทีจะต้องรีบเอาเงินนี่ไปสร้างโอกาสเสียที
หญิงสาวรีบออกจากเขตคฤหาสน์หลังโตและเดินมาตามถนนเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ไกลจากเขตคฤหาสน์มากนัก
ไม่นานนักหลังจากที่ฝูเจิ้งเจิ้งเข้าไปภายในร้านนั้นแล้ว หยางเต๋าก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยหน้าตาตื่น เขาเข้ามายืนตรงหน้าหญิงสาวและคว้ามือนุ่มของเธอเอาไว้ “เจิ้งเจิ้ง เมื่อคืนเธอไปไหนมาน่ะ? ฉันไปหาเธอซะทั่วเลย แล้วก็เรื่องไฟไหม้นั่นอีก ต้องไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดาแน่ ๆ ใช่ไหม? เพราะคนอย่างเธอไม่น่าจะสะเพร่ากับเรื่องอะไรแบบนี้อยู่แล้ว”
“รุ่นพี่นั่งลงก่อนเถอะค่ะ ส่วนชานี่ก็อร่อยดี ดื่มแล้วค่อย ๆ พูดคุยกันก็ได้” ฝูเจิ้งเจิ้งชักมือออกเล็กน้อยและส่งชาให้อีกฝ่ายถือไว้แทน จากนั้นเธอก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้หยางเต๋าฟังตั้งแต่เรื่องที่เธอมีปัญหากับสองพี่น้องหลิน จนถึงเรื่องที่ครอบครัวของสองพี่น้องหลินย้ายออกจากเมือง B ไปอย่างกะทันหันเมื่อคืนหลังจากบ้านเช่าของเธอถูกไฟไหม้
หลังจากที่เริ่มหายเหนื่อยแล้ว หยางเต๋าก็นั่งฟังเรื่องที่ฝูเจิ้งเจิ้งพูดอย่างตั้งอกตั้งใจ มันใช้เวลานานพอสมควรแต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายไม่ต้องถามเพิ่ม “เธอทำถูกแล้วที่ไม่ได้แจ้งตำรวจ แล้วฉันเองก็ไม่ได้คิดว่านี่เป็นฝีมือหลินเจี่ยวหรอก แต่ว่าการที่คนพวกนี้หนีออกจากเมืองไปมันก็เลยกลายเป็นข้อมัดตัวว่าอาจจะเป็นฝีมือของพวกเขาก็ได้”
“เป็นไปได้หรือเปล่าคะว่าเป็นการยืมมือ? แบบว่าแสร้งทำเป็นว่าพวกหลินเจี่ยวเป็นคนทำ บางทีอาจจะเป็นศัตรูของหลินเจี่ยวอยู่แล้ว หรือไม่ก็อาจจะเป็นของฉัน…รึเปล่า?” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดทิ้งท้ายด้วยสีหน้างุนงง
“ฉันหวังว่าเรื่องนี้มันจะเป็นฝีมือของหลินเจี่ยวจริง ๆ อย่างน้อย ๆ เราจะได้รู้ว่าต้องระวังตัวจากใคร แต่ถ้ามันเกิดเป็นฝีมือของคนอื่นที่เอาเรื่องของหลินเจี่ยวมาบังหน้าอย่างที่เราสงสัยกัน เกรงว่ามันจะยากที่จะระวังตัวในครั้งต่อ ๆ ไปเนี่ยสิ ฉันกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของเธอจริง ๆ นะเจิ้งเจิ้ง เพราะงั้นตอนนี้เธอกับฝูซิงรีบ ๆ ย้ายกลับไปเมือง A จะดีกว่า แล้วฉันจะติดต่อให้คนอื่นมาทำหน้าที่นี้แทนเธออีกที”
“ไม่! ฉันจะไม่ยอมล้มเลิกงานนี้แน่ ๆ ค่ะ! รุ่นพี่หยาง ฉันรู้นะคะว่ารุ่นพี่กังวลเรื่องความปลอดภัยของฉัน แต่ตอนนี้ทุก ๆ อย่างมันก็ลงตัวแล้วนี่ รุ่นพี่เองก็เห็น” ฝูเจิ้งเจิ้งค้านหัวชนฝา
“เจิ้งเจิ้ง…จริง ๆ แล้ว…” หยางเต๋าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งคาดหวังกับคำตอบของเขา สุดท้ายเขาก็ค่อย ๆ พูดออกไป “ฉันบอกผู้กำกับไปว่าเจอเบาะแสของพนักงานภายในบริษัทเว่ยหานที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาครั้งใหญ่ เพื่อให้เขาย้ายเธอมาจากเมือง A เพื่อมาทำคดีที่นี่ แต่จริง ๆ แล้วนั่นมันเป็นความเห็นแก่ตัวของฉันเอง…ฉันไม่มีเบาะแสอะไรทั้งนั้น ไม่รู้ด้วยว่าบริษัทเว่ยหานมีความเกี่ยวพันยังไงกับเรื่องนี้หรือเปล่า…”
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็ตาเบิกกว้าง “ว่าไงนะคะ! นี่รุ่นพี่…”
ด้วยความที่เกรงว่าจะไม่มีโอกาสพูดต่อ หยางเต๋าจึงรีบขอโทษขอโพยฝูเจิ้งเจิ้งเสียก่อน “เจิ้งเจิ้ง ฉันขอโทษ ฉันก็แค่อยากให้เธอมาอยู่ใกล้ ๆ ฉัน ฉันแค่อยากได้โอกาสบ้าง… เพราะงั้น เดี๋ยวฉันจะรีบบอกความจริงกับผู้กำกับเมื่อกลับไปแล้ว ยังไงซะเมือง A ก็เหมาะกับซิงซิงมากกว่าอยู่แล้ว เธอเองก็จะได้ไม่ต้องมาเสี่ยงอันตรายในเมืองนี้อีก”
จริง ๆ แล้วฉันไม่อยากให้เธอได้อยู่ใกล้กับหานซือฉีไปมากกว่านี้แล้วต่างหาก หยางเต๋าคิดในใจ
ฝูเจิ้งเจิ้งเอนตัวพิงเก้าอี้ตนเองโดยที่ไม่พูดอะไรเลยอยู่พักหนึ่ง
“เจิ้งเจิ้ง…”
“รุ่นพี่คะ” เธอรีบชิงตัดบทอีกฝ่ายไว้ก่อน “ตอนนี้หานซือฉีกับหลี่เสี่ยวเมิ่งที่เป็นลูกสาวของพ่อค้ายารายใหญ่ หลี่หมิง กำลังเข้าหากันด้วยเหตุผลบางอย่าง รุ่นพี่ไม่คิดหรือว่านี่เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสนใจ? ยังไงก็มีแค่รุ่นพี่กับฉันเท่านั้นที่รู้เรื่องตัวตนของหลี่เสี่ยวเมิ่ง แบบนี้มันถือว่าบังเอิญเข้าล็อกหรือเปล่า?”
“นั่นก็ไม่ได้แปลกอะไรนี่นา จริง ๆ การที่จะรู้ถึงตัวตนของเธอก็มีอีกหลายช่องทางที่ทำได้เหมือนกัน อีกอย่างฉันยังไม่เจออะไรผิดปกติกับเธอคนนี้เลยด้วย เธออาจจะเป็นแค่ครูโรงเรียนอนุบาลธรรมดาจริง ๆ ก็ได้” หยางเต๋าเองก็พยายามยกเหตุผลมาค้านเธอเหมือนกัน
“เรื่องแบบนี้จะด่วนสรุปไปไม่ได้หรอกนะคะ ยังไงตอนนี้ฉันก็อยู่ที่บ้านของหานซือฉี เดี๋ยวฉันจะคอยหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาเรื่อย ๆ ส่วนรุ่นพี่ก็เลิกห้ามฉันไม่ให้ทำคดีต่อได้แล้ว กว่าจะได้มาซึ่งเบาะแสแต่ละอย่างมันหนักหนามาก ๆ เพราะงั้นฉันจะไม่ยอมแพ้ต่อเรื่องนี้ง่าย ๆ แน่ แล้วก็ฉันจะระวังตัวเองให้ดี ส่วนเรื่องไฟไหม้นั่น…อุบัติเหตุแหละค่ะ”
น้ำเสียงของฝูเจิ้งเจิ้งเหมือนจะกดดันให้หยางเต๋าไม่มีทางเลือกนอกเสียจากถอนหายใจเบา ๆ “โอเค ๆ ถ้างั้นก็ดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะไปสืบเรื่องของหลินเจี่ยวไว้ให้”
หญิงสาวพยักหน้าก่อนจะกล่าวคำลาแล้วเดินออกไป ทิ้งให้หยางเต๋ามองเธอด้วยสายตาห่วงใยและห่วงหาจนกระทั่งร่างของเธอหายลับตา ฝูเจิ้งเจิ้งรีบผลุบเข้าไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ ๆ และซื้อขนมขบเคี้ยวนิดหน่อยติดไม้ติดมือก่อนจะกลับไปยังคฤหาสน์ของหานซือฉี
เมื่อช่วงหัวค่ำมาถึง หานซือฉีก็กลับมาพร้อมฝูซิงที่ดูพลังจะยังเต็มเปี่ยมอยู่ หลังจากที่รับประทานอาหารเย็นกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็พาลูกชายกลับไปยังห้องของตนเพื่อทำการบ้าน
ทันทีที่ทำการบ้านเสร็จ เจ้าลิงน้อยก็กระโจนเข้าใส่ฝูเจิ้งเจิ้งและขอให้เธอเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังตามปกติ มันเป็นอะไรที่ทำให้เธอมีความสุขอยู่แล้ว หญิงสาวเตรียมเรื่องตลกไว้มากมายตั้งแต่รู้ว่าลูกชายของตนชอบ ซึ่งครั้งนี้เป็นคราวของเรื่องซน ๆ ในวัยเด็กของตนเอง ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ฝูซิงหัวเราะไม่หยุด จนเจ้าตัวเล็กท้องแข็งอยู่บนเตียง
“ซิงซิง ลูกรู้หรือเปล่าว่าจริง ๆ แล้ววัยเด็กของทุกคนมักจะมีเรื่องสนุกแบบนี้เกิดขึ้นทุกคนนั่นแหละ ถ้าลูกไม่เชื่อนะ ลูกไปถามป๊ะป๋าลูกเลยก็ได้ เผื่อลูกจะได้ฟังเรื่องสนุก ๆ จากป๊ะป๋าเพิ่ม”
“ว้าว น่าสนใจจังเลย!” สิ้นเสียงนั้นฝูซิงก็วิ่งพรวดไปหาหานซือฉีด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทันที
ฝูเจิ้งเจิ้งจัดชุดของตนให้เรียบร้อยก่อนจะเก็บของในห้องแล้วเดินตามไปยังห้องของหานซือฉีทีหลัง เมื่อเธอเปิดประตูเข้าไป เธอก็เห็นว่าทั้งสองคนนั้นดูเหมือนกับพ่อลูกกันจริง ๆ ไม่มีผิด พวกเขากำลังนั่งหัวเราะด้วยกันอยู่บนเตียงราวกับรู้จักกันมานานเสียอย่างนั้นแหละ
ฝูซิงพูดขึ้นขณะที่กระโดดไปนั่งอยู่บนอกหานซือฉี “ป๊ะป๋า ฝูซิงเล่าเรื่องตลกของหม่ามี๊ไปแล้ว ป๊ะป๋าก็เล่าเรื่องตลก ๆ ตอนป๊ะป๋าเป็นเด็กให้ฟังบ้างสิ”
“ป๊ะป๋าฉลาดมาตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะงั้นเลยไม่มีเรื่องตลกไว้เล่าให้ซิงซิงฟังน่ะ แย่จังเลยเนอะ” ชายหนุ่มพูดจบก็หัวเราะกับเจ้าตัวน้อยอย่างสนุกสนานอีกครั้ง
“คุณหานคะ นี่คุณหานหลอกด่าว่าฉันโง่ทางอ้อมอีกแล้วเหรอ! เมื่อตอนกลางวันก็รอบนึงแล้ว นี่ยังไม่พ้นวันก็เอาอีก! เห็นทีฉันจะต้องลงโทษคุณบ้างซะแล้ว!” หญิงสาวที่เผอิญได้ยินประโยคนั้นพอดีก็โกรธและยืนเท้าเอวพูดอยู่ที่หน้าประตูนั้น
“ไม่ได้บอกว่าเธอโง่สักหน่อย เธอน่ะฉลาดกว่าซิงซิงอยู่แล้ว” ชายหนุ่มพูดพร้อมขยิบตา
ได้ยินเช่นนั้นฝูซิงก็รีบปกป้องสิทธิ์ของตนเองทันที “ป๊ะป๋า ฝูซิงขอฉลาดกว่าหม่ามี๊ โอเคนะ?”
“ฝูซิง!” ฝูเจิ้งเจิ้งหันไปเอ็ดเจ้าตัวแสบของเธอก่อนจะพูดต่อ “อ๋อ คุณหานคะ คุณพูดเองสินะคะว่าคุณฉลาดมาตั้งแต่เด็ก แต่ทั้ง ๆ ที่ฉลาดขนาดนั้นแต่ก็จำเรื่องในวัยเด็กไม่ได้งั้นเหรอ? ย้อนแย้งจังเลยน้า~”
“หม่ามี๊ โดนป๊ะป๋าหลอกหรือเปล่า ขนาดฝูซิงยังจำเรื่องเมื่อตอนสองขวบได้เลย ป๊ะป๋า บอกหม่ามี๊เลยว่าภาพที่ถ่ายกับคุณย่านี่ไปถ่ายกันที่ไหน” เนื่องจากเป็นเด็กที่มีไหวพริบดี ฝูซิงจึงชี้ไปถามถึงที่มาของรูปที่อยู่ในกรอบเล็ก ๆ ตรงหน้าหานซือฉีอย่างรวดเร็ว
ภาพที่อยู่ในกรอบเล็ก ๆ นั้นคือภาพของแม่และลูกชายคู่หนึ่ง และการที่ภาพนี้มาอยู่ในห้องนี้ นั่นก็หมายถึง เด็กในภาพก็คือหานซือฉีนั่นแหละ มันเป็นช่วงที่เขาอายุราว ๆ 7-8 ขวบ เห็นได้ชัดเลยว่าหน้าตาของเขากับฝูซิงนั้นเหมือนกันเอามาก ๆ ส่วนหญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแม่ของเขานั่นเอง สองแม่ลูกคู่นี้กำลังถ่ายรูปกันอยู่โดนมีภาพพื้นหลังเป็นท้องทะเลสีฟ้าสวย
หานซือฉีเหลือบมองภาพนั้นอย่างง่าย ๆ ก่อนจะพูดขึ้นมา “ป๊ะป๋าถ่ายมาจากตอนไปต่างประเทศสมัยเด็ก ๆ น่ะ”
ฝูเจิ้งเจิ้งขมวดคิ้วในทันที เพราะเมื่อตอนบ่าย เธอเพิ่งจะคุยกับเฉินเฉี่ยวหลานที่มาทำความสะอาดห้องของหานซือฉีไปว่าภาพนี้ถ่ายมาจากที่ไหน และเจ้าตัวก็บอกเองว่าภาพนี้น่ะถูกถ่ายมาจากริมหาดสักแห่งในประเทศจีนนี่เอง!
หรือว่าเรื่องที่เธอเดาไว้มันจะเป็นเรื่องจริงนะ?
ขณะที่กำลังตกใจอยู่นั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกได้ว่าลูกชายตัวน้อยของเธอมาสะกิดจึงได้สติขึ้นมา “หม่ามี๊ ป๊ะป๋าบอกว่าหม่ามี๊ยังไม่หายดี รีบไปนอนพักแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ป๊ะป๋าจะพาหม่ามี๊ไปส่งฝูซิงที่โรงเรียนด้วย”
“อ-อืม ไปกันเถอะ” แม้จะยังไม่รู้ว่าตัวเองยืนนิ่งไปนานขนาดไหนแต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบพยักหน้าและพาฝูซิงกลับห้องไป
แม้จะกลับห้องมาและทิ้งตัวลงนอนบนเตียงตั้งนานแล้ว แต่หญิงสาวก็ยังตาสว่างอยู่ และแล้วเธอก็คิดอะไรบางอย่างออก ฝูเจิ้งเจิ้งรีบหันไปปลุกลูกชายตัวน้อยที่ผล็อยหลับไปแล้ว “ซิงซิง หม่ามี๊กำลังศึกษาศาสตร์การดูดวงจากตำแหน่งของไฝอยู่ ไหน ขอหม่ามี๊ดูไฝของลูกหน่อยซิ”
“หาว~~ ไม่ใช่ว่าหม่ามี๊รู้อยู่แล้วเหรอว่าไฝของฝูซิงอยู่ตรงไหน?” การโดนปลุกหลังจากที่กำลังหลับสบายเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมณ์เลย เพราะงั้นฝูซิงจึงดูจะงัวเงียสุด ๆ
“ไฝที่เท้าหมายถึงจะได้มีชีวิตสุขสบาย ไม่ต้องเดินให้เมื่อย! อะฮ่า! แบบนี้แสดงว่าลูกชายของหม่ามี๊จะได้เป็นคนมีชื่อเสียง เป็นเจ้าคนนายคน! แต่ว่านะ นั่นก็ไม่ใช่ตำแหน่งไฝที่ดีที่สุดหรอก เพราะจุดที่ดีที่สุดน่ะ มันอยู่ตรงนี้” ฝูเจิ้งเจิ้งได้โอกาสชี้นิ้วไปที่ต้นขาของตนเอง “ลูกเคยเห็นใครมีไฝตรงนี้บ้างหรือเปล่า?”
“หม่ามี๊ คุณครูบอกฝูซิงไว้ว่า ถ้าไปแอบดูใครอาบน้ำหรือฉี่จะเป็นตากุ้งยิงนะ”
“หม่ามี๊ไม่ได้ให้ลูกไปแอบดูคนอื่นฉี่! แบบหมายถึงเผลอไปเห็น อย่างเช่น ลูกอาบน้ำหรือฉี่อยู่ข้าง ๆ ใคร แล้วบังเอิญไปเห็นพอดี อ๊ะ จริงสิ เมื่อวานลูกกับป๊ะป๋าก็อาบน้ำด้วยกันไม่ใช่เหรอ? เห็นอะไรบ้างหรือเปล่า?”
“หม่ามี๊ ป๊ะป๋าไม่มีไฝตรงนั้นหรอก ฝูซิงง่วงแล้ว จะนอนต่อแล้ว แงงงง” เจ้าตัวน้อยไม่สามารถถ่างตาตื่นได้จริง ๆ เขาดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหน้าแล้วเตรียมจะหลับได้ทุกเมื่อ
ฝูเจิ้งเจิ้งยังไม่อยากจะยอมรับในสิ่งที่ฝูซิงพูด ดังนั้นเธอจึงพยายามยื้อให้เขาตื่นก่อน “ลูกสังเกตไม่ดีหรือเปล่า?”
“ฝูซิงดูดีแล้ว! ฝูซิงมั่นใจ! และฝูซิงจะนอนแล้ว!” ฝูซิงไม่ตอบเพิ่มและชิงหลับไปทันที
นี่พูดจริงเหรอเนี่ย…
หลังจากที่ตัดสินใจปล่อยฝูซิงไปนอน ฝูเจิ้งเจิ้งก็คว้าเสื้อคลุมมาสวมก่อนจะลุกไปยืนมองวิวนอกหน้าต่าง
ทันใดนั้น แสงสว่างเจิดจ้าก็แยงเข้าตาเธอจนต้องหรี่ตาลง นี่ไม่ใช่แสงจันทร์ แต่มันเป็นแสงจากรถของหานซือฉีที่เพิ่งจะเร่งเครื่องขับออกไปต่อหน้าต่อตาเธอต่างหาก!
ดึกขนาดนี้ยังจะไปไหนของเขาอีกนะ?
ในใจเธออยากจะตามเขาไปด้วย แต่พอคิดถึงขากลับแล้วมันคงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เหมือนตอนอยู่บ้านเก่าแน่ ๆ
หรือว่าจะไปคุยธุรกิจกับเพื่อนคนนั้นนะ? ที่ว่าชื่อฟู่เหวินไห่นั่น
อ๊ะ…หรือว่าจะไปเดตกับสาว ๆ? ใครอีกน่ะ หลี่เสี่ยวเมิ่งเหรอ?
ให้ตายเถอะ ทำไมฉันต้องมาครุ่นคิดเรื่องของหานซือฉีแบบนี้ด้วยนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้ค่อยถามก็ได้ คนแบบนั้นน่ะคงไม่ได้ไปทำอะไรผิดอยู่แล้ว…ล่ะมั้ง
——————————————————–
แสงอาทิตย์แรงกล้าสาดส่องเข้ามาผ่านทางช่องหน้าต่างเพื่อมอบความอบอุ่นยามเช้าให้แก่สรรพสิ่งที่อยู่ในห้อง อนิจจา ในห้องไม่มีใครอยู่แล้ว
เช้านี้ฝูเจิ้งเจิ้งตื่นแต่เช้าด้วยสีหน้าสดใสเพราะอาการป่วยดีขึ้นแล้ว เธอเดินจูงมือฝูซิงลงบันไดมาโดยมีหานซือฉีนั่งจิบกาแฟรออยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว เด็กน้อยที่เห็นป๊ะป๋านั่งรออยู่เช่นนั้นก็รีบผละตัวจากผู้เป็นแม่และกระโดดออกไปหาในทันที
หลังจากที่รับประทานอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งและฝูซิงก็ขึ้นไปบนรถของหานซือฉีเพื่อไปโรงเรียนอนุบาลด้วยกัน
เมื่อถึงโรงเรียนและลงรถไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เห็นว่าหลี่เสี่ยวเมิ่งกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนเพื่อคอยต้อนรับเหล่าเด็ก ๆ ที่มาเรียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มตามปกติ
“อรุณสวัสดิ์จ้ะซิงซิง อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณแม่น้องซิงซิง” เธอกล่าวทักทายทั้ง 3 ที่เดินมาด้วยกันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันด้วยรอยยิ้มที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ฝูซิงและหานซือฉีจุ๊บล่ำลากัน มันทำให้บริเวณนี้ไม่มี ‘ใครอื่น’ อีก หลี่เสี่ยวเมิ่งไม่รอช้าที่จะเขยิบเข้าใกล้หานซือฉีและกระซิบกระซาบ “คุณซือฉี เมื่อคืนจะกลับทำไมไม่บอกกันหน่อยล่ะคะ?”
“ฉันคิดว่าเธอน่าจะเหนื่อยมากก็เลยไม่อยากปลุกน่ะ” หานซือฉียังคงเอกลักษณ์การพูดหยอกไว้ดังเดิม และเขาเองก็ทำเหมือนที่นี่ไม่มีใครอยู่จริง ๆ
ลืมฉันกันหรือไง…
ใช่แล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งยังอยู่ แต่ในเมื่อพวกเขาทำเหมือนเธอไม่มีตัวตนอยู่ เธอก็จะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและเดินออกไป
“ขึ้นรถ” ชายหนุ่มที่เห็นแล้วว่าเธอกำลังเดินไปทางที่ทำงาน เขาก็รีบขับรถเข้ามาดักเธอไว้และเรียกขึ้นรถ
“ขอบคุณในความหวังดีมาก ๆ เลยค่ะ แต่ฉันเป็นแค่พนักงานธรรมดา หากติดรถของรองประธานบริษัทไปเห็นทีคงจะไม่ถูกไม่ควร เพราะงั้นฉันจะเดินไปเอง บริษัทก็ไม่ได้อยู่ห่างจากที่นี่นักด้วย” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดด้วยท่าทีที่แสดงออกอย่างชัดเจนโดยไม่ปิดบังว่าเธอแอบโกรธเขาอยู่
“เธอหึงฉันอีกแล้ว” ชายหนุ่มยิ้มชอบใจกับท่าทีของเธอ
“ทำไมฉันต้องหึงกันคะ! ฉันก็แค่รู้สึกเสียใจกับอาจารย์หลี่ เธอคนนั้นดูเป็นคนที่ดีจะตายไป” เธอยังคงเถียงข้าง ๆ คู ๆ
“เธอกำลังจะบอกว่าหากมีใครสักคนที่จะมากลายเป็นหวานใจของฉันในอนาคต หลี่เสี่ยวเมิ่งจะเสียใจหรือไง?”
“คุณหานจะเสียใจแทนเธอหรือไงคะ?”
“แล้วถ้าฉันมีหวานใจ เธอจะเสียใจหรือเปล่า?” เขาขับรถตามช้า ๆ จนกระทั่งตามเธอทัน
“ใช่—-อ๊ะ” กว่าหญิงสาวจะรู้ตัวว่าโดนหานซือฉีหลอกถามให้เธอเผยความในใจออกมา มันก็สายไปแล้ว ใบหน้าสวยนั้นเขินแก้มแดงพร้อมกับบุ้ยปากอย่างไม่พอใจ
ร-ร้ายกาจ! คนนี้ร้ายกาจ! ต้องรีบหนี!
ทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายรีบเร่งฝีเท้าหนี หานซือฉีก็บีบแตรเรียกเธออยู่อีกหลายครั้ง น่าแปลกที่เวลาได้เห็นผู้หญิงคนนี้โกรธกลับทำให้เขารู้สึกอธิบายไม่ถูกขึ้นมาในใจ และความรู้สึกนี้มันทำให้เขาตัดสินใจพูดอะไรออกไปบางอย่าง “ตั้งแต่ที่ฉันได้รับอุบัติเหตุบนท้องถนนเมื่อหลายปีก่อน หัวของฉันก็มักจะปวดขึ้นมาเป็นระยะ ๆ เพราะงั้นฉันบอกได้เลยว่าหลี่เสี่ยวเมิ่งน่ะ นวดเก่งมากเลยนะ”
“อุบัติเหตุทางท้องถนน? กี่ปีมาแล้วนะคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบหันไปถามในทันที
——————————————————————–
คุยกับผู้แปล
ทีงี้ล่ะไวเชียว! พูดเหมือนจะหนีเค้าแต่สุดท้ายก็อดคิดเรื่องของเค้าไม่ได้!
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-