ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 24 นี่นายตกหลุมรักเธอจริง ๆ งั้นเหรอ
บทที่ 24 นี่นายตกหลุมรักเธอจริง ๆ งั้นเหรอ?
“นี่เธอเป็นห่วงเรื่องที่ฉันเคยประสบอุบัติเหตุหรือห่วงความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับหลี่เสี่ยวเมิ่งกันแน่น่ะ?” หานซือฉีหยุดรถและหันหน้าไปมองฝูเจิ้งเจิ้งด้วยรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้า
ทันทีที่ตระหนักได้ว่าตนเร่งเร้าถามมากไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบข่มความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้อย่างรวดเร็ว เธอปฏิเสธเรื่องที่เธอสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเขาและหลี่เสี่ยวเมิ่ง รวมถึงปฏิเสธที่จะขึ้นรถด้วย
ชายหนุ่มไม่หยุดอยู่เฉย ๆ เมื่อเห็นดังนั้น เขายังคงขับตามอย่างช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ พลางพูดกับอีกฝ่ายไปตลอดทาง “ฉันจำได้ว่าไม่เคยจ้างพนักงานที่ไม่ฟังคำสั่งของหัวหน้ารวมถึงทำตัวดื้อด้านขณะที่อยู่ในช่วงควบคุมพฤติกรรมหรอกนะ”
นี่มันบังคับกันชัด ๆ!
แม้จะรู้สึกหงุดหงิดแต่ท้ายสุดแล้วฝูเจิ้งเจิ้งก็ยอมขึ้นรถไปแต่โดยดี เพราะถ้าเกิดหานซือฉีไม่ได้พูดเล่นและไล่เธอออกขึ้นมาจริง ๆ เรื่องนี้คงจบไม่สวยแน่ ยังไงเธอก็จะเสียงานนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด!
หากให้พูดถึงเหตุผลตามจริง การที่ฝูเจิ้งเจิ้งไม่อยากจะขึ้นรถไปกับหานซือฉีที่เป็นรองประธานบริษัทนั้นไม่ใช่เพราะเธอไม่มีความสุขหรอก แต่เป็นเพราะเธอไม่อยากจะกลายเป็นขี้ปากของเพื่อนร่วมงานถ้าหากคนพวกนี้เห็นว่าตนมาทำงานและกลับบ้านด้วยกันกับหานซือฉีน่ะสิ มันจะพลอยทำให้อึดอัดตลอดเวลาทำงานเสียเปล่า ๆ
ระหว่างทางที่นั่งอยู่บนรถ แม้หญิงสาวจะยังคงโกรธหานซือฉีอยู่บ้าง แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะถามเรื่องเมื่อครู่กับหานซือฉีที่กำลังขับรถอย่าง ‘จริงจัง’ “เอ่อ คุณหานคะ อุบัติเหตุที่คุณหานเคยประสบนี่ ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ? แล้วมันเกิดเหตุการณ์นั้นได้ยังไง?”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมตอบ บางทีอาจจะเพราะไม่ได้ยิน ฝูเจิ้งเจิ้งเลยตัดสินใจทวนคำถามอีกครั้ง แต่มันก็ยังเหมือนเดิม หรือว่าคน ๆ นี้จะลืมเรื่องที่พูดไปแล้วนะ? งั้นคงต้องเปลี่ยนคำถาม “คุณหลี่…”
ทันทีทันใด ครั้งนี้หานซือฉีรีบหยุดเธอเอาไว้ก่อน “คนขับรถต้องใช้สมาธินะ เธอจะมารบกวนสมาธิแบบนี้ไม่ได้ รู้ไหม?”
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็ล้มเลิกความตั้งใจ และนี่ทำให้เธอค้นพบว่า หานซือฉีเก่งในเรื่องกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผู้อื่นไม่น้อยเลย
ได้ ในเมื่อนายไม่ยอมบอกฉัน ฉันจะไปถามเอาจากป้าเฉินก็ได้! เธอได้แต่คิดในใจ
ฝูเจิ้งเจิ้งแอบกรอกตาไปมองหานซือฉีก่อนจะหันหน้าไปดูวิวนอกหน้าต่างเงียบ ๆ แทนเสียเลย
แต่ด้วยความที่ไวต่อความรู้สึกสาว ๆ หานซือฉีสามารถรับรู้ถึงสายตาที่ไม่พอใจของหญิงสาวได้อย่างง่ายดาย เขายกยิ้มขึ้นน้อย ๆ ด้วยความชอบใจก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปจอดในที่จอดรถชั้นใต้ดินของบริษัทไปโดยไม่พูดอะไร
เมื่อรถหยุดลง ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบมองรอบ ๆ และเมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนี้ เธอก็รีบลงจากรถแล้ววิ่งเข้าไปในลิฟต์ก่อน
หานซือฉีนั่งมองท่าทีของเธอที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ในรถด้วยความสนอกสนใจไม่น้อย เขารอจนกระทั่งเธอขึ้นลิฟต์ไปแล้วถึงจะค่อยออกจากรถแล้วเดินตามเข้าไป
“โย่!” หมินจงจู่ปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อเห็นว่าหานซือฉีเข้ามาในบริษัทแล้ว เขาตบหลังอีกฝ่ายไปทีหนึ่งพร้อมกับหัวเราะขณะพูด “สมเป็นคุณหานผู้ยิ่งใหญ่จริง ๆ เลยนะ มีสาวสวยล้อมหน้าล้อมหลังตลอดเลย ฮ่า ๆๆ”
ชายหนุ่มที่เห็นว่าคนทักทายนั้นเป็นตัวผู้เหมือนกันเลยไม่ได้สนใจอะไรและเดินต่อไปยังทางเข้าลิฟต์
“ช้าก่อนซือฉี! นี่ สิ่งที่นายขอให้ฉันซื้อให้เมื่อวาน” ไม่พูดเปล่า หมินจงจู่หยิบเอากล่องของขวัญที่ถูกทำขึ้นมาอย่างประณีตและส่งมันให้แก่หานซือฉี “นี่อย่าบอกนะว่านายซื้อเจ้านี่ให้ฝูเจิ้งเจิ้งน่ะ?”
ได้ยินเช่นนั้นเขาก็เหลือบมองคนพูดด้วยความหยิ่งผยอง “ทำไม่ได้หรือไง?”
ถึงแม้ว่าหมินจงจู่จะเดาไว้แล้วก็เถอะ แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะถามต่อ “นายนี่มันจะทำเกินหน้าเกินตาเจ้านายไปแล้วนะ ตั้งแต่ที่ไม่ยอมไล่เธอออกเพราะความผิดครั้งนั้นแล้ว หรือว่านาย…จะตกหลุมรักฝูเจิ้งเจิ้งจริง ๆ แล้วงั้นเหรอ?”
สิ้นประโยคนั้น หมินจงจู่ก็ถูกเมินอีกครั้ง ทำให้เขาต้องรีบวิ่งไปดักหน้าหานซือฉีและพูดขึ้นด้วยความกระวนกระวาย “ซือฉี นายจะเล่นๆกับเธอคนนั้นยังไงก็ได้ แต่นาย…”
ชายหนุ่มหยุดเพราะโดนขวาง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น “นายก็จะมาสอนฉันอีกคนหรือไง?”
“ซือฉี ฉันไม่ได้สอนนาย แต่ฉันกำลังเป็นห่วงนาย พวกเราน่ะรู้จักกันดี อยู่ด้วยกันมาก็หลายปี และถึงฉันจะไม่ชอบเฉียวเค่อเหริน แต่…”
“ดี งั้นฉันเข้าใจว่านายจะพูดอะไรแล้ว” หานซือฉีตัดบทก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงต่ำ “ฉันรู้ว่าฉันควรทำอะไร”
มองร่างของหานซือฉีที่กำลังห่างจากเขาไปเรื่อย ๆ หมินจงจู่ก็ไม่ได้ขยับไปไหนอยู่พักใหญ่
ตลอดหลายปีมานี้เขาเห็นอยู่ตลอดว่ารอบ ๆ ตัวหานซือฉีไม่เคยพ้นจากเรื่องผู้หญิงเลย ถึงมันจะเป็นเรื่องปกติถ้าหากหานซือฉีจะเข้าหาฝูเจิ้งเจิ้ง แต่เขากลับรู้สึกได้ว่าครั้งนี้มันต่างออกไป หมินจงจู่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จริง ๆ ถ้ารู้ว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ วันนั้นเขาคงไม่ปล่อยให้ฝูเจิ้งเจิ้งเข้ามาทำงานในบริษัทนี้ได้
“ซือฉี ห้ามตกหลุมรักฝูเจิ้งเจิ้งเด็ดขาดเลยนะ ต่อให้นายไม่มีเฉียวเค่อเหรินและต่อให้ฝูเจิ้งเจิ้งจะเป็นผู้หญิงที่ดี 1 ใน 100 ปีจะมีสักคนก็เถอะ นายก็ต้องไม่ลืมที่จะรักษาหน้าครอบครัวของนายไว้ นายก็รู้ดีอยู่แล้วว่าครอบครัวนายจะไม่ยอมให้นายแต่งงานเพราะเธอมีลูกแล้วแน่ ๆ อย่าทำร้ายคนอื่นเหมือนที่นายไม่อยากทำร้ายตัวเองเลยนะ…”
———–
เมื่อมาถึงภายในบริษัทแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ได้เข้าไปในห้องทำงานของเธอในทันที กลับกันเธอเดินไปหาสวี่เหยียนและเอ่ยขอยืมเงินอีกฝ่าย 500 หยวนด้วยความลังเล เพราะตั้งแต่ที่เข้ามาที่นี่ คนเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกไม่เหงาก็มีแต่สวี่เหยียนเนี่ยแหละ
สวี่เหยียนได้ยินดังนั้นก็ไม่รอช้าที่จะคว้าเงิน 500 หยวนให้แก่ฝูเจิ้งเจิ้งจากกระเป๋าเธอทันที
ใบหน้าสวยของฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มแย้มแจ่มใสหลังจากได้เงินก้อนนั้นมา เธอกล่าวขอบคุณก่อนจะรับรู้ได้ถึงสายตาของหานซือฉีที่เดินออกจากลิฟต์มาพอดี หญิงสาวรีบเก็บเงินนั้นแล้วก้าวเท้าอย่างเร็วกลับไปในห้องทำงานของตนโดยไม่พูดอะไร
ทางฝั่งสวี่เหยียนเองที่เห็นหานซือฉี เธอก็โค้งตัวให้ก่อนจะกลับไปทำงานของตนเองเช่นกัน พวกเธอทั้งหมดรู้ดีถึงกฎของบริษัทแห่งนี้ที่ห้ามพนักงานพูดคุยกันระหว่างเวลางาน
หานซือฉีเหลือบไปเห็นฝูเจิ้งเจิ้งที่ดูจะยังโกรธ ๆ เขาอยู่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากเดินไปนั่งประจำตำแหน่งเงียบ ๆ
“คุณหานคะ น้ำชาค่ะ” เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เดินไปเสิร์ฟชาให้แก่หานซือฉีด้วยรอยยิ้มที่เพิ่งจะปั้นมาหมาด ๆ “พอดีว่าฉันไปขอบคุณสวี่เหยียนที่เธอคอยช่วยดูแลฝูซิงให้ตลอดทั้งวันมาน่ะค่ะ”
ชายหนุ่มมองฝูเจิ้งเจิ้งตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ทำไมฝ่ายที่ขอบคุณอย่างเธอถึงต้องได้เงินด้วยนะ?”
“ฉ-ฉันไม่ได้ยืมเงินจากเธอนะคะ!” ด้วยความตกใจ ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบปฏิเสธทันที ทว่า เธอดันปฏิเสธผิดเรื่องซะงั้น กลายเป็นเผยความลับตัวเองเต็ม ๆ
แววตาคมที่มองเห็นท่าทีเลิ่กลั่กของอีกฝ่ายเช่นนั้นก็ส่งกล่องโทรศัพท์มือถือให้ “นอกจากโทรศัพท์แล้วเธอยังต้องการอะไรอีกนะ?”
ฝูเจิ้งเจิ้งช็อกไป กระนั้นเธอก็ไม่ได้รับโทรศัพท์เครื่องนั้นมาและดันมันกลับคืนให้หานซือฉีตามเดิม “ขอบคุณในความใจดีมาก ๆ เลยค่ะ แต่คุณหานคะ แค่ที่พักพิงที่คุณหานให้พวกเราไปยืมพักอาศัยนั่นก็เกินพอแล้ว แบบนี้จะให้ฉันรับโทรศัพท์เครื่องนี้ไว้อีกได้อย่างไรกันคะ?”
เขาดูจะไม่ได้สนใจเลยว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะลำบากใจขนาดไหน แถมยังรีบตอบกลับด้วยรอยยิ้มอีก “งั้นผลัดกัน เธอมาอยู่ในบ้านฉัน ส่วนฉันจะเข้าไปอยู่ในใจเธอแทน แบบนี้ดีไหม?”
หญิงสาวรีบตอบกลับทันควัน “ถ้าคนแข็งแกร่งอย่างคุณหานมาอยู่ในใจฉัน มีหวังหัวใจฉันได้แตกเป็นเสี่ยง ๆ กันพอดี”
แขนกำยำเอื้อมไปคว้าตัวของฝ่ายหญิงและดึงลงมาให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอด ก่อนจะพูดกับเจ้าของร่างบางนั้นอย่างหยอกเย้า “งั้นทำให้ฉันละลายก่อนจะเข้าไปอยู่ในใจเธอซะสิ”
เธอรีบผละตัวออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งถอยออกไปเพื่อรักษาระยะด้วย “ไว้คุณหานเป็นเหล็กหรือทองแดงแล้วฉันจะลองหาวิธีมาหลอมละลายดูนะคะ ส่วนตอนนี้ถ้าไม่มีงานอื่นแล้ว ฉันจะขอตัวไปทำงานของตัวเองต่อก่อนค่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มพอใจที่ได้แกล้งเธอ
จากนั้นหานซือฉีก็โยนกล่องโทรศัพท์ให้เธออีกครั้ง “จะให้บริษัทติดต่อเธอยังไงถ้าไม่มีโทรศัพท์น่ะ? ไม่มีใครรอให้เธอโผล่หน้ามาค่อยคุยธุระสำคัญหรอกนะ หรืออยากถูกไล่ออกอีก?”
“อ๊ะ…” เป็นอีกครั้งที่ฝูเจิ้งเจิ้งไม่สามารถเถียงอะไรได้เลย
ฉันโดนเอาเรื่องงานมาข่มขู่อีกแล้วเหรอเนี่ย?
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ท้ายที่สุดเธอก็จำใจรับมันไป แต่หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าวฝูเจิ้งเจิ้งก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงที่อ่อนลง “เอ่อ คุณหานคะ ฉันฝากคุณหานไปรับฝูซิงหลังเขาเลิกเรียนแล้วหน่อยได้ไหมคะ? พอดีฉันมีของที่ต้องซื้อนิดหน่อย”
“เรื่องนั้นไว้เลิกงานแล้วค่อยไปด้วยกันก็ได้” เขาพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ไม่ค่ะ ฉันต้องไปซื้อของสำหรับผู้หญิง…เพิ่มค่ะ” แต่เมื่อตระหนักได้ว่ามุขนี้เพิ่งใช้ไป เธอจึงพูดเสริมเข้าไปอีก “เมื่อวันก่อนฉันซื้อมันไม่ครบน่ะค่ะ”
ขนาดนี้แล้วหานซือฉีก็ยังไม่ยอมรับปากเธออยู่ดี ดูเหมือนจะต้องเพิ่มธุระขึ้นไปอีกสินะ! “ฉันนัดกับสวี่เหยียนเอาไว้แล้วว่าจะไปซื้อของเพิ่มกันหลังจากเลิกงานแล้ว ถึงจะรีบ ๆ นัดแต่ก็ไม่อยากจะผิดนัดหรอกนะคะ”
พลันเมื่อได้ยินชื่อสวี่เหยียน หานซือฉีเองก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ครั้งนี้เขาหยิบเอาเงินสดก้อนหนึ่งจากกระเป๋าของเขาและจับมันยัดใส่มือหญิงสาวในทันที “เงินเดือนของสวี่เหยียนน่ะ ต้องใช้สำหรับช่วยเหลือครอบครัวและน้องชาย รีบ ๆ ใช้คืนเธอซะ”
“แต่ฉัน…”
“นี่เงินเดือนล่วงหน้าของเธอ”
หลังจากที่รู้ว่ามันเป็นเงินของเธอล่วงหน้า ฝูเจิ้งเจิ้งก็กลืนคำพูดที่จะพูดเมื่อครู่ทิ้งไปจนหมด
เมื่อเวลาเลิกงานมาถึง ฝูเจิ้งเจิ้งและสวี่เหยียนก็พากันไปซูเปอร์มาร์เก็ตเล็ก ๆ ตามที่ได้บอกหานซือฉีไว้ และหลังจากแยกกันแล้ว เธอก็รีบไปยังจุดที่นัดพบกับหยางเต๋า เพราะหยางเต๋าบอกว่าจะเตรียมโทรศัพท์เล็ก ๆ ไว้ให้เครื่องหนึ่งเหมือนของเล่นสำหรับไว้ติดต่อสื่อสาร
“มันใส่ซิมการ์ดไว้แล้ว แล้วก็ไม่บันทึกประวัติการโทรด้วย เสียงก็ไม่มี เพราะงั้นเธอสามารถจัดการใช้ได้ตามสถานการณ์เลย”
“เข้าใจแล้วค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งรับโทรศัพท์นั้นมาและตรวจดูให้ดีก่อนจะเก็บมันลงกระเป๋าพร้อมที่จะกลับบ้าน
ก่อนจะจากไป หยางเต๋าก็เตือนเธอทิ้งท้ายไว้ด้วยความเป็นห่วง “เจิ้งเจิ้ง ถ้าเกิดว่ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมา ต้องรีบแจ้งให้ฉันรู้ทันทีเลยนะ แล้วก็ต้องดูแลตัวเองให้มาก ๆ ด้วย!”
“ฉันรู้แล้วค่ะรุ่นพี่ ถ้างั้นฉันไปก่อนนะคะ” ฝูเจิ้งเจิ้งไม่อยากจะเห็นท่าทีที่ไม่เต็มใจจากของหยางเต๋า เพราะงั้นเธอจึงรีบปลีกตัวแยกออกไปทันที
บนทางกลับบ้านเส้นหลัก ฝูเจิ้งเจิ้งหยิบโทรศัพท์ที่ได้รับมาจากหานซือฉีขึ้นมาดูและพบว่ามันมีสายไม่ได้รับปรากฏขึ้นมา 2 สาย เธอจึงไม่รอช้าที่จะโทรกลับไปทันที เสียงจากปลายสายเป็นเสียงดังที่หวังไว้ นั่นคือฝูซิง “หม่ามี๊ ซื้อของเสร็จหรือยัง? ฝูซิงหิวแล้ววว ฝูซิงกินข้าวไม่ได้ถ้าไม่มีหม่ามี๊นะ”
“หม่ามี๊จะถึงแล้ว รอก่อนนะ” เธอรีบวางโทรศัพท์และเก็บมันลงไปในกระเป๋า ในจังหวะนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์เครื่องเล็กที่หยางเต๋าซื้อมาให้ ด้วยความที่กลัวจะมีคนอื่นมาค้นกระเป๋า เธอจึงรีบดันมันลงไปก้นกระเป๋าแล้วรีบกลับ ‘บ้าน’ ต่อในทันที
เมื่อวานหยางเต๋าบอกตนไว้ว่าจะเตรียมโทรศัพท์ไว้ให้ เพราะงั้นเมื่อเช้านี้ฝูเจิ้งเจิ้งจึงทำทีว่าจะไปยืมเงินของสวี่เหยียนเพื่อไปซื้อโทรศัพท์ เธอไม่คาดคิดเลยว่ามาวันนี้หานซือฉีจะเป็นฝ่ายซื้อโทรศัพท์มาให้เธอเสียก่อนเช่นนี้ แล้วแบบนี้จะให้กล้าใช้โทรศัพท์ที่หานซือฉีซื้อให้โทรหาหยางเต๋าได้ยังไงกัน? เพราะงั้นต้องซ่อนเจ้าเครื่องเล็กนี่ให้มิด!
ที่บ้านซือฉี ฝูซิงกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารเพื่อรอทานมื้อเย็น ระหว่างนั้นเขาก็เอาดินน้ำมันมาปั้นเป็นน่องไก่ไปพลาง ๆ ด้วย
เฉินเฉี่ยวหลานไม่สามารถทนเห็นฝูซิงที่ดูหิวโหยได้ เธอจึงหยิบชามขึ้นมาและเตรียมจะตักข้าวให้เจ้าตัวเล็ก “ซิงซิง ถ้าหนูหิว หนูกินข้าวรอไปพลาง ๆ ก็ได้นะลูก”
“ฝูซิงไม่กิน!” ฝูซิงตอบทันควันพร้อมกับขยำน่องไก่ที่ปั้นไว้ให้กลายเป็นก้อนกลม ๆ “คุณย่าเฉิน ฝูซิงจะรอหม่ามี๊กลับมากินข้าวด้วยกัน หม่ามี๊บอกว่าจะถึงบ้านแล้ว”
น้ำเสียงที่มั่นใจของหนุ่มน้อยคนนี้ทำเอาเฉินเฉี่ยวหลานไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อดี เธอได้แต่หันไปมองทางหานซือฉี ซึ่งอีกฝ่ายก็แค่พยักหน้าเหมือนให้ยอมรับการกระทำของฝูซิง นั่นจึงทำให้เธอกลับไปนั่งข้าง ๆ หานซือฉีแทน
“หม่ามี๊บอกว่าจะกลับมาเร็ว ๆ แต่ก็มาไม่ถึงสักที ฝูซิงจะต้องปั้นหนูยักษ์มาหลอกซะแล้ว แฮร่!”
ฝูซิงบ่นงึมงำขณะที่มือก็กำลังปั้นดินน้ำมันให้กลายเป็นหนูตัวเล็กแบบเหมือนจริงไปด้วย เขาห่อมันด้วยกระดาษทิชชู่ก่อนจะหันไปมองหานซือฉีด้วยแววตาสับสน “ป๊ะป๋า ไม่ดีเลย ทำไมถึงไม่พาหม่ามี๊กลับมาด้วยล่ะ”
“หม่ามี๊ของลูกน่ะวิ่งหนีเก่งจะตายไป เห็นทีวันหลังจะต้องเอาโซ่มาล่ามคอไว้แล้วล่ะมั้ง?” หานซือฉีพูดเชิงหยอกเย้าฝูซิง
กระนั้นคำตอบของหานซือฉีก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจของฝูซิงอยู่ดี เด็กน้อยบุ้ยปากก่อนจะพูด “ป๊ะป๋า ฝูซิงบอกแล้วว่าหม่ามี๊เป็นคนฉลาด สวย แล้วก็ดีด้วย มีผู้ชายชอบหม่ามี๊เยอะมาก ๆ เลยนะ ถ้าป๊ะป๋าไม่ดูแลให้ดี ระวังจะมีคนอื่นมาแย่งหม่ามี๊ไปนะ อย่าหาว่าฝูซิงไม่เตือนล่ะ!” เด็กน้อยพูดกับเขาทั้ง ๆ ที่ยังสนใจกับการปั้นเจ้าหนูในมืออยู่
ในระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง ฝูเจิ้งเจิ้งก็กลับมาถึงบ้านพอดิบพอดี
“หม่ามี๊! ทำไมหม่ามี๊กลับบ้านดึกจัง? ฝูซิงหิวจะตายอยู่แล้วนะ!” เจ้าตัวเล็กกระโดดออกจากที่นั่งและโผเข้ากอดฝูเจิ้งเจิ้งโดยที่ไม่สนใจหนูดินน้ำมันตัวนั้นเลย
ฝูเจิ้งเจิ้งเข้าใจความหมายนั้นของลูกชายเธอเป็นอย่างดี เพราะงั้นเธอจึงจิ้มหน้าผากเขาไปเบา ๆ พลางพูดด้วยรอยยิ้ม “จะให้หม่ามี๊ป้อนข้าวตลอดไปไม่ได้หรอกนะ”
เธอเดินเอากระเป๋าไปวางและเตรียมที่จะมาหยิบชามข้าวจากเฉินเฉี่ยวหลานแล้ว แต่ทันใดนั้นเอง ฝูเจิ้งเจิ้งก็นึกอะไรออก มันเป็นเรื่องที่ดูจะช่วยไม่ได้จนเธอเองยังต้องตีหน้าผากตัวเองด้วยความเสียดาย
—————————————————————————————-
คุยกับผู้แปล
เงินเดือนในอนาคตจริงหรือเปล่าน้า~ หรือแค่อยากเปย์แล้วเอาเงินเดือนมาอ้างน้า~
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-