ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 25 มันจะแข็งเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ป๊ะป๋าต้องการ
บทที่ 25 มันจะแข็งเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ป๊ะป๋าต้องการ
“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปเหรอ?” ฝูซิงถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลหลังจากที่เห็นท่าทีนั้นของฝูเจิ้งเจิ้ง
“ม-หม่ามี๊ลืมของที่ซื้อไว้บนแท็กซี่…ทั้งหมดเลย ไม่นะตัวฉัน” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดติดอ่างเพราะกำลังเขินอาย หากแต่ต้นเหตุของความเขินอายนั้นไม่ใช่การลืมของบนรถหรอก แต่เพราะเธอดันลืมไว้กับหยางเต๋าต่างหาก!
เมื่อตอนที่รับโทรศัพท์ที่อีกฝ่ายซื้อมาให้มาตรวจดูความเรียบร้อย เธอขอให้หยางเต๋าช่วยถือถุงที่ใส่ชุดชั้นในเอาไว้ และเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เธอก็รีบปลีกตัวกลับบ้านโดยที่ลืมของพวกนั้นไปหมด
ฝูซิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะยิ้มกว้าง “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หม่ามี๊ลืม แต่อย่างน้อย หม่ามี๊ก็ไม่ได้ไปลืมตัวเองไว้ที่ไหน”
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็หยิกแก้มลูกชายของเธอด้วยความเอ็นดูและหัวเราะออกมา
“มาทานข้าวกันเถอะค่ะ ซิงซิงบ่นหิวมาพักใหญ่ ๆ แล้ว” เฉินเฉี่ยวหลานยิ้มกับภาพตรงหน้าก่อนจะเริ่มเสิร์ฟอาหารให้ทุกคนบนโต๊ะ
หลังจากที่ทานมื้อเย็นกันเสร็จแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ช่วยเฉินเฉี่ยวหลานทำความสะอาดโต๊ะอาหาร ฝูซิงเองก็ช่วยด้วยเช่นกัน เขาช่วยเช็ดโต๊ะหลังจากที่เฉินเฉี่ยวหลานเช็ดไปแล้วครั้งหนึ่งด้วยก่อนจะเอ่ยถามออกมา “คุณย่าเฉิน ตอนเด็ก ๆ ป๊ะป๋าเป็นเด็กดีเหมือนฝูซิงไหมครับ?”
“แน่นอนสิคะ ซิงซิงน่ะเป็นเด็กดีเหมือนป๊ะป๋าตอนเด็ก ๆ เลย” เฉินเฉี่ยวหลานยิ้ม เธอค่อนข้างจะชอบฝูซิงมาก ๆ เพราะทั้งรูปลักษณ์และนิสัยใจคอของเขา เหมือนกับนายน้อยของเธอเมื่อครั้งเยาว์วัยเสียเหลือเกิน
จริง ๆ เมื่อตอนที่ได้เห็นฝูซิงครั้งแรก ตัวเธอเองก็ยังตกใจเช่นกัน นอกจากนั้นแล้วหานซือฉียังบอกเธอไว้ว่า ‘เพราะฝูซิงทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองตอนเด็ก ๆ เลยอยากจะรับเลี้ยงไว้เป็นลูกบุญธรรม’ ด้วยความที่เฉินเฉี่ยวหลานถือเป็นผู้หญิงที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้านายเป็นอย่างมาก ดังนั้นไม่ว่าเขาจะตัดสินใจทำอะไร เธอก็พร้อมที่จะทำตามคำสั่งของเขาเสมอ รวมถึงชอบฝูซิงเหมือนที่หานซือฉีชอบด้วย
“แล้วป๊ะป๋าน่ารักเหมือนฝูซิงหรือเปล่าครับ?” เมื่อได้ยินคำตอบแล้วฝูซิงก็ทำหน้าตาน่าเอ็นดูก่อนจะวิ่งขึ้นไปนั่งบนตักหานซือฉีพร้อม ๆ กับแนบหน้าเข้าด้วยกันเพื่อเทียบกันให้เห็นแบบชัด ๆ ด้วย
ท่าทีเช่นนี้ทำเฉินเฉี่ยวหลานหัวเราะออกมายกใหญ่
ภาพที่ดูจะเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นนี้ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกพึงพอใจอยู่ไม่น้อย มันเป็นภาพฝันที่เธอมักจะฝันถึงอยู่บ่อยครั้ง ภาพของครอบครัวที่พร้อมหน้าพร้อมตา คอยแบ่งปันความสุขให้กันและกัน นี่มันครอบครัวแบบที่ใฝ่ฝันมาตลอดจริง ๆ
น่าเสียดายที่เธอถูกขับไล่ออกจากครอบครัวสุดที่รักของเธอมาเพราะการที่มีฝูซิง แถมเหนียนซี่ยังมาหายตัวไปอีก มันเลยทำให้ทั้งสองแม่ลูกต้องทนทุกข์กันมาตลอด
ในจังหวะที่สายตาของหญิงสาวเคลื่อนไปสบกับหานซือฉี เธอก็เพิ่งจะรู้สึกได้ว่าเขาคนนั้นคอยเฝ้ามองเธอตลอด ฝูเจิ้งเจิ้งตกใจและรีบหันหน้าหลบทันที
“ย่าเฉิน ว่าไงครับ เหมือนไหม?” ฝูซิงเร่งเร้า
“เหมือนจ้ะ เหมือนมาก ๆ เลย น่ารักเหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูกเลยนะเนี่ย” เฉินเฉี่ยวหลานเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ตั้งแต่ท่านซือฉีเป็นเด็ก เขาน่ะเปรียบเสมือนสมบัติของครอบครัวมาโดยตลอด ทั้งคุณผู้ชายและคุณผู้หญิงต่างก็รักใคร่เขากันมาก ๆ ย่ายังจำได้อยู่เลยว่าตอนที่ท่านซือฉีหายไปช่วงหนึ่ง ทั้งครอบครัวก็ตามหากันอย่างบ้าคลั่งไปหมด”
หานซือฉีผู้ที่กำลังเล่นอยู่กับฝูซิงชะงักและหันมามองเฉินเฉี่ยวหลานทันที รวมถึงฝูเจิ้งเจิ้งก็ยังทวนคำพูดเธอทันทีเช่นกัน “หายไปเหรอคะ?”
สาววัยกลางคนตระหนักได้ว่าเผลอพูดอะไรที่มากเกินไปแล้ว เธอจึงรีบหันไปเก็บจานต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันจะทำความสะอาดห้องครัวต่อแล้ว”
หลังจากที่เฉินเฉี่ยวหลานปลีกตัวกลับไปในห้องครัวแล้ว เธอก็รีบวางจานชามลงบนโต๊ะและหยิกตัวเองเพื่อลงโทษในความปากมากเมื่อครู่นี้ ทั้ง ๆ ที่ตามปกติเธอก็ตระหนักได้ถึงคำสั่งของคุณผู้ชายและคุณผู้หญิงได้เป็นอย่างดีแท้ ๆ เพราะเผลอหลงไปกับความน่ารักของฝูซิงที่เหมือนกับหานซือฉีสมัยเด็กแท้ ๆ เลย
ฝูเจิ้งเจิ้งเดินมาแอบดูเฉินเฉี่ยวหลานที่ประตู เธอรู้ดีว่าตอนนี้คงไม่สามารถล้วงความจริงออกมาได้แน่ ๆ เพราะงั้นไว้รอโอกาสดี ๆ ค่อยถามดีกว่า
“หม่ามี๊ มาหาฝูซิงเร็ว ๆ วันนี้ฝูซิงอารมณ์ไม่ดีนะ!”
ระหว่างนั้นเองฝูซิงก็ตะโกนขึ้นมา ทำให้เธอต้องรีบกลับไปหาเจ้าตัวเล็กก่อน “แล้วลูกไปทำอะไรมาให้อารมณ์ไม่ดีน่ะ?”
ขณะที่นั่งอยู่บนตักของหานซือฉี ฝูซิงก็ชี้ไปยังหนูตัวเล็กที่ปั้นจากดินน้ำมันซึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะอาหารมาตั้งแต่ต้นด้วยสีหน้าเศร้าหงอย “ฮ่าวฮ่าวไม่มาโรงเรียน 2 วันแล้ว ฝูซิงคิดถึงเขา”
เธอรู้อยู่เต็มอกแล้วว่าใครเป็นตัวต้นเหตุ พลันเมื่อมองไปยังหานซือฉี เขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งนั้น
“บางทีฮ่าวฮ่าวอาจจะย้ายโรงเรียนไปแล้วล่ะมั้ง ย้ายไปโรงเรียนที่มีเด็ก ๆ เยอะกว่าเดิม จริง ๆ ลูกควรจะหาเพื่อนใหม่เพิ่มเอาไว้ได้แล้วนะ” ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามปลอบใจ
“แต่มีแค่ฮ่าวฮ่าวที่คอยมาปั้นหนูเป็นเพื่อนฝูซิงนะ”
ฝูเจิ้งเจิ้งตัดบทแบบไม่พอใจเท่าไหร่ เธอคว้ามือฝูซิงและพาร่างเล็กนั้นเดินขึ้นบันไดไป “หม่ามี๊ก็บอกลูกไปแล้วว่าลูกจะปั้นอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่ปั้นหนูแบบนี้! ลูกต้องให้เพื่อน ๆ คนอื่นช่วยสอนลูกปั้นอย่างอื่นบ้างนะ”
“โอ๊ะ” ฝูซิงเหมือนจะไม่ได้สนใจสิ่งที่แม่ตนพูดเสียเท่าไหร่ กลับกันเมื่อเขาเห็นว่าหานซือฉีกำลังจะลุกออกไปทำอย่างอื่น เจ้าตัวแสบก็รีบตะโกนออกมา “ป๊ะป๋า ฝูซิงยังไม่ได้อาบน้ำ ไปอาบน้ำกับฝูซิงได้ไหม?”
“หม่ามี๊จะอาบน้ำกับลูกเอง!” ฝูเจิ้งเจิ้งตีก้นเด็กน้อยไปเบา ๆ ทีหนึ่ง
“ฝูซิง ไม่เอา หม่ามี๊!” แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ แต่ฝูซิงก็ยังเลือกที่จะพูดตามแบบที่ได้ยินมาจากโฆษณา “ฝูซิงเป็นผู้ชาย! หม่ามี๊เป็นผู้หญิง! ผู้ชายต้องอาบน้ำกับผู้ชายเท่านั้น!”
ในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง หานซือฉีก็เข้ามาและเป็นฝ่ายอุ้มฝูซิงไปแทนทันที
หญิงสาวจ้องมองไปยังลูกชายของตนที่ย้ายไปเกาะแขนหานซือฉีเหมือนปลาหมึกด้วยความดุดัน ฝูซิงค่อย ๆ เอนหน้าซบไหล่หานซือฉีก่อนจะมองแม่ของเขาด้วยหางตา “หม่ามี๊น่ะเป็นผู้หญิง เห็นทีว่าฝูซิงคงจะจุ๊บหม่ามี๊ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”
“หา อะไรล่ะนั่น?” ฝูเจิ้งเจิ้งขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
“ก็ใน TV เค้าบอกไว้ว่า ผู้ชายกับผู้หญิงไม่ควรจุ๊บกันนี่นา!”
หานซือฉีที่เงียบอยู่นานก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง “ในเมื่อผู้ชายกับผู้หญิงไม่ควรจุ๊บกัน งั้นอนาคตฝูซิงก็จุ๊บได้แค่ป๊ะป๋าเท่านั้นแหละ ฮ่า ๆๆๆ”
หานซือฉีตอบรับข้อเสนอนั้นทันทีพร้อมทั้งจับหน้าของฝูซิงมาหอมซ้ายทีขวาทีด้วย
“ตรรกะอะไรกันเนี่ย…” กว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะเข้าใจถึงสิ่งที่ฝูซิงพูด ทั้งสองพ่อลูกก็เดินหายเข้าไปในห้องของหานซือฉีเรียบร้อยแล้ว
ถ้านี่เป็นครอบครัวจริง ๆ มันควรจะเป็นครอบครัวที่มีความสุขมากเลยแท้ ๆ หรือจริง ๆ แล้วก็เป็นอยู่นะ? ความคิดบางอย่างค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาในใจของฝูเจิ้งเจิ้ง และความคิดนั้นก็ทำเอาเธอกลัดกลุ้มใจขึ้นมาเหมือนกัน
ดูเหมือนว่าหานซือฉีนั้นจะเคยความจำเสื่อมจริง ๆ แบบนี้จะใช้อธิบายถึงเรื่องที่เขาลืมวันเวลาที่เคยใช้ร่วมกับเธอ รวมไปถึงสาเหตุที่จากไปได้ไหมนะ?
หานซือฉีเองก็ดูจะคิดถึงวัยเด็กของตนเหมือนกัน บางทีเรื่องนี้อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 10 ปีที่โดนน้าพาตัวไปอยู่ด้วยหรือเปล่า?
พอมาคิดเรื่องนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็นึกขึ้นได้ว่า หมินจงจู่เคยบอกเธอไว้ว่าเขาและหานซือฉีเคยเรียนอนุบาลที่เดียวกัน แถมก่อนจะมาที่บริษัทเว่ยหานก็ยังจบมหาลัยที่เดียวกันอีก คนอย่างหมินจงจู่ต้องไม่โกหกเรื่องนี้แน่ ๆ
อ๊ะ! แต่หมินจงจู่ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดลึกถึงตอนหลังจากจบอนุบาลแล้วก็ก่อนเข้าเรียนมหาวิทลัยนี่นา!! งั้นแสดงว่า มีโอกาสที่พวกเขาจะไม่ได้อยู่ด้วยกันในช่วงประถม แล้วก็มัธยมน่ะสิ…
ฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มจะปะติดปะต่อเรื่องราวที่เธอเคยคาดการณ์ไว้ได้หมดแล้ว มันเลยยิ่งทำให้เธอตื่นเต้นมากขึ้น หญิงสาวรีบวิ่งไปที่หน้าประตูห้องของหานซือฉี ทว่าจำเป็นต้องหยุดมือไว้ก่อน
แล้วถ้าหานซือฉี คือ เหนียนซี่จริง ๆ ล่ะ? แล้วถ้าเกิดคนคนนี้เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดครั้งใหญ่นี่ เธอควรจะทำยังไง?
รู้ ๆ กันอยู่ว่าความร้ายแรงของคดีนี้มันขนาดไหน…
เธอจะสามารถ…ส่งคนรักของตนเข้าคุกด้วยมือตนเองได้ลงคอเหรอ?
ทั้งเธอและฝูซิง จะสามารถทนดูคนที่ตนรักเข้าคุกได้จริง ๆ งั้นเหรอ?
แต่นี่มันหน้าที่นี่… ผู้ใช้กฎหมายอย่างเธอจะยอมหลับตาข้างหนึ่งกับคนรักของตนเอง แบบนี้มันถูกต้องแล้วจริง ๆ ใช่ไหม?
“ป๊ะป๋า เติมน้ำเร็ว ๆ!”
ตอนนั้นเอง เสียงของฝูซิงที่กำลังมีความสุขก็แทรกเข้ามาในความคิดเธอเสียก่อน มันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งได้สติกลับมาและโทษตัวเองที่เอาแต่กลัวไม่เข้าเรื่อง ยังไงตอนนี้ก็ต้องทำให้มั่นใจก่อนว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นเหนียนซี่จริง ๆ หรือไม่
เอ๊ะ แต่นี่ก็โอกาสดีแล้วไม่ใช่หรือไง?
หญิงสาวค่อย ๆ ผลักประตูให้เปิดออกเบา ๆ และย่องไปยังหน้าห้องน้ำเพื่อแอบฟังว่าพ่อลูกคู่นี้พูดอะไรกัน
หลังจากได้ยินเสียงของน้ำที่ดังอยู่พักใหญ่ เสียงของฝูซิงก็ตามมา “ป๊ะป๋า ทำไมป๊ะป๋าถึงมีขนอยู่ตามตัวด้วยล่ะ?”
“เพราะว่าป๊ะป๋าเป็นผู้ชายยังไงล่ะ” หานซือฉีตอบ
“แต่ฝูซิงก็เป็นผู้ชายนะ!” เสียงของฝูซิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะอุทานออกมาอีกครั้ง “ว้าว! ป๊ะป๋า ทำไมจู่ ๆ เจ้านี่ก็แข็งขึ้นมาได้ล่ะ! ป๊ะป๋าทำได้ยังไง?”
“มันจะแข็งเมื่อไหร่ก็ได้ ตามที่ป๊ะป๋าต้องการ ซิงซิงก็ทำได้นะ”
หา? อีตาวิตถารนี่กำลังสอนอะไรลูกฉันน่ะ?
“ฝูซิงไม่เห็นทำได้เลย!”
“เพราะซิงซิงยังเด็ก มันเลยทำไม่ได้ไง ไว้ซิงซิงโตขึ้นก่อน บางทีเราอาจจะใหญ่และแข็งกว่าป๊ะป๋าก็ได้นะ”
“จริงเหรอ?” ฝูซิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้ม “ฝูซิงจะแข็งให้เท่าป๊ะป๋าให้ได้เลย!”
แข็งแกร่งย่ะ! ห้ามลืมแกร่ง! จะแข็งอย่างเดียวไม่ได้!
“ให้มันได้อย่างงี้สิ!”
จากบทสนทนาที่ได้ยินนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็แอบเขินอยู่เงียบ ๆ มันชัดเจนแล้วว่าหนุ่ม ๆ กำลังตัวเปล่ากันอยู่แน่ ๆ ถ้าหากเธอเข้าไปตอนนี้ล่ะก็ ยังไงก็ต้องเห็นร่างเปลือยเปล่าซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้านั้นได้อย่างแน่นอน!
ด้วยเป้าหมายเดียวที่ต้องการเห็นก็คือไฝตรงต้นขา เพราะงั้นไม่สนหรอกว่าจะเห็นอะไรเป็นของแถม! มือเรียวงามยื่นไปจนจะถึงที่จับประตูแล้ว ทว่ามันก็ถูกหยุดไว้เสียก่อน ฝูเจิ้งเจิ้งคิดทบทวนแผนอีกครั้ง และแล้วดวงตาสวยก็เปล่งประกายขึ้นมาก่อนจะวิ่งกลับไปที่ห้องแล้วหยิบเอาเสื้อผ้าของฝูซิงมา คราวนี้แหละ บุ่มบ่ามเปิดเข้าไปก็มีข้อแก้ตัวแล้ว!
ประตูถูกเปิดออก พร้อมกับไอน้ำที่พวยพุ่งออกมาอย่างกับน้ำแข็งแห้งในงานคอนเสิร์ต แต่ก่อนที่สายตาจะได้ปรับสภาพ เสียงกรีดร้องของฝูซิงก็พุ่งทะลุผ่านไอน้ำเหล่านั้นมาหาเธอ “กรี๊ดดดดดดดดดดด! หม่ามี๊!! ออกไปเดี๋ยวนี้! หม่ามี๊จะมาแอบดูผู้ชายโป่โป๊ไม่ได้นะ!”
“อย่ากรี๊ดสิ! หม่ามี๊แค่เอาเสื้อผ้ามาให้เพราะกลัวลูกจะป่วยต่างหาก!” ฝูเจิ้งเจิ้งวางเสื้อผ้าไว้ในตะกร้าใกล้ ๆ และแสร้งทำเป็นมองแค่ลูกชายตนเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วสายตาของเธอแอบเหลือบมองหานซือฉีอยู่ ทว่าสิ่งที่อยู่ปลายสายตากลับไม่ใช่อะไรที่น่าอภิรมณ์ใจนัก
ไอ้ผ้าขนหนูเวรเอ๊ย!
แม้ว่าครึ่งตัวบนของเขาจะเปลือยเปล่า แต่ช่วงล่างก็มีผ้าขนหนูพันเอาไว้
“วางเสื้อผ้าแล้วรีบออกไปเลยนะ!” ฝูซิงยืนสั่นพร้อมกับเอามือปิดฝูซิงน้อยของเขาเอาไว้ด้วยท่าทีเขินอาย
ส่วนหนึ่งก็เพราะหานซือฉีไม่ได้หยุดอาบน้ำให้เขาแต่อย่างใด พร้อมทั้งยังเหลือบมองหญิงสาวกลับไปด้วย “หรือว่าหม่ามี๊ของลูกตั้งใจจะมาแอบดูป๊ะป๋าอาบน้ำกันนะ?”
“หม่ามี๊คนลามก! ลามกมาก ๆ!” ใบหน้าของเจ้าตัวเล็กที่กำลังเขินอายนั้นแดงมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
“ฮึ่ม!” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบปลีกตัวออกและหันหน้าหนีจากทั้งสองทันที เธอรีบก้าวเท้าออกจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่เริ่มแดงขึ้นมาเล็กน้อย
ไอ้เจ้าตัวแสบนี่! คนที่อาบน้ำให้ตั้งแต่เกิดก็ฉันเนี่ยแหละ! นี่ยังคิดว่าฉันจะแอบดูไอ้จ้อนของลูกตัวเองงั้นเหรอ!?
ฝูเจิ้งเจิ้งที่โกรธขึ้นมานิดหน่อยยังคงไม่ยอมแพ้ เธอนั่งลงบนโซฟาในขณะที่คิดหาแผนใหม่ไปเรื่อย
ระหว่างนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อเธอลองกวาดสายตาไล่มองตามเสียงก็พบว่าเสียงนั้นดังมาจากเสื้อคลุมของหานซือฉี
ภายในห้องอาบน้ำมีแต่เสียงหัวเราะของทั้งฝูซิงและหานซือฉี เพราะงั้นนี่จึงเป็นโอกาสที่ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งสามารถหยิบเอาโทรศัพท์ของหานซือฉีมาดูได้ว่าใครโทรมา
ฟู่เหวินไห่? เหมือนจะเป็นคนที่เคยไปกินข้าวด้วยหรือเปล่านะ? จำได้ว่าสวี่เหยียนเคยบอกว่าคนคนนี้เป็นเจ้าของบริษัทผลิตวัสดุยักษ์ใหญ่ที่ชื่อว่า บริษัทเหวินไห่ แต่วัสดุจากที่นี่ดันไม่ผ่านเข้าเกณฑ์ที่เราจะทำธุรกิจด้วย บางทีเขาคงโทรมาคุยเรื่องนี้ก็ได้มั้ง
ภาพของฟู่เหวินไห่ที่เจอกันในวันแรกนั้นยังติดตาฝูเจิ้งเจิ้งอยู่อย่างชัดเจน เขาเป็นคนที่ดูน่านับถือ แถมดูหัวทันสมัยด้วย ยิ่งไปกว่านั้น หยางเต๋าก็ไปสืบมาแล้วว่าบริษัทที่เขาก่อตั้งดูแล้วจะมีโอกาสเติบโตได้มากกว่านี้ และจะมีชื่อเสียงที่โด่งดังไปกว่านี้อีกมาก
อ่า การที่ต้องมาเจรจากับบริษัทใหญ่อย่างเว่ยหานคงจะยากหน่อยนะคะ แต่ก็พยายามเข้าล่ะ
“พื้นมันลื่น เดี๋ยวป๊ะป๋าอุ้มซิงซิงออกไปก็แล้วกันนะ”
“ไม่ ป๊ะป๋า! ฝูซิงเป็นผู้ชายนะ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบเก็บโทรศัพท์กลับไปยังที่เดิม และรีบเดินหมายจะกลับห้องทันที ทว่าเมื่อเธอเดินผ่านหน้าประตูห้องน้ำไป สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นก้อนอะไรบางอย่างที่มุมกำแพง และเมื่อจ้องมองเข้าไป หญิงสาวก็กระโดดตัวลอยด้วยความหวาดกลัว แต่เมื่อมองเจ้าสิ่งนั้นดี ๆ เธอก็พบว่านั่นคือหนูที่ถูกปั้นขึ้นด้วยดินน้ำมันและห่อด้วยทิชชู่เอาไว้
โธ่เอ๊ย ที่แท้ก็งานปฏิมากรรมชิ้นเอกของเจ้าตัวแสบนั่นเอง…เอ๋~ จะว่าไปวิธีนี้ก็ใช้ได้เหมือนกันนี่นา ฮิ ๆๆๆ
ความคิดชั่วร้ายปรากฏขึ้นในหัวของตำรวจสาวแล้ว
———————————————————————-
คุยกับผู้แปล
ถ้าอยู่ไทยฝูซิงโดนขี้เถ้ายัดปากไปละเนี่ย 55555555555
-ทีมงานผู้แปล EnjoyBook-