ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 26 เธอยังคิดจะหนีไปไหนอีกน่ะ
บทที่ 26 เธอยังคิดจะหนีไปไหนอีกน่ะ?
หลังจากที่ฝูเจิ้งเจิ้งแอบเก็บเจ้าหนูดินน้ำมันไว้ในกระเป๋าแล้ว มันก็เป็นจังหวะพอดีกับที่หานซือฉีเดินออกมาพร้อมกับฝูซิงที่อยู่ในอ้อมแขน เธอรีบเดินเข้าไปและคว้าตัวลูกชายของตนมาก่อนจะหายกลับห้องไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ค่อย ๆ กล่อมฝูซิงให้หลับไปบนเตียงโดยดี เด็กน้อยคนนี้เล่นมาทั้งวันแล้ว ดังนั้นใช้เวลาไม่นานเขาก็หลับลงไปในที่สุด
ฝูเจิ้งเจิ้งค่อย ๆ ผละตัวออกจากลูกน้อยและเดินไปเอาหูแนบกับกำแพงฝั่งที่ติดกับห้องของหานซือฉีเพื่อแอบฟังสถานการณ์ จากนั้นเธอก็ค่อย ๆ ย่องไปยังห้องของอีกฝ่ายพร้อมกับโทรศัพท์มือถือที่เขาซื้อให้
หญิงสาวตั้งใจจะไปหาหานซือฉีเพื่อขอให้เขาช่วยสอนวิธีใช้โทรศัพท์เครื่องนี้ให้ แต่ทั้งหมดนั่นเป็นแผนเพื่อใช้ในการเข้าหาต่างหาก!
ปกติหานซือฉีจะไม่ล็อกประตูห้องอยู่แล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งสามารถแอบเปิดประตูแล้ววางหนูดินน้ำมันไว้ในห้องของเขาได้ หลังจากเตรียมการทุกอย่างแล้ว เธอก็แสร้งทำเป็นกรีดร้องสาวแตกออกมา “ว้าย!?”
เสียงนั้นทำให้เสียงภายในห้องอาบน้ำเงียบลงทันที หลังจากนั้นไม่นานฝูเจิ้งเจิ้งก็เห็นร่างของหานซือฉีวิ่งออกมาจากห้องน้ำ ทว่าบางสิ่งบางอย่างมันก็ไม่ได้ดั่งใจอีกรอบ
ไอ้ผ้าขนหนูสารเลวนี่อีกแล้ว!
เขายังคงไม่ลืมที่จะคว้าผ้าขนหนูมาคาดเอวไว้ก่อนจะออกมาจากห้องน้ำ
แต่ถ้าทำให้ผ้าขนหนูหลุดได้ล่ะก็ เธอก็จะได้เห็นในสิ่งที่รอคอยมานาน!
ฝูเจิ้งเจิ้งแสร้งทำเป็นตกใจกลัวเอามาก ๆ เธอรีบวิ่งเข้าไปกอดหานซือฉีไว้พร้อมกับตะโกน ‘อย่างหวาดกลัว’ “หนู! มีหนูอยู่ในห้องนี้!”
หานซือฉีขมวดคิ้วมองพฤติกรรมของหญิงสาวที่จู่ ๆ ก็เข้าหาเขาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ พร้อมกับคิดว่าเธอต้องไปกินของผิดสำแดงมาแน่ ๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วมองเธอที่อยู่ในอ้อมแขนสลับกับมองสิ่งที่ถูกตราหน้าว่าเป็น ‘หนู’ ที่มุมกำแพงนั้น เมื่อพบว่าเจ้าสิ่งนั้นมันคืออะไร เขาก็แอบอมยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดอย่างเหนื่อยใจ “สาวน้อย นั่นมันหนูที่ฝูซิงปั้นเอาไว้ โอเคนะ?”
หญิงสาวทำทีว่าเข้าใจได้อย่างง่ายดายและกำลังคิดหาวิธีที่จะดึงผ้าเช็ดตัวของอีกฝ่ายลงอย่างไรให้ได้ผลแน่นอน
ขณะนั้นทันทีที่มือเรียวเล็กข้างหนึ่งได้สัมผัสที่ผ้าเช็ดตัว คนตัวใหญ่ก็อุ้มร่างของหญิงสาวตรงหน้าขึ้นมาและพาเธอไปยังเตียงของเขาอย่างรวดเร็วปล่อยให้ผ้าขนหนูหลุดไปตามแรงกระชากของมือเธอไป
หมอนี่พาฉันหนีจากหนูนั่นเหรอ? น่าสงสัย
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ดูเหมือนจุดประสงค์จะสำเร็จแล้ว เพราะตอนโดนอุ้ม แม้จะหลับตาเพราะแสร้งกลัวหนู แต่ก็รู้สึกได้ว่ามือของเธอมันคว้าเอาผ้าขนหนูตัวปัญหาของอีกฝ่ายมาด้วย ฝูเจิ้งเจิ้งลืมตามองด้วยความอิ่มเอมใจ ทว่า…
หนอย! นี่ใส่ชั้นในไว้แล้วงั้นเหรอ!!
หานซือฉีเตรียมที่จะผละตัวออกไปทำกิจวัตรของเขาต่อ ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบลุกแล้วฉุดดึงเขาลงมาอย่างแรง ชายหนุ่มที่ไม่ทันได้ระวังก็ล้มลงไปบนเตียงอย่างง่ายดายโดยมีร่างเล็กของเธอคร่อมร่างของเขาไว้อีกทีหนึ่ง
ไฝนั่นอยู่แค่เอื้อมแล้ว ถ้าขยับเจ้าผ้าชิ้นบางนี่นิดหน่อย ก็จะสามารถเห็นสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ได้!
นี่เป็นครั้งแรกที่รอมาเนิ่นนาน ในที่สุดฉันก็จะได้เห็นมันสักที! เพราะงั้นตอนนี้ไม่แคร์อะไรแล้ว!
การรูดกางเกงชั้นในของหานซือฉีลงนั้นเกือบทำได้สำเร็จแล้ว ในตอนที่มือเรียวไล้ตามช่วงลำตัวลงไปจนถึงขอบกางเกงตัวน้อย จู่ ๆ ร่างของฝูเจิ้งเจิ้งก็ถูกจับพลิกกลับและกลายเป็นเธอที่ถูกเขาขึ้นคร่อมแทน ภาพสุดท้ายที่ได้เห็นก่อนความตกใจจะกระจายออกมา คือรอยยิ้มที่ชั่วร้ายบนใบหน้าหล่อเหลาของเหยื่อที่แปรเปลี่ยนไปเป็นผู้ล่าในตอนนี้ ฉับพลันความตื่นกลัวนั้นทำให้เธอรู้ว่าบางอย่างเกิดผิดพลาดขึ้นมาแล้ว และด้วยความผิดพลาดนี้ หญิงสาวก็รีบดิ้นหนีเพื่อให้ตนเองหลุดออกจากสถานการณ์ตรงนี้ไปได้
ทว่าหานซือฉีไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้น เขาจับมือทั้งสองข้างของเธอเอาไว้แน่นพร้อมทั้งใช้มืออีกข้างช้อนรวบเอวบางนั้นไว้ให้เธอขยับไปไหนไม่ได้ พลางยิ้มอย่างชั่วร้ายให้คนดวงตกตรงหน้า “จะหนีอีกแล้วเหรอ? แต่สภาพแบบนี้คิดว่าฉันจะปล่อยให้หนีได้อีกหรือไง?” ในเมื่อเข้าถ้ำเสือมาแล้วก็จงกลายเป็นเหยื่อซะดี ๆ
“ปล่อยฉันนะคะคุณหาน! คุณเข้าใจผิดแล้ว!” ความกดดันและความกลัวในใจของหญิงสาวตอนนี้ผสมกันมั่วไปหมด ภายใต้รอยยิ้มเจื่อนบนใบหน้านั้นมันกำลังพยายามขอโทษแทนคำพูดของตัวเธอเองอยู่
“เข้าใจผิด? แต่เธอดันมากระตุ้นความอยากของฉันแล้ว ไม่คิดจะรับผิดชอบหน่อยหรือไง?” เขาไม่ฟังคำแก้ตัวใด ๆ ของเธอทั้งนั้น พลางขยับใบหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายทีละนิด
ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามดิ้นจนสุดแรงสลับกับพูดแก้ต่างไปเรื่อย ๆ “แบบนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับคุณหานฉุดคนไร้บ้านมาทำเรื่องแบบนี้เลยนะคะ!! รีบ ๆ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลย นี่! ได้ยินหรือเปล่าน่ะ!? ถ้ายังไม่หยุดฉันจะตะโกนร้องให้คนอื่นมาช่วยนะคะ!”
สีหน้าพึงพอใจนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแม้หญิงสาวจะขู่ร้องขอให้คนอื่นช่วย
แม้การกระทำของหานซือฉีจะช่ำชองนุ่มนวลอยู่มากจนเธอเริ่มจะคล้อยตาม แต่หากคนตรงหน้าเป็นเหนียนซี่แล้วล่ะก็ บางทีเธออาจเผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความหวานฉ่ำที่ห่างหายกันไปนานแล้วก็ได้ แต่นี่มัน…
ชายคนนี้ไม่ใช่เหนียนซี่!
ไม่ใช่เหนียนซี่ที่ฉันเฝ้าคิดถึงคะนึงหาแน่ ๆ!
หญิงสาวรีบหันหน้าไปทางประตูก่อนจะตะโกนออกมา “ฝูซิง ทำไมลูกมาอยู่ตรงนั้นน่ะ!?”
ได้ยินเช่นนั้น หานซือฉีก็รีบพลิกตัวออกจากร่างของอีกฝ่ายและคว้าเอาผ้าขนหนูที่เคยหลุดก่อนหน้านี้มาคลุมตัวไว้ทันที แต่เมื่อเขามองกลับไปยังทิศทางที่เธอเรียกฝูซิง มันก็กลับกลายเป็นความว่างเปล่า
นี่เขาโดนหลอกเสียแล้ว! ครั้นเมื่อจะหันไปตำหนิฝูเจิ้งเจิ้ง ร่างบางก็ลุกออกจากที่เดิมเสียแล้ว
“น-นายไม่ใช่เหนียนซี่!” ฝูเจิ้งเจิ้งบ่นพึมพำด้วยความผิดหวัง
เมื่อตอนที่เธอแสร้งว่าฝูซิงมายืนมองนั้น เธอใช้โอกาสที่มีก้มดูต้นขาของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว และพบว่าตรงบริเวณนั้นไม่มีแม้กระทั่งรอยแผลใด ๆ เพราะงั้นไม่ต้องพูดถึงไฝเลย!
หานซือฉีเปิดผ้าขนหนูออกและมองไปยังช่วงล่างของตนเอง จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นและใช้ผ้าขนหนูผืนเดิมห่อร่างกายช่วงล่างเอาไว้ พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ “ฉันก็บอกเธอไปตั้งแต่แรกแล้วว่าฉันไม่ใช่เหนียนซี่ แต่เธอก็ไม่เชื่อฉันเองนี่”
ฝูเจิ้งเจิ้งส่ายหน้าไล่ความคิดในหัวออก “ก็ฉันไม่เชื่อนี่ว่าบนโลกนี้จะมีชายที่เหมือนกับเหนียนซี่ได้ขนาดนี้ แต่ตอนนี้ฉันเชื่อแล้ว”
สิ้นเสียงของเธอ ร่างบางก็หนีออกจากห้องของชายหนุ่มไปอย่างรวดเร็ว
มองไปยังร่างบางที่เพิ่งจะเดินจากเขาไป หานซือฉีก็รู้สึกราวกับอกหักอยู่ลึก ๆ แม้จะอ้าปากราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในเวลานี้กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
หลังจากที่กลับไปอาบน้ำต่อให้เสร็จ ชายหนุ่มก็หาชุดใส่สบายมาสวมก่อนจะเดินไปยืนอยู่ที่หน้าห้องของฝูเจิ้งเจิ้ง เขายกมือขึ้นหมายจะเคาะประตูแต่สุดท้ายก็หยุดมือและหันหลัง
เขารู้ดีว่าตนเองนั้นไม่ใช่เหนียนซี่ แถมยังบอกฝูเจิ้งเจิ้งไปตั้งหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ไม่เคยเชื่อเขาเลยจนต้องมาเห็นด้วยตาตนเองแบบนี้
ตลอดมาการที่ฝูเจิ้งเจิ้งคิดว่าเขาเป็นเหนียนซี่นั้น เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอเข้าหาเขา
เหนียนซี่คนนั้นช่างเป็นคนที่ดีเหลือเกินนะ!
ความอิจฉาและหงุดหงิดที่ฝูเจิ้งเจิ้งเอาแต่คิดถึงเหนียนซี่มันแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกสูญเสียที่ค่อย ๆ กัดกินหัวใจของหานซือฉีอยู่ทีละนิด
มือหนาคว้าเอาเสื้อคลุมมาสวมก่อนจะเดินออกไปยังระเบียงเล็ก ๆ ที่ยื่นออกไปของคฤหาสน์หลังนี้ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าที่แห่งนั้นจะมีฝูเจิ้งเจิ้งนอนขดตัวกลมอยู่บนม้านั่งด้วย
ที่ชั้น 2 นั้น ห้องทุกห้องสามารถเดินเข้ามายังระเบียงเล็ก ๆ นี่จากห้องตนเองได้ทั้งหมด
แสงจันทร์นวลผ่องที่สาดส่องลงมาบนผืนโลกในค่ำคืนนี้ดูเย็นเยือกกว่าในทุก ๆ วัน แล้วยิ่งบรรยากาศโดยรอบนี้มันเงียบเชียบไม่มีแม้แต่เสียงแมลงที่บินไปมาก็ยิ่งหวนให้คิดว่าโลกใบนี้ไม่เหลือใครอีกแล้วนอกจากเขาและเธอ
เจ้าของร่างบางที่นอนขดนั้นยังสวมเสื้อบาง ๆ ตัวเดิมอยู่ เธอค่อย ๆ ลุกมานั่งกอดเข่าและซุกใบหน้าลงไปกับเข่าที่กอดเอาไว้จนมิด
เห็นเช่นนั้นแล้วหานซือฉีก็ถอดเสื้อคลุมของตนและสวมให้อีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล
ฝูเจิ้งเจิ้งสะดุ้งราวกับตื่นขึ้นมาจากความฝัน เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามานั้นเป็นหานซือฉี เธอก็ประหลาดใจและกระชับเข่าที่กอดไว้ให้แน่นขึ้นก่อนจะก้มหน้าซุกลงไปตามเดิม
แววตาที่ไร้ความสดใสของหญิงสาวทำให้เขารู้สึกเศร้าใจอย่างประหลาด หานซือฉีค่อย ๆ นั่งลงข้าง ๆ และพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เล่าเรื่องเหนียนซี่ให้ฉันฟังหน่อยสิ”
จริง ๆ ก็อยากจะพูดอย่างอื่นต่อ แต่แค่คำถามแรกก็รู้สึกแล้วว่าคอแห้งผาก ดังนั้นหานซือฉีจึงหยุดไว้แค่คำถามนั้นและนั่งเงียบ ๆ รอฟังอีกฝ่ายพูดแทน
“เหนียนซี่…คือคนที่บังเอิญผ่านเข้ามาในชีวิตของฉัน…แล้วก็หายตัวไป บางทีฉันอาจไม่ควรเจอเขาเลยในชีวิตนี้” เสียงของฝูเจิ้งเจิ้งเองก็ไม่ได้ชัดเจนนัก มันแผ่วเบาเหมือนเสียงลมแต่ก็ยังพอจะจับใจความได้
“อย่าเพิ่งมองโลกในแง่ร้ายสิ บางที…” ชายหนุ่มพูดต่อด้วยเสียงที่นุ่มทุ้มราวกับต้องการปลอบประโลมหญิงสาว
“บนโลกนี้ไม่มีคำว่า ‘บางที’ หรอกนะคะ หรือถ้าจะมีปาฏิหาริย์อะไร ฉันก็อยากให้มันเป็น ‘ถ้า’ เสียมากกว่า ถ้าเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้น ชีวิตก็คงไม่มีอะไรที่ต้องมาเสียใจ”
“เธอเสียใจที่มีฝูซิงเหรอ?”
“ไม่คะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งเถียงทันควัน “ฉันไม่เคยเสียใจเลยที่ให้กำเนิดฝูซิงออกมา ฉันตั้งชื่อเขาว่าฝูซิง ก็เพราะว่าอยากจะบอกเขาว่าเขาเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของฉัน ไม่ว่าเหนียนซี่จะมีตัวตนในชีวิตฉันหรือไม่ ยังไงฝูซิงก็จะเป็นดวงดาวแห่งความโชคดีของฉันเสมอ”
“ฉันติดหนี้ฝูซิงในการที่ทำให้เด็กคนนี้มาเป็นความสุขของฉัน”
ใบหน้าคมเข้มหันไปมองยังดวงดาวดวงน้อยที่กระจัดกระจายอยู่บนฟากฟ้าก่อนที่จะค่อย ๆ ผลิยิ้มน้อย ๆ ออกมา “ฝูซิง…ดวงดาวแห่งความโชคดี เด็กคนนั้นคือดวงดาวแห่งความโชคดีของเธอสินะ”
“แต่…” หญิงสาวสะอื้น “ถึงฉันจะไม่เคยเสียใจที่ให้กำเนิดฝูซิง แต่ฉันต้องเสียเหนียนซี่ไป มันทำให้ฝูซิงไม่มีพ่อ…และทำให้ชีวิตของพวกเราไม่สมบูรณ์”
หานซือฉีไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเพียงยกมือขึ้นโอบไหล่ของเธอและโน้มให้ร่างนั้นมาซบเขาอย่างแผ่วเบาเท่านั้น การกระทำที่อ่อนโยนเช่นนี้เป็นเหมือนการบอกเธอว่าเขาไม่ได้ล้อเล่นกับเธอในตอนนี้
ฝูเจิ้งเจิ้งนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะยอมซบลงไปที่ไหล่ของหานซือฉีในที่สุดด้วยสีหน้าที่พยายามอดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
หลายปีมานี้เธอพยายามจัดการอารมณ์ของตนเองอย่างหนักมาตลอด ด้วยความเชื่อว่าตัวเองจะต้องเข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่คิดเลยว่าท้ายที่สุดทุกอย่างก็มาพังทลายเมื่ออยู่ต่อหน้าชายที่คล้ายกับเหนียนซี่เช่นนี้
ไม่อยากร้องไห้เลย…
ทั้ง ๆ ที่หานซือฉีเป็นคนมอบความหวังและทำลายมันด้วยตัวเขาเองแท้ ๆ …
น้ำตาที่อดกลั้นมาตลอด 6 ปี กำลังหลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย บางทีนี่คงถึงเวลาที่จะปล่อยให้น้ำตาได้ระบายความเศร้าในใจของเธอออกมาบ้าง คงจะถึงเวลาที่ต้องลืมสิ่งที่รัดตรึงเธอเอาไว้กับความทุกข์และเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที
หญิงสาวไม่ได้ปิดกั้นความรู้สึกของเธออีกต่อไป และน้ำตาก็เหมือนสายน้ำที่กำลังชำระล้างความโศกเศร้าภายในใจให้ละลายออกไป
ตามตรงแล้ว แต่เดิมหานซือฉีถือเป็นเป้าหมายที่เธอต้องมาคอยตามสืบในครั้งนี้ แม้จะมีความลังเลเรื่องอีกฝ่ายเหมือนเหนียนซี่มากเกินไป แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็ตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าอย่างไร ความรักกับหน้าที่ก็ไม่สามารถหักล้างกันได้ เธอจะฉีกความเห็นใจออกเป็นชิ้น ๆ แล้วทำงานให้สำเร็จ หรือต่อให้หานซือฉีจะไม่ใช่เหนียนซี่จริง ๆ งานนี้ก็จะยิ่งง่ายขึ้นไปอีกเพราะเธอจะได้ห่วงแค่หน้าที่ที่ได้รับมาเท่านั้น แต่ทำไมกัน…ทำไมจู่ ๆ เรื่องนี้ก็กลายเป็นปัญหาให้เธอคิดหนักอีกแล้ว…
ก็รู้แหละว่าความสับสนในการลงมือมันเกิดขึ้นหลังจากที่ได้เห็นด้านที่อ่อนโยนและเป็นสุภาพบุรุษของหานซือฉี มันต่างกันโดยสิ้นเชิงกับนิสัยเจ้าชู้ไม่เลือกหน้าของเขา
ไม่ได้นะ! ฉันจะมาลังเลเพราะเรื่องแบบนี้ไม่ได้! ฉันต้องไม่ลืมถึงหน้าที่ของตัวเอง! ถ้าไม่สามารถทำงานของตนให้ลุล่วงได้ ฉันก็ไม่เหมาะที่จะสวมเครื่องแบบนี้ต่อไปแล้ว!
ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะต้องจริงจังกับการสืบสวนข้อมูลของคดีนี้ให้ได้ เพื่อจะได้ปิดคดีบ้า ๆ นี่ให้เร็วที่สุด จากนั้นฉันก็จะพาตัวเองและฝูซิงออกจากเมืองนี้ไปเริ่มต้นใหม่กับชีวิตแม่ลูกที่สดใส!
เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็ผละตนเองออกจากหานซือฉีทันที ทว่าตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นมา มันเลยกลายเป็นว่าเขาเข้าใจว่าเธอผลักเขาเพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์ไปแทน และเพราะเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงยิ้มน้อย ๆ ให้กับสาวน้อยที่เพิ่งหลุดจากอ้อมแขนของเขา
แต่เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูชื่อสายที่โทรเข้าแล้ว หานซือฉีก็ไม่ได้กดรับแต่อย่างใด เขาเพียงแค่พูดกับเธอ “นี่มันก็ดึกมากแล้ว เข้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้างนอกนี่ยิ่งดึกก็จะยิ่งหนาวด้วย”
ฝูเจิ้งเจิ้งพยักหน้ารับ ส่วนหานซือฉีก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายขณะเดินกลับห้องของตนเองไปด้วย
จริง ๆ แล้วเธอเองก็เห็นแหละว่าชื่อที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์นั้นคือฟู่เหวินไห่ เพราะงั้นจึงพยายามเดินช้า ๆ แต่ดูเหมือนว่าหานซือฉีจะไม่ยอมรับโทรศัพท์จนกว่าหญิงสาวจะเดินเข้าห้อง มันเลยทำให้เธอไม่ได้ข้อมูลว่าทั้งสองคุยอะไรกันกลางดึกเช่นนี้
ทว่าด้วยการที่มันน่าสงสัยนี่แหละ ฝูเจิ้งเจิ้งเลยแค่แสร้งทำเป็นจะเข้าห้องให้อีกฝ่ายคลายความกังวล เธอรอจนกระทั่งหานซือฉีกลับเข้าห้องไปแล้วถึงได้ย่องเบามาแอบฟังที่มุมอับสายตามุมหนึ่ง และได้ยินเพียงแค่ “ร้านอาหาร” เท่านั้น
และไม่นานจากนั้น หานซือฉีก็ลงบันไดพร้อมกับขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้อยู่ในอารมณ์โศกเศร้าแล้ว เธอกำลังคาดเดาว่าหานซือฉียอมออกจากบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ เช่นนี้เพื่อไปคุยอะไรกับฟู่เหวินไห่กันแน่
ทำไมบริษัทเว่ยหานถึงไม่ยอมรับในบริษัทผลิตวัสดุอย่างเหวินไห่กันนะ? หรือว่ามีตัวแปรอื่นที่น่าสนใจกว่า?
หันกลับมามองยังฝูซิงที่กำลังหลับอยู่ ฝูเจิ้งเจิ้งก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์เครื่องเล็ก ๆ มาส่งข้อความให้หยางเต๋าเพื่อขอให้เขาช่วยตรวจสอบข้อมูลที่ภัตตาคารเหมยลี่ให้เธอที
ขณะที่หญิงสาวเตรียมจะล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้ว เธอก็พบว่าตนเองยังสวมเสื้อคลุมของหานซือฉีอยู่ ทันใดนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็พูดกับตัวเองขึ้นมา “ฝูเจิ้งเจิ้ง เธอต้องจำไว้ว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หานซือฉีคือหานซือฉี! เขาไม่ใช่ใครที่ฉันเคยรู้จักในอดีตทั้งนั้น!”
เดือนพฤศจิกายนนั้นเป็นจุดสิ้นสุดของฤดูใบไม้ร่วง ในขณะเดียวกันมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของฤดูหนาว ดังนั้นช่วงเวลานี้ อากาศจึงค่อย ๆ ลดอุณหภูมิต่ำลงในทุก ๆ วัน ด้วยลมที่พัดเย็นในแต่ละวันนี้เอง มันก็ทำให้ใบไม้แห้งถูกพัดให้หลุดจากกิ่งก้านร่วงหล่นสู่พื้นดินอย่างง่ายดาย
มือเรียวสวยจับมือของเด็กน้อยเอาไว้ ด้วยความเป็นเด็กฉลาดเกินวัย เขารู้สึกได้ว่ามีสิ่งผิดปกติ เจ้าตัวเล็กจึงเงยหน้ามาถามด้วยความกังวล “หม่ามี๊ ทำไมหม่ามี๊ไม่ไปทำงานพร้อมป๊ะป๋าล่ะ? ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ?”
“ไม่นี่ ทำไมหม่ามี๊ต้องทะเลาะด้วยล่ะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามข่มอารมณ์ตนเองไว้ขณะหันไปตอบคำถามลูกชายของตน
ลึก ๆ แล้วตัวเธอเองก็อยู่ในอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนักตั้งแต่ 2 วันก่อนแล้ว และด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีนี้มันเลยพลอยทำให้เธอไม่มีกะจิตกะใจจะทำอย่างอื่นไปด้วย ส่วนเหตุผลนั้นคืออะไร เธอเองรู้ดีอยู่แล้ว
“ถ้าเป็นแบบนั้นฝูซิงก็ค่อยโล่งใจหน่อย ฝูซิงเป็นห่วงหม่ามี๊นะ”
ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าลูกชายตัวน้อยของเธอมีความคิดที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมานิดหน่อย เขาน่ะเป็นคนที่ปลอบเธอเก่งที่สุดเลย
ในขณะที่หญิงสาวกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นใครบางคนก็เข้ามาจับแขนของเธอไว้จากข้างทาง
สัญชาตญาณของฝูเจิ้งเจิ้งทำงานทันที และการตอบสนองที่เร็วกว่าคนปกติก็สั่งให้เธอสะบัดมือนั้นออกเพื่อมาปกป้องลูกชายของตนเองไว้
—————————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
เผลอตื่นเต้นไปแว้บนึง นึกว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะยอมเปิดใจกับหานซือฉีซะแล้ว…อยากเห็นครอบครัวสุขสันต์จัง ฮือออออ
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-