ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 28 คลั่งรัก
บทที่ 28 คลั่งรัก
ขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังหวั่นใจอยู่นั้น หานซือฉีก็หยิบต่างหูออกมาคู่หนึ่ง “เธอหาเจ้านี่อยู่หรือเปล่า?”
“ทำไมมันถึงไปอยู่กับคุณหานได้ล่ะคะ? ขนาดฉันยังไม่รู้เลยว่ามันไปตกอยู่ที่ไหน” เธอมองไปยังต่างหูคู่นั้นด้วยความตกใจและรีบตอบไปในทันที ฝูเจิ้งเจิ้งแสร้งทำเป็นดีอกดีใจขณะยื่นมือไปรับสิ่งนั้นมา “เมื่อวานฉันหาไปทั่วทุกที่เลย”
เธอทำต่างหูตกจริง ๆ เมื่อวาน แต่ไม่รู้ว่ามันไปตกอยู่ที่ไหน พอเห็นว่าหานซือฉีเก็บได้ เธอก็แอบขอบคุณพระเจ้าอยู่ในใจที่ได้ช่วยเธอไว้ในครั้งนี้
ทว่าหานซือฉีกลับไม่ยอมส่งต่างหูคืนให้หญิงสาวแต่โดยดี “แต่ฉันเจอมันที่บ้านนะ”
มือเรียวสวยของหญิงสาวชะงักไปกลางอากาศ เธอรีบตอบกลับด้วยเสียงตะกุกตะกักเพราะไม่ทันตั้งตัว “เอ่อ…ฉ-ฉันจำไม่ได้ว่าไปทำตกที่ไหนน่ะค่ะ ฉันเลยต้องหาไปซะทุกที่เลย พ-เพราะว่ามัน เอ่อ…เป็นต่างหูที่ฉันชอบใส่ก็เลยต้องหาให้เจอ…”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างพึงพอใจกับคำตอบของเธอก่อนจะส่งต่างหูคู่นั้นให้เธอ “ในเมื่อเธอชอบมันมาก ๆ เธอก็ควรจะดูแลมันให้ดี ๆ เพราะไม่ใช่ทุกสิ่งที่หายไปแล้วจะหาเจอได้ตลอดนะ”
แม้ว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะแอบทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาจากกรมตำรวจที่เธอประจำการอย่างลึกลับขนาดไหนก็ตาม แต่เธอก็ไม่อาจรู้เลยว่าทุกการกระทำของเธอไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือที่ออฟฟิศนั้นล้วนอยู่ในสายตาของหานซือฉีทั้งสิ้น ส่วนหานซือฉีเองก็ประหลาดใจเช่นกันที่เห็นว่าหญิงสาวกำลังพยายามจะหาอะไรบางอย่างด้วยความตั้งอกตั้งใจ และเมื่อเขาก้มไปดูใต้โต๊ะทำงานตนเองก็พบต่างหูคู่นี้ตกอยู่แล้ว
มือที่ยื่นไปรับต่างหูคืนมาจากอีกฝ่ายนั้นสั่นอยู่น้อย ๆ สถานการณ์ในตอนนี้ช่างน่าตื่นเต้นจนหัวใจจะวาย
หานซือฉีปิดจอโน๊ตบุ๊คที่ปิดเครื่องไปแล้วก่อนจะส่งบัตรเงินสดให้เธอ “ซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเองด้วยตอนที่ไปช่วยหลิงหลงซื้อของบ่ายนี้ ฤดูหนาวจะหนาวลงเรื่อย ๆ อีก”
แม้จะสัมผัสโดนผิวกันเพียงเล็กน้อย แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็แทบอยากจะถอยหนีแล้ว นั่นเพราะเธอไม่อยากเข้าใกล้เขาไปมากกว่านี้
“มันเป็นเงินเดือนในอนาคตของเธอ ใช้มันซะบ้าง ชีวิตนี้เธอคิดจะมีเสื้อผ้าแค่ 2 ชุดหรือไง? ถึงยังไงเธอก็เป็นเลขาของฉัน อย่าให้คนนอกมองว่าพนักงานบริษัทเว่ยหานอับจนสิ”
“ฉัน…เอ่อ…” หมดคำพูด ท้ายที่สุดฝูเจิ้งเจิ้งก็ได้แต่จำใจยอมรับว่าที่เขาพูดมานั้นถูกทั้งหมด
ตั้งแต่ที่เธอเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านของหานซือฉี เธอไม่มีอะไรติดตัวอีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่ชีวิตคงจะต้องยากลำบาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหานซือฉีช่วยเธอไว้ให้กลับมาอยู่แบบปกติได้เช่นนี้ และด้วยความเกรงใจ ฝูเจิ้งเจิ้งจึงเลือกเอาชุดที่หานซือฉีเตรียมไว้ให้มาเก็บไว้แค่ 2 ชุดเท่านั้น
“แต่ไปกินข้าวเที่ยงกันก่อน” หานซือฉีพูดในเชิงให้เธอไปกินข้าวกลางวันกับเขาด้วยกัน
“เอ่อ… เดี๋ยวฉันไปทานกับสวี่เหยียนดีกว่าค่ะ”
“งั้นกินเสร็จแล้วก็ไปรอหลิงหลงที่ประตูห้างเทียนหงตอนบ่ายโมงตรง เดี๋ยวฉันจะบอกให้จงจู่ส่งเบอร์ของหลิงหลงให้เธออีกทีก็แล้วกัน” เขาไม่ตอแย หลังพูดจบก็ปลีกตัวเข้าลิฟต์ไปทันที
การที่สามารถไปช็อปปิ้งได้โดยไม่ต้องทำงานแบบนี้มันหมายถึงฉันมีวันหยุดครึ่งวันหรือเปล่านะ? ฝูเจิ้งเจิ้งยืนมองลิฟต์อยู่แบบนั้นพร้อมกับบ่นอุบอิบไปพลาง
“คุณหานไปแล้ว เธอยังรออะไรอยู่น่ะ?” ทันใดนั้นเอง สวี่เหยียนก็โผล่มาด้านหลังของเธอแบบไม่ทันให้ตั้งตัว
ตามปกติแล้วสวี่เหยียนจะคอยระวังการกระทำในบริษัทอยู่ตลอด แต่ก็มีบ่อยครั้งที่เธอหาโอกาสมาแกล้งแหย่เล่นกับฝูเจิ้งเจิ้งบ้าง ทั้งสองจะได้คุยกันก็ต่อเมื่ออยู่ด้วยกันสองต่อสองเท่านั้น
ฝูเจิ้งเจิ้งส่ายหน้ารัว ๆ แล้วหันไปมองต้นเสียง “พูดอะไรน่ะ!?”
“เอาน่า ๆ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวไปหรอก นี่ บอกฉันหน่อยสิ ว่าเธอตกหลุมรักคุณหานหรือเปล่า?” สวี่เหยียนเข้ามากระซิบถามข้างหู
“ไม่มีทาง!”
สวี่เหยียนปิดปากหัวเราะคิกคัก “โอ๊ะ ดูเธอสิ ไหนบอกไม่ได้คิดอะไรไง จะอายทำไมล่ะ? คุณหานน่ะยังหนุ่มยังแน่น หัวคิดก้าวหน้าแล้วไหนจะยังหล่ออีก ในบริษัทนี้มีผู้หญิงอีกตั้งหลายคนที่คลั่งไคล้เขาแบบสุด ๆ เลย มันไม่แปลกหรอกถ้าพวกเราจะหลงรักคนแบบนั้น นี่ถ้าหากฉันไม่มีแฟนอยู่แล้วฉันก็คงเป็น 1 ในสาว ๆ ที่คลั่งรักเขาเหมือนกัน”
“เธอก็พูดเกินไป แต่เรื่องที่เขาสาว ๆ เยอะมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แบบนั้นมันก็หมายถึงว่าตัวเขามีผู้หญิงอยู่รอบตัวไม่ขาดไม่ใช่หรือไง? ก็แค่ผู้ชายที่คอยหาผู้หญิงไปนอนด้วยเหมือนของเล่นเท่านั้นแหละ” ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้รู้ตัวเลยว่าขณะที่พูดนั้นเธอกัดฟันอยู่ตลอดเวลา
“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดไปสิ ถึงคุณหานจะมีสาว ๆ ห้อมล้อมขนาดไหน แต่ก็มีไม่กี่คนหรอกนะที่จะเอาชนะใจเขาได้แล้วก็ได้ขึ้นเตียงกับเขาน่ะ”
“จ้า ๆ ถ้าเธอยังไม่หยุดพูดถึงเขาฉันคงกินข้าวเย็นไม่คุ้มแน่” ฝูเจิ้งเจิ้งทำท่าเหมือนจะอ้วก
เห็นดังนั้นสวี่เหยียนก็ยิ้มและควงแขนฝูเจิ้งเจิ้งไว้ก่อนจะเดินเข้าลิฟต์ไปด้วยกัน “ฉันก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ต่อให้คุณหานหันมาชอบพวกเราจริง ๆ พวกเราก็คงจะตอบรับไม่ได้หรอกใช่ไหมล่ะ?”
“ทำไมล่ะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งสงสัย
“แค่เรื่องสถานะก็ห่างกันไปไกลแล้ว เธอคิดว่าเขาจะพอใจแค่กับผู้หญิงคนเดียวเหรอ? ไม่มีทาง เต็มที่เขาก็อยู่ด้วยแค่ 3 นาที อย่าลืมว่านอกจากพวกเราแล้ว ผู้หญิงเกือบทั้งประเทศนี้ก็พร้อมเป็นศัตรูกับเราได้ตลอดนะ เธอจะกล้าเผชิญหน้ากับคนพวกนี้หรือเปล่า? เพราะงั้นหาคนที่ธรรมดา ๆ เหมือนกับพวกเราดีกว่า ว่าไหมล่ะ?”
“นั่นสินะ” ถึงแม้ว่าปากจะพูดแบบนั้น แต่ในใจของฝูเจิ้งเจิ้งก็ยังแอบรู้สึกอิจฉาคนที่หานซือฉีเลือกอยู่ดี
เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งมีท่าทีแปลกไป สวี่เหยียนก็รีบถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง “เจิ้งเจิ้ง เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ม-ไม่เป็นไร ฉันสบายดี” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบฝืนยิ้มตอบ
“ท่าทีแบบนี้…เจิ้งเจิ้ง เธอตกหลุมรักคุณหานจริง ๆ เหรอ? ฉันแค่แซวเล่นเองนะ” สวี่เหยียนค่อย ๆ ยิ้มน้อย ๆ ออกมา เธอกุมมือของฝูเจิ้งเจิ้งไว้แน่นแล้วเอ่ยต่อด้วยความจริงใจและจริงจัง “เธอต้องไม่ลืมว่าเธอเป็นแม่คนแล้ว ยังมีสาว ๆ ที่เป็นชนชั้นสูงอีกมากมายที่จ้องจะแต่งงานกับเขาอยู่ เว้นแต่ว่าฝูซิงจะเป็นลูกแท้ ๆ ของเขาจริง ๆ วิธีอื่นฉันก็คิดไม่ออกแล้ว เพราะงั้นถ้าเธอคิดจะรัก เธอก็ต้องเตรียมตัวที่จะเจ็บด้วยนะ”
ฝูเจิ้งเจิ้งรับฟังและลูบมือของสวี่เหยียนกลับไป เธอแกล้งยิ้มบาง ๆ “เธอกำลังคิดอะไรอยู่น่ะ? ก็บอกไปแล้วไงว่าช่วงนี้ที่ดูแปรปรวนก็เพราะเป็นช่วงวันนั้นของเดือน ฉันไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ”
“ดีแล้ว” สวี่เหยียนโล่งอก
หลังจากที่ปรับความเข้าใจกันแล้ว ทั้งสองก็ตรงไปร้านอาหารด้วยกันพร้อมรอยยิ้ม
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบกินข้าวจนเสร็จก่อนจะจัดเสื้อผ้าตนเองให้เรียบร้อยและเดินทางไปยังห้างสรรพสินค้าเทียนหงต่อในทันที
ไม่นานนักหลังจากที่เธอมาถึงแล้ว หญิงสาวคนหนึ่งผู้สวมชุดเดรสสีดำยาวก็ปรากฏตัวขึ้น ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเดินเข้าไปทักทายก่อนในทันที “เอ่อ สวัสดีค่ะ ใช่คุณจูไหมคะ?”
หญิงสาวผู้ที่โดนทักหันมามองต้นเสียงก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมยาว ขาวเพรียว ใบหน้าสะสวย หูยยยย ตรงตามที่จงจู่บอกเลย คุณเจิ้งเจิ้ง ใช่ไหมคะ? ฉันชื่อจูหลิงหลง แต่เรียกแค่หลิงหลงก็ได้นะคะ”
ท่าทีอันเป็นธรรมชาติที่แฝงไปด้วยความสง่างามของจูหลิงหลงนั้นทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกประทับใจมากตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเธอ เธอค่อย ๆ ยื่นมือออกไปหมายจะจับมือทักทายอย่างเป็นทางการ
ทว่าจูหลิงหลงกลับไม่ได้สนใจที่จะจับมือกับฝูเจิ้งเจิ้งแต่อย่างใด กลับกัน เธอเข้าไปกอดแขนข้างที่ยื่นออกมาของฝูเจิ้งเจิ้งและลากเข้าห้างไป
ทั้งสองพากันเดินไปทั่วห้างตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็น รู้ตัวอีกทีทั้งสองแขนของฝูเจิ้งเจิ้งก็มีแต่ถุงต่าง ๆ เต็มไปหมดแล้ว “เฮ้อ…”
แต่เดิมเธอตั้งใจจะมาซื้อเสื้อผ้ากับจูหลิงหลงเพียงไม่กี่ชุด แต่เพราะจูหลิงหลงนั้นใจดีพร้อมทั้งยังช่วยเธอเลือกเสื้อผ้าสวย ๆ อีกมากมาย ไหนจะเสื้อผ้าแพง ๆ อีก เธอคนนั้นเชียร์ฝูเจิ้งเจิ้งจนใจอ่อนและซื้อเสื้อผ้าเหล่านี้ไปในที่สุด
หันมองรูปร่างของตนเองที่สะท้อนอยู่บนกระจกแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็อดที่จะหนักใจไม่ได้
“ไม่นึกเลยว่าจะได้มาใส่เสื้อผ้าแบบนี้…ไม่นึกด้วยว่าหุ่นของฉันจะใส่เสื้อผ้าแบบนี้ได้…”
เธอรีบส่ายหน้าเพื่อไล่ความหลงตัวเองที่ติดอยู่ในหัวออกก่อนจะยื่นมือออกไปเพื่อโบกแท็กซี่ ซึ่งในตอนนั้นฝูซิงโทรมาเร่งให้เธอรีบกลับบ้านไปกินข้าวเย็นด้วยกันแล้ว
เมื่อเห็นว่ามีแท็กซี่ว่างเข้ามาในระยะสายตา ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบวิ่งเข้าไปหมายจะโบกรถให้ทัน ทว่าเธอกลับชนเข้ากับชายอีกคนหนึ่งจนเสื้อผ้าที่ซื้อไว้กระจัดกระจายไปตามพื้น
*ตึง!*
“อั่ก—–”
แต่ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้จมอยู่กับความเจ็บปวดแต่อย่างใด เธอรีบลุกขึ้นและเก็บถุงต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว
ไม่เพียงแต่ฝูเจิ้งเจิ้งเท่านั้น เพราะชายที่ชนเธอเองก็รีบลุกแล้วเก็บของต่าง ๆ ของเขาด้วยเช่นกัน สองมือคว้าเอาสิ่งของของตนเองอย่างรวดเร็วก่อนจะหัวกระแทกเข้าด้วยกันอีกครั้ง คราวนี้ทางฝ่ายหญิงสาวรู้สึกไม่โอเคแล้ว เธอรีบเก็บของให้เสร็จ ๆ แล้วถามขึ้นด้วยเสียงที่เกรี้ยวกราด “เป็นบ้าอะไรน่ะห๊ะ!”
ชายตรงหน้าเธอเองก็รีบเก็บของแล้วยืนขึ้น เขาเลือกที่จะไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเธอ แต่ยื่นมือไปเปิดประตูรถแท็กซี่ที่มาจอดเทียบโดยไม่หันไปมองฝูเจิ้งเจิ้งเลย
ไม่โอเคแล้ว
หญิงสาวรีบดันชายหนุ่มคนนี้ออกห่างจากประตูด้วยตัวของเธอเอง “ฉันโบกแท็กซี่คันนี้ก่อนนะ!”
“นี่คุณผู้หญิง ช่วยรออีกคันเถอะนะ ผมรีบจริง ๆ” น้ำเสียงของชายคนนั้นเยือกเย็นและไม่เปิดโอกาสให้คู่สนทนาได้เถียงต่อแต่อย่างใด
“ฉันเองก็รีบเหมือนกันนะ เพราะงั้นนายก็ไปรอคันต่อไปสิ!” ฝูเจิ้งเจิ้งยืนพิงประตูไว้เพื่อกันชายตรงหน้าเข้ามาเปิดประตูอีก
“อ๊ะ นาย!?”
เมื่อได้เห็นหน้าของอีกฝ่ายชัด ๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็เหมือนแมวที่พองขนเวลาเจอศัตรูในทันที
“เธออีกแล้วเหรอ?”
ชายหนุ่มคนนั้นเองก็ส่งเสียงประหลาดใจออกมาเมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งคือคนที่เขาเกือบจะต้องลงไม้ลงมือด้วยเมื่อครั้งที่อยู่สวนสนุกตอนนั้น
ความประทับใจในครั้งแรกของเธอเป็น 0 ดังนั้นแล้ว ในสถานการณ์แบบนี้เธอจึงไม่มีที่ว่างให้สำหรับการอ่อนข้อทั้งนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งขมวดคิ้วก่อนจะเริ่มพูดด้วยความท้าทาย “เออ เป็นฉันแล้วจะทำไม อยากจะสู้ให้รู้ดำรู้แดงไปเลยไหมล่ะ?”
ระหว่างนั้นเอง คนขับแท็กซี่ก็เลื่อนกระจกรถลงมาและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรีบร้อน “ใครจะขึ้นก็รีบ ๆ ขึ้นมาสิครับ! จอดนานมันทับคิวคันอื่นนะ!”
“ฉัน!”
“ฉัน!”
ทั้งสองพูดพร้อมกันก่อนจะหันกลับมาขมวดคิ้วใส่กันอย่างไม่พอใจในเวลาเดียวกัน
หลังจากที่มองฝูเจิ้งเจิ้งอยู่ราว 2 วินาที น้ำเสียงของชายตรงหน้าก็นุ่มลง “ฉันต้องขอโทษจริง ๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้นนะยัยหนู เอาล่ะ จบเรื่องนะ จะรีบไปแล้ว”
ในเวลานี้ ไม่ว่าน้ำเสียงนั่นจะอ่อนโยนขนาดไหน แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ความโกรธเกรี้ยวของฝูเจิ้งเจิ้งลดลงเลย “นายสิอีตัว[1] ! ถ้าจะเรียกก็ไปเรียกเมียนายนู่น! ผู้หญิงที่นายซื้อเสื้อผ้าให้นั่นแหละที่เป็นอีตัว!”
เนื่องจากความตาไวของฝูเจิ้งเจิ้ง มันเลยทำให้เธอเห็นว่าแบรนด์เสื้อผ้าที่ติดอยู่บนถุงเสื้อผ้าของอีกฝ่ายนั้นเป็นของผู้หญิง ซึ่งเป็นแบรนด์เดียวกับที่ตนซื้อวันนี้ ด้วยเหตุนี้เลยทำให้เธอลั่นไกความโกรธด้วยถ้อยคำหยาบคายเช่นนั้น
สีหน้าของชายคนตรงหน้าดูมืดมนลง เขายกมือขึ้นแต่เพียงไม่นานนักก็ลดมือนั้นลงและกำหมัดเอาไว้โดยไม่เปิดฉากต่อสู้ก่อน
ในตอนนั้นเอง รถแท็กซี่ก็เลือกที่จะไม่รอทั้งสองคนอีกแล้ว มันเลยทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งที่ยืนพิงประตูรถอยู่เสียการทรงตัวเพราะรถขยับออกไป เธอโซเซก่อนจะยกขาขึ้นหมายจะเตะแท็กซี่คันนั้น ทว่ารถคันนั้นก็วิ่งหายไปเสียก่อน
หญิงสาวหันกลับมาเหลือบมองชายตรงหน้าอีกครั้ง
ไหนบอกรีบไง? ทำไมตานี่ถึงไม่คิดจะโวยวายไอ้แท็กซี่บ้านั่นหน่อยล่ะ?
ชายหนุ่มที่กำหมัดแน่นเองก็มองมายังฝูเจิ้งเจิ้งด้วยเช่นกัน ก่อนจะได้โอกาสพูดขึ้นด้วยเสียงเยือกเย็นอีกครั้ง “ถ้าไม่ใช่ว่าเพราะเธอเป็นผู้หญิงนะ ฉันคงจะต่อยหน้าเธอไปแล้ว!”
พูดจบเขาก็เดินมุ่งหน้าไปโบกแท็กซี่
“ฮึ่ม! นายคิดว่านายจะทำอะไรกับใครก็ได้งั้นเหรอ? ขอเดาเลยว่านายคงไม่เคยเข้าคุกมาก่อนล่ะสิ!” ฝูเจิ้งเจิ้งยังคงพูดด้วยความโกรธ ขณะที่ยื่นแขนออกไปเพื่อโบกแท็กซี่เช่นกัน
แท็กซี่คันใหม่มาแล้ว และครั้งนี้รถคันนั้นก็ขับผ่านชายหนุ่มมาจอดหน้าฝูเจิ้งเจิ้งอย่างเห็นได้ชัด
หญิงสาวมีความสุขสุด ๆ เธอโบกไม้โบกมือให้อีกฝ่ายก่อนจะผลุบเข้าไปในแท็กซี่โดยที่รู้อยู่ตลอดว่าชายคนนั้นกำลังมองมา
เมื่อแท็กซี่เตรียมจะออกรถ ฝูเจิ้งเจิ้งก็หันไปมองชายหนุ่มผู้โชคร้ายอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้อีกฝ่ายกลับเริ่มออกวิ่งมาทางเธออย่างรวดเร็วแล้ว
โฮ่ นี่คิดว่าจะกระชากฉันลงจากรถเหมือนในหนังเลยงั้นเหรอ? ร้ายกาจนักนะ
ฝูเจิ้งเจิ้งหันไปตะโกนบอกคนขับ “พี่คะ เหยียบมิดไมล์เลยค่ะ! คนนั้นมันบ้า! หนีเร็ว!!”
คนขับที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยรีบเหยียบคันเร่งและทะยานตัวพุ่งออกจากจุดที่จอดอยู่อย่างรวดเร็วจนหายวับไปในที่สุด
หลังจากที่เห็นว่าหนีอีกฝ่ายได้แล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ลดกระจกข้างลงมาแล้วยื่นไม้ยื่นมือออกไปโบกมือบ๊ายบายด้วยสีหน้ามีความสุขแบบสุด ๆ ให้ชายหนุ่มที่กำลังเกรี้ยวกราด
เมื่อถึงบ้านของหานซือฉี มันก็เป็นเวลามืดค่ำเสียแล้ว เฉินเฉี่ยวหลานรีบเข้ามาช่วยเธอยกของมาวางไว้ที่โซฟาภายในห้องนั่งเล่นขณะที่ตัวเธอกำลังเปลี่ยนรองเท้าอยู่
หานซือฉีที่กำลังพูดคุยอยู่กับฝูซิงก็แอบเหลือบมองร่างของฝูเจิ้งเจิ้งที่เดินมาทิ้งตัวนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรงอยู่เป็นระยะ ๆ ด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ของเขา
ตั้งแต่บ่ายจนถึงตอนนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งเพิ่งจะเข้าใจถึงเหตุผลที่เขาขอให้หมินจงจู่ทำงานล่วงเวลาและให้เธอไปซื้อของเป็นเพื่อนจูหลิงหลงแทน โดยที่จูหลิงหลงไม่ได้ซื้ออะไรเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันอีกฝ่ายจ้องจะซื้อเสื้อผ้าให้เธอเท่านั้น เรื่องนี้น่ะ…อยู่ในแผนการของหานซือฉีอยู่แล้วเหรอ?
“หม่ามี๊ ฝูซิงดูดีมั้ย?”
ฝูซิงกระโดดขึ้นมาบนโซฟา เจ้าตัวเล็กกำลังสวมชุดเสื้อคลุมที่ฝูเจิ้งเจิ้งเพิ่งจะซื้อมาใหม่ แขนเสื้อที่ยาวจนลากพื้นนั้นถูกเหวี่ยงไปมาขณะที่เขากำลังกระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน เพียงแค่ได้เหลือบมอง ทั้งเฉินเฉี่ยวหลานและหานซือฉีต่างก็พากันหัวเราะไปหมด
แม้แต่ฝูเจิ้งเจิ้งเองที่หันไปมองหลังจากคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ก็ยังไม่สามารถกลั้นขำได้ “ฝูซิง ลูกอยากโตไปเป็นสาวหรือไงถึงเอาชุดหม่ามี๊มาสวมแบบนี้? ฮ่า ๆๆๆ ถ้าลูกอยากเดี๋ยวหม่ามี๊อนุญาตให้ลูกไว้ผมยาวตั้งแต่พรุ่งนี้เลยเป็นไง?”
“ไม่!” ฝูซิงรีบถอดชุดออกแล้วบุ้ยปาก “ฝูซิงอยากเป็นชายแท้แบบป๊ะป๋า”
เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งหันไปเห็นว่าหานซือฉีกำลังมองมาที่ตนด้วยรอยยิ้ม เธอก็รู้สึกร้อนตัวขึ้นมานิดหน่อย “อ-เอ่อ…ฉันถ้าได้ช็อปปิ้งแล้วจะหยุดไม่ค่อยได้น่ะค่ะ…”
“ผู้หญิงก็ควรจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว” ดูเหมือนว่าเขาคนนี้จะเข้าใจผู้หญิงได้เป็นอย่างดี
และด้วยความเข้าใจเช่นนี้ เขาจึงได้ให้เงินไว้มากพอสำหรับฝูเจิ้งเจิ้งเพื่อช็อปปิ้งเมื่อบ่ายนี้
นี่มันเกินความคาดหมายอยู่เหมือนกัน แต่กระนั้นการที่จะยอมรับว่าเขาห่วงใยเธอมันก็ยากอยู่ ดังนั้นเธอจึงแสดงสีหน้าเจื่อน ๆ ให้เขาแทน
“หม่ามี๊ซื้ออะไรมาให้ฝูซิงหรือเปล่า?” ฝูซิงยังคงหยิบเสื้อผ้าออกมาดูเรื่อย ๆ จนครบทุกถุง
ทว่า 1 ในชุดเหล่านั้นกลับไม่คุ้นตาฝูเจิ้งเจิ้งเลย มันเป็นเสื้อคลุมขนสัตว์สีแดงเข้ม เธอมั่นใจมากว่าเธอไม่ได้ซื้อเสื้อตัวนี้มา
เมื่อรีบเช็คถุงที่เหลือ หญิงสาวก็เข้าใจได้ว่าถุงนี้น่าจะเป็นถุงที่หยิบผิดมาจากชายคนนั้นแน่ ๆ จริงๆ ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกที่จะหยิบผิด เพราะมันเป็นแบรนด์เดียวกันนี่นา
แล้วจะเอาไปคืนยังไงกันนะ?
ชุดนี้เองก็ดูจะเหมาะสำหรับสาววัยกลางคนหรือไม่ก็คนมีอายุหน่อย ๆ หรือว่าคน ๆ นั้นจะซื้อไปให้แม่ของเขาเหรอ?
บ้าเจริง…ไม่แปลกใจแล้วที่หมอนั่นจะโกรธขนาดนั้น เผลอไปด่าว่าเจ้าของเสื้อเป็นอีตัวซะได้…ไม่น่าเลยแฮะ
เธอเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาและรีบเก็บเสื้อนั้นลงถุงทันที
หานซือฉีที่เห็นว่าสีหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งเปลี่ยนไปเขาก็เตรียมที่จะเดินเข้าไปถาม แต่ในตอนนั้นเสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้นมาก่อน
เฉินเฉี่ยวหลานรีบเดินไปทำหน้าที่ตามปกติโดยที่ตัวเธอเองก็แอบสงสัยว่าใครกันนะที่อุตส่าห์มาซะเวลานี้ “ใครกันนะมาดึก ๆ แบบนี้?”
ฝูเจิ้งเจิ้งหันไปมองทางประตู ในขณะที่สีหน้าของหานซือฉีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วราวกับเขากำลังคิดอะไรอยู่ ร่างสูงรีบลุกขึ้นหมายจะไปรั้งเฉินเฉี่ยวหลานไว้ ทว่าตัวเขาก็ยังช้าไป ประตูบานใหญ่นั้นถูกเปิดออกมาแล้ว
[1] ยัยหนู 小姐 (xiăojiĕ) ในคำทั่วไปแปลว่า หนู เป็นคำแทนตัวของผู้หญิง ใช้ได้ทั้งอายุมากและอายุน้อย แต่ปัจจุบันไม่นิยมใช้เพราะเป็นคำแสลงเช่นกัน แปลว่า โสเภณี
————————————————————————————