ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 29 พาผู้หญิงมาบ้าน
บทที่ 29 พาผู้หญิงมาบ้าน
คนคนนี้คือ… หานซือเซียน!!
“ป้าเฉิน อยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วยสินะครับ ทานข้าวเย็นกันหรือยังเนี่ย? พอดีเจ้าซือฉีไม่ยอมรับโทรศัพท์ผมน่ะ” หานซือเซียนทักทายเฉินเฉี่ยวหลานด้วยคำพูดที่สุภาพและรอยยิ้มที่อ่อนโยน
“นายน้อย…” เฉินเฉี่ยวหลานอ้ำอึ้งก่อนจะหันไปมองหานซือฉีที่มีสีหน้าเป็นกังวลอยู่ในห้องนั่งเล่น
เมื่อหานซือเซียนรู้สึกได้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจึงเดินตามไปยังห้องนั่งเล่น และเขาก็พบกับฝูเจิ้งเจิ้งที่ยืนอยู่ภายในห้องนั้นพร้อมกับเสื้อผ้าในมือของเธอ สีหน้าที่เคยอ่อนโยนของเขาก็พลันหายไปทันที ชายหนุ่มมองไปยังหานซือฉีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
“อ้าว พี่มางั้นเหรอ?” หานซือฉีรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ พร้อมกับเอ่ยถามพี่ชายของเขาด้วยรอยยิ้ม “ทานอะไรมาแล้วหรือยัง ถ้ายังจะมาทานกับพวกเราด้วยก็ได้นะ”
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบวางของและกล่าวทักทายหานซือเซียนทันที “สวัสดีตอนเย็นค่ะ ท่านประธานหาน”
ทว่าหานซือเซียนกลับเมินต่อท่าทีของฝูเจิ้งเจิ้งพลันหันไปบอกหานซือฉีหลังถอนหายใจ “ขึ้นไปข้างบน”
เมื่อพูดจบ คนเป็นพี่ก็เดินขึ้นไปบันไดเงียบ ๆ
คำพูดนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งรู้ดีว่าเขาไม่ได้พูดกับเธอแน่นอน เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงหันไปมองหานซือฉีด้วยความกังวล
อีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มให้เธอและชี้ไปยังห้องอาหารบนโต๊ะ “เธอกินไปก่อนเลย” พูดจบหานซือฉีก็เดินตามพี่ชายของเขาขึ้นไป
ทั้งห้องอาหารตกอยู่ในความเงียบเช่นเดียวกับเฉินเฉี่ยวหลานที่ยืนรออยู่ตรงข้างโต๊ะและมองขึ้นไปยังชั้นบนด้วยสายตาที่เป็นกังวล
“หม่ามี๊ ลุงคนเมื่อกี้เป็นใครเหรอ? เขาไม่สุภาพเลย!” เมื่อเห็นว่า 2 หนุ่มขึ้นไปด้านบนแล้ว ฝูซิงจึงเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ ดูท่าเด็กคนนี้จะไม่ชอบหานซือเซียนนัก
“อย่าพูดลับหลังคนอื่นสิฝูซิง!” ฝูเจิ้งเจิ้งพาลูกชายกลับไปยังโต๊ะอาหารก่อนจะปรับอารมณ์ให้เป็นปกติแล้วกลับไปยิ้มแย้มกับลูกชายของเธอ “มา เดี๋ยวหม่ามี๊ป้อน”
ด้านบน ภายในห้องนอนของหานซือฉี
ทันทีที่ชายหนุ่มเข้าไปในห้อง หานซือเซียนก็มองมาที่เขาด้วยใบหน้ามืดมน “ซือฉี ไม่ใช่ว่าฉันบอกแกให้ไล่แม่สาวคนนั้นออกไปแล้วเหรอ? ทำไมแกถึงพาเธอมาอยู่ที่บ้านล่ะ?”
“ผมแค่พาผู้หญิงมาบ้านเอง พี่จะเอะอะเกินไปแล้วมั้ง?” ซือฉีทิ้งตัวบนโซฟาอย่างไม่ใส่ใจ “ผมจำได้ว่ารอบ ๆ ตัวผมก็ไม่เคยว่างเว้นจากผู้หญิงนะ”
“ซือฉี!” หานซือเซียนเริ่มขึ้นเสียง “ฉันไม่เคยก้าวก่ายอะไรแกกับเรื่องพรรค์นี้ แต่แกก็รู้ว่าเฉียวเค่อเหรินกำลังจะกลับมาในอีก 2 วันนี้ แล้วแกกลับเอาผู้หญิงมากกไว้ที่บ้านเนี่ยนะ!? แกจงใจจะปั่นหัวฉันหรือไง? เพราะแบบนี้สินะถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์ฉันน่ะ?”
“อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปสิพี่ ผมพาเธอคนนี้มาบ้านตั้งแต่ก่อนที่จะรู้ว่าเฉียวเค่อเหรินจะกลับมาอีกนะ” เหตุผลจริง ๆ ที่หานซือฉีไม่รับโทรศัพท์พี่ชายตนเองก็เพราะรู้ว่าพี่ชายเขาจะโทรมาคุยเรื่องเฉียวเค่อเหรินต่างหาก
“ซือฉี!” หานซือเซียนเริ่มจะหงุดหงิด “เฉียวเค่อเหรินเป็นคู่หมั้นแกนะ!”
ได้ยินเช่นนั้นหานซือฉีก็รีบแก้ต่างทันที “อย่างน้อย ๆ ตอนนี้ก็ยังไม่ใช่”
“พวกเราทั้งสองตระกูลตกลงกันไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งไปกินข้าวด้วยกันครั้งที่แล้ว แถมแกเองยังเป็นคนตอบตกลงเรื่องนี้เองด้วย จะมากลับคำตอนนี้ไม่ได้แล้วนะ” เขามองน้องชายของตัวเองด้วยสายตาจริงจัง เพราะอะไร ซือฉีจึงยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนแบบนี้…
“รู้แล้วน่า แต่ต่อให้ผมตอบตกลงไปจริง ๆ พี่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะมาบงการชีวิตผมได้หรือไง? พี่เองก็รู้ว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะแต่งงานอยู่แล้ว”
หานซือเซียนรู้สึกผิดเล็กน้อย เขานั่งลงข้าง ๆ หานซือฉีและพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลที่สุด “ซือฉี เฉียวเค่อเหรินก็ไม่ได้ทำตัวไม่ดีนี่? เธอคนนั้นทั้งสวยแล้วก็รักแกมากนะ แต่งงานกับผู้หญิงที่รักแกน่ะ มันเป็นอะไรที่มีความสุขมากกว่าแต่งงานกับผู้หญิงที่แกรักอีกนะ ช่วงแรกแกอาจจะต้องทนกับเธอสักหน่อย แต่หลังแต่งงานแล้วแกจะทำอะไรก็ได้”
“พี่คิดว่าพี่สะใภ้จะรู้สึกยังไงถ้าได้ยินพี่พูดแบบนี้น่ะ?” หานซือฉีถามและแสร้งทำเป็นสงสัย
“ซือฉี! อย่าเอาเรื่องพี่สะใภ้ของแกมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้! มันคนละเรื่องกัน” ผู้เป็นพี่แสดงอาการไม่พอใจทันทีที่เขาเอ่ยถึงพี่สะใภ้
ชายหนุ่มยิ้มและพูดต่อไปว่า “พี่ยืนกรานว่าจะแต่งงานกับพี่สะใภ้ให้ได้แม้ว่าพ่อกับแม่จะคัดค้าน ด้วยคำว่า รักแท้ พี่ไม่คิดว่าคนอื่นจะมีรักแท้บ้างหรือไง?”
หานซือเซียนและภรรยาของเขา เนี่ยหว่าน เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันตั้งแต่ประถมยันมหาวิทยาลัย พวกเขาทั้งสองแอบคบกันตั้งแต่เมื่อตอนมัธยมปลาย แต่การแต่งงานถูกยืดเยื้อมาอย่างยาวนานเพราะทางครอบครัวของหานซือเซียนมองว่าไม่คู่ควร แต่ในท้ายที่สุด ด้วยความพยายาม พวกเขาทั้งสองก็ได้รับอนุญาตให้แต่งงานกัน
หลังจากแต่งงานแล้ว หานซือเซียนถือว่าเป็นผู้ชายที่รักภรรยาของตนมาก ๆ ตลอดระยะเวลาที่แต่งงานกันมา เขาไม่เคยมีข่าวเสีย ๆ หาย ๆ หรือเรื่องน่าอับอายให้เป็นที่กล่าวขานกันเลย
เรื่องราวของทางฝั่งหานซือเซียนถูกเจ้าตัวหยุดไว้ก่อน หากแต่ครั้งนี้เขาไม่ได้โกรธในตัวน้องชาย กลับกันเขายังคงพูดด้วยความห่วงใย “ซือฉี ฉันรู้ว่าแกไม่พอใจ แต่แกควรจะยอมรับมัน อย่างน้อย ๆ ก็เพื่อประโยชน์ของเว่ยหาน เมืองฮั่นต้าน่ะอยู่ในการดูแลของเราแล้ว แถมพิธีสถาปนาก็กำลังจะเริ่มในอีกไม่นาน นี่มันถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ของเว่ยหานตลอดหลายปีมานี้เลยนะ แล้วฉันเองก็หวังว่านี่จะเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้เว่ยหานพัฒนาไปได้ไกลกว่าเดิมอีกมาก”
“พี่ การฉวยโอกาสมันไม่ใช่วิธีที่เว่ยหานควรทำเลยนะ บนโลกนี้พี่คิดว่ามันจะมีวิธีพัฒนาเว่ยหานไหนได้ดีกว่าการพึ่งพาตัวเองอีกหรือไง?”
เขารู้ดีว่าเรื่องการลงทุนในเมืองฮั่นต้าที่พี่ชายของตนพูดถึงนั้นคืออะไร
ในตอนแรก เฉียวเค่อเหรินยอมละทิ้งความพยายามไปชั่วขณะหลังจากพยายามเข้าหาหานซือฉีอยู่นาน ทว่าเธอก็ยังยืนกรานว่าเธอจะไม่ยอมแต่งงานกับใครทั้งนั้นยกเว้นหานซือฉี พ่อของเฉียวเค่อเหรินที่เป็นนายกเทศมนตรีนั้นเป็นชายผู้รักลูกสาวมาก ๆ ดังนั้นเพื่อเป็นการเติมเต็มความต้องการของลูกสาวแล้ว เขาย่อมทำทุกอย่างที่ทำได้
เทศมนตรีเฉียวเล็งเห็นว่าบริษัทเว่ยหาน ณ ตอนนั้นต้องการที่จะลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์สักแห่ง เขาจึงเข้าหาหานซือเซียน และบอกอีกฝ่ายว่า เมือง B นั้นมีแผนจะสร้างรถไฟใต้ดิน ซึ่งถ้าเว่ยหานเข้าร่วมลงทุน นี่จะถือเป็นโครงการใหญ่ที่ได้รับผลตอบแทนมหาศาลแน่นอน
โดยความที่เป็นนักธุรกิจ หานซือเซียนสามารถเข้าใจในความหมายที่เทศมนตรีเฉียวพูดได้ในทันที เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ไม่ว่าจะทั้งด้านธุรกิจ หรือด้านครอบครัวด้วย ดังนั้นหานซือเซียนจึงเริ่มเข้าไปเกลี้ยกล่อมให้น้องชายของเขารับรักเฉียวเค่อเหรินด้วยวิธีการต่าง ๆ นา ๆ ไม่ว่าจะเป็นการหว่านล้อมหรือพูดด้วยเหตุผลอย่างหนักหน่วง ในท้ายที่สุด หานซือฉีก็ไม่มีทางเลือกอื่น
นอกจากนั้นแล้วเทศมนตรีเฉียวเองก็ยังบอกถึงเรื่องพื้นที่พิเศษบริเวณทางเข้าฟากใต้ของโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินนี้ด้วย นั่นจึงทำให้หานซือเซียนรีบซื้อที่ตรงนั้นและเริ่มลงทุนในเมืองฮั่นต้าทันที
เขารู้ดีว่าตอนนี้เทศมนตรีเฉียวเป็นหัวหอกสำคัญภายในเทศบาลเมืองนี้ และการที่ตัวเขาสามารถได้พื้นที่พิเศษนี่มาก่อนที่มันจะถูกประกาศอย่างเป็นทางการมันก็เหมือนเป็นการซื้อใจ หากเขาไม่สามารถทำให้หานซือฉีมาแต่งงานกับเฉียวเค่อเหรินได้ เรื่องนี้คงต้องเป็นโมฆะ แล้วสุดท้ายคนที่น่าห่วงจริง ๆ จะไม่ใช่เฉียวเค่อเหริน แต่จะเป็นหานซือฉีอย่างแน่นอน
สำหรับเฉียวเค่อเหรินแล้ว เธอสามารถยอมรับและรู้ตัวว่าหานซือฉีไม่ได้ชอบพอเธอ ถึงจะโดนเมินยังไงเธอจะไม่ยอมให้รอบ ๆ ตัวหานซือฉีมีสาวอื่นเด็ดขาด
และดูเหมือนว่าสิ่งที่เขากลัวมันจะเป็นจริงขึ้นมาเสียแล้ว น้องชายของเขากำลังชักศึกเข้าบ้าน แล้วยิ่งเป็นตอนที่การลงทุนในเมืองฮั่นต้าเพิ่งจะเริ่มต้นด้วย แบบนี้จะไม่ให้เขากังวลได้อย่างไร?
“ซือฉี ตอนนี้โครงการในเมืองฮั่นต้ามันเริ่มต้นไปแล้ว ฉันคิดว่าฉันคงไม่ต้องมาพูดเรื่องนี้ซ้ำ ๆ หรอกมั้ง? แกเองก็ไม่ใช่เด็ก ๆ และในเมื่อไม่ใช่เด็ก แกก็ควรจะคิดให้กว้างและมองการณ์ไกลกว่านี้”
“ผมรู้น่า” หานซือฉีตอบอย่างขอไปที
“ในเมื่อเข้าใจแล้วนายก็ควรไปบอกให้ฝูเจิ้งเจิ้งย้ายออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ถ้าหากไม่อยากให้ฉันไล่เธอออก เดี๋ยวฉันจะช่วยรักษาหน้าแกโดยการย้ายเธอไปออฟฟิศย่อยเอง” หานซือเซียนนั้นเป็นพี่ชายที่หวังดีกับน้องชายของเขามาตลอด แม้จะอายุห่างกันถึง 8 ปี แต่เขาก็เกลียดการที่ต้องมาพูดคุยกันอย่างจริงจังเช่นนี้มาก ๆ ปกติแล้วพวกเขาทั้งสองมักจะทำตัวสบาย ๆ แต่เพราะสถานการณ์ในตอนนี้มันไม่ใช่ หานซือเซียนจึงต้องใช้ความเป็นพี่ที่มีอยู่จัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย
“จะให้ผมไปเดตกับเฉียวเค่อเหรินก็ได้ แต่ผมจะไม่ยอมปล่อยให้พี่มาย้ายเธอไปไหนแน่ ๆ ยิ่งพยายามให้เธอไปไกล ๆ ผมก็จะยิ่งดึงเธอกลับเข้ามาให้ใกล้มากกว่าเดิมอีก” หานซือฉียื่นคำขาด
บ้านหลังนี้จริง ๆ แล้วถือเป็นที่พักอาศัยส่วนตัวของหานซือฉี นั่นหมายถึงจะมีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่มาพักที่นี่ได้ แน่นอนว่าฝูเจิ้งเจิ้งยังไม่รู้เรื่องนี้ และเธอเข้าใจว่าเป็นบ้านของครอบครัวหานซือฉีเฉย ๆ
หานซือเซียนรู้ดีว่าน้องของตนดื้อรั้นขนาดไหน แต่ในเมื่อหานซือฉีตัดสินใจแล้ว เขาก็คงจะไม่บังคับอะไรอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ ทำเพียงแค่เตือนอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น “งั้นจะให้เธออยู่ที่นี่ก็ได้ แต่แกควรจะไม่มาที่นี่สักระยะหนึ่ง ไม่งั้นเดี๋ยวเฉียวเค่อเหรินจะหาที่นี่เจอเอาได้ ฉันคิดว่าเธอคนนั้นน่าจะยังไม่รู้เรื่องที่นี่”
“เข้าใจแล้ว”
“ถ้างั้นฉันจะกลับก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้เดี๋ยวจะส่งไฟล์ทบินของเฉียวเค่อเหรินมาให้” หานซือเซียนตบไหล่ผู้เป็นน้องชายก่อนจะใช้นิ้วเคาะหน้าผากหานซือฉีไปทีหนึ่งราวกับเขาเป็นเด็ก ๆ
หานซือฉีเองก็เพียงแค่ยิ้มและพาพี่ชายของเขาลงไปส่งด้านล่าง
ในอีกด้านหนึ่งของประตู พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าฝูเจิ้งเจิ้งเพิ่งผละหลบไปจากด้านหน้าประตูห้องไปเมื่อครู่
หานซือฉีไม่ได้กลับเข้ามาจนกระทั่งรถของพี่ชายเขาขับออกไป
“นายท่านซือฉี หิวหรือยังคะ? คุณฝูกับฝูซิงเพิ่งจะขึ้นไปด้านบนเมื่อไม่นานนี้เอง” เฉินเฉี่ยวหลานเสิร์ฟข้าวให้แก่หานซือฉีหลังจากที่เขากลับมายังห้องอาหาร
“ขอบคุณมากครับป้าเฉิน ทุกคนกินเสร็จแล้วใช่ไหม?” หานซือฉีรับชามข้าวมาแล้วมองขึ้นไปด้านบน
เฉินเฉี่ยวหลานพยักหน้าและมองด้วยความกังวล “นายท่าน ดูคุณท่านซือเซียนไม่พอใจเลยนะคะ เขาไม่พอใจกับการที่คุณฝูกับลูกชายมาอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”
“ป้าเฉิน อย่าถามเรื่องนี้จะดีกว่า”
“…คุณเฉียว…กำลังจะกลับมาเหรอคะ?” เฉินเฉี่ยวหลานยังคงไม่คลายกังวล
“ครับ” หานซือฉีตอบระหว่างกินข้าวไปด้วย
ได้ยินเช่นนั้นเฉินเฉี่ยวหลานก็แสดงท่าทีเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เธอก็ตัดสินใจไม่พูดในท้ายที่สุด
หลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว หานซือฉีก็เดินขึ้นไปชั้นบน
เมื่อเขาเดินมาถึงหน้าประตูห้องของฝูเจิ้งเจิ้ง หยุดมองประตูสักพัก มือหนึ่งก็ยกขึ้นกำลังจะเคาะประตู แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำมันและเดินกลับห้องของตนไป
ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว หานซือฉีเองก็เคารพผู้เป็นพี่ชายอย่างมากมาตลอด
เขารู้ดีว่าพี่ชายของเขามีความทะเยอทะยานมากขนาดไหน คนคนนั้นพยายามอย่างหนักเพื่อพัฒนาให้บริษัทเว่ยหานเติบโตมาตลอด และรู้ด้วยว่าพี่ชายของเขารักเขามากมาตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งตัวเขาเองก็อยากจะช่วยทำให้บริษัทเว่ยหานของพี่ชายเติบโตได้อย่างยิ่งใหญ่เช่นกัน แต่การจะทำเช่นนั้นเขาก็อยากทำมันด้วยมือตนเอง ไม่ใช่ยืมมือคนอื่นมาช่วยแบบนี้
แต่เมื่อรู้แล้วว่าหานซือเซียนได้เริ่มโครงการใหญ่ไปแล้ว แสดงว่าเรื่องต่อจากนี้ก็คงไม่ง่าย สิ่งที่ทำได้คงมีแต่ทำตามพี่ชายเขาไปก่อนแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม
ยังไงซะ คนที่แทบไม่เชื่อใจผู้หญิงอย่างเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องความสัมพันธ์มาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะงั้นลืมเรื่องรักใครสักคนไปได้เลย ก่อนหน้านี้ครอบครัวเขาเร่งเร้าให้เขาแต่งงานอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ปฏิเสธโดยการให้เหตุผลว่าพี่ใหญ่นั้นยังไม่แต่งงาน
หากจะแต่งจริง ๆ เขาก็อยากจะหาคนที่เชื่อฟังเขา ส่วนเรื่องแต่งงานก็ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไปตามกาลเวลา
ทั้ง ๆ ที่คิดไว้แบบนี้มาตลอด แต่ดูเหมือนตอนนี้ความคิดเขาจะเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว
หานซือฉีเริ่มจะรู้สึกอึดอัดและเจ็บปวดหากห้องนอนและเตียงของเขาต้องถูกแบ่งให้กับหญิงที่ตนไม่ได้รัก
เช้าวันถัดมา
ฝูเจิ้งเจิ้งตื่นแต่เช้า หลังจากที่พาฝูซิงไปส่งที่โรงเรียนเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินสำรวจไปทั่วจัตุรัสละแวกนั้นก่อนจะวกกลับเข้าไปยังออฟฟิศเมื่อถึงเวลา
เมื่อเธอเข้าไปในบริษัทแล้ว สิ่งแรกที่พบอยู่ในห้องนั้น ก็คือหานซือฉีที่กำลังจ้องเธอจากที่นั่งประจำตำแหน่งตั้งแต่ที่เธอเปิดประตูเข้ามา
“มานี่”
อ-อะไรน่ะ!? นี่เขากำลังออกคำสั่งเหรอ!
หญิงสาวรีบกลืนน้ำลายและถามด้วยความประหลาดใจ “ม-มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะคุณหาน?”
“เมื่อเช้าไปไหนมา?”
“พาฝูซิงไปโรงเรียนค่ะ”
“เธอพาฝูซิงไปโรงเรียนตั้งแต่ 7 โมงแล้ว”
“ฉ-ฉันเห็นว่ามันเช้าไปก็เลยไปเดินเล่นรอเวลาที่จัตุรัสแถว ๆ นั้นน่ะค่ะ ไปเห็นคนพากันออกกำลังกายแต่เช้าก็สดชื่นดี แหะ ๆ”
“จริงเหรอ?”
“จริงค่ะ!” ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของฝูเจิ้งเจิ้งก็ดังขึ้นมา เธอรีบหยิบขึ้นมาดูและก็พบว่ามันเป็นสายโทรเข้าจากเบอร์แปลกหน้า เมื่อเห็นว่าหานซือฉีกำลังเหล่มองมายังโทรศัพท์ของตน หญิงสาวก็รีบรับโทรศัพท์โดยที่ไม่กระโตกกระตาก
“ฮัลโหล?” เธอรีบสาวเท้าเดินออกไปนอกห้อง แต่จริง ๆ แค่เกือบจะถึงประตูห้องเธอก็กระซิบกระซาบกับคนในโทรศัพท์แล้ว
——————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
เธอทำตัวมีพิรุธนะ ฝูเจิ้งเจิ้ง
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-