ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 3 ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้กันนะ!
บทที่ 3 ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้กันนะ!
หานซือฉีดูจะย้ำกับคำว่า ‘เช็ค’ ที่ฝูเจิ้งเจิ้งพูดเป็นพิเศษ สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวดูจะเขินอายถึงขีดสุด
“ฉ-ฉันก็แค่อยากจะเช็คดูว่านายมีไฝที่ต้นขาหรือเปล่าก็เท่านั้น เพราะเหนียนซือ่น่ะมีไฝตรงจุดที่ว่านั่น” เธออยากจะส่ายหน้าปฏิเสธใจจะขาดแต่เพราะด้วยระยะห่างที่บีบหัวใจอยู่ตอนนี้ทำให้เธอไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ๆ ด้วยซ้ำ หากทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนั้นละก็ อาจจะทำให้ริมฝีปากของเราประกบกันอีกครั้งก็ได้
หากบนโลกนี้มียาที่สามารถสลายความอัปยศอดสูของมนุษย์ได้ล่ะก็ ฝูเจิ้งเจิ้งจะขอเป็น 1 ในหนูทดลองที่พร้อมจะซดยานั่นได้เป็นพัน ๆ ขวดอย่างไม่รีรอเลย
หลังจากที่ได้ฟังเหตุผลที่หญิงสาวใช้แก้ตัวแล้ว เสือร้ายหานซือฉีก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจและเริ่มไล้มืออย่างซุกซนไปตามสัดส่วนช่วงบนของหญิงสาวอย่างเชื่องช้า ราวกับว่าเขากำลังซึมซับและจดจำเรือนร่างนี้ผ่านการสัมผัส
เมื่อมาถึงจุดที่อารมณ์เริ่มคุกรุ่น เขาจึงเอ่ยถามคนใต้ร่างต่ออย่างนึกสนุก “งั้นเหรอ ไหนลองบอกฉันสิว่าคืนนั้นที่ห้องมันมีอะไร? หรือบางทีถ้าได้ลองทำแบบที่เคยทำในคืนนั้น ฉันอาจจะจำเรื่องราวของเธอได้นะ” ชายหนุ่มใช้ถ้อยคำหว่านล้อเธอ ตอนนี้เขาพร้อมจะขย้ำเหยื่อตรงหน้าแล้ว
ฝูเจิ้งเจิ้งเหลือบมองลงไปยังจุดที่ฝ่ามืออันร้ายกาจของเขาวางอยู่ เธออยากจะกรีดร้องออกมาให้ลั่นรถ ทว่าเวลานี้ เพียงแค่อ้าปากก็คงไม่พ้นจะโดนจูบแน่ ๆ แต่จะให้ใช้แขนขาสู้ในพื้นที่จำกัดอย่างนี้มันก็ไม่ต่างกับอ้าแขนรับการลงโทษในบทหนังอิโรติกอยู่ดี เมื่อคิดใคร่ครวญดูแล้วคงได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้นต้องรีบเดินหมากให้น้อยและยึดจุดยุทธศาสตร์ให้ดีที่สุดก่อน
“นายรู้จักกฎหมายไหม! รู้ตัวหรือเปล่าว่านายกำลังล่วงละเมิดร่างกายของฉันโดยที่ฉันไม่อนุญาตอยู่นะ!” เธอเลือกใช้กฎหมายเป็นข้ออ้างเพื่อหยุดการกระทำอันอุกอาจของเขา
“เฮอะ เธอไม่รู้หรือไงว่าลูกชายของเธอยกเธอให้ฉันแล้ว? เพราะงั้นตอนนี้เธอเป็นของฉัน และเพราะเธอเป็นของฉัน มันก็ต้องมีการตรวจสอบคุณภาพกันหน่อย แบบนี้คงจะไม่ผิดกฎหมายอะไรนั่นแล้วสินะ?” รอยยิ้มบนใบหน้าของหานซือฉีนั้นเหมือนปีศาจร้ายที่กำลังแสยะยิ้มให้กับเหล่าคนบาปที่ไม่สามารถหนีไปไหนได้อีก เช่นเดียวกับมือของเขาที่ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวเลยสักนิด ไม่ว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะยกข้ออ้างอะไรมาพูดก็ตาม เขาไม่สนใจ
ทุกสัมผัสของเขาส่งผลกับคนตัวเล็กโดยตรง ไม่ว่าเขาจะสัมผัสไปที่ส่วนไหนบนร่างกายเธอ ก็ล้วนแต่สร้างความวาบหวามให้ทั้งสิ้น จนหญิงสาวต้องเกร็งตัวรับกับความวูบไหวที่เกิดขึ้นนี้
แต่กระนั้นเมื่อมีโอกาส ฝูเจิ้งเจิ้งกัดฟันข่มอารมณ์ไว้แล้วพูดดึงสติหานซือฉีอีกครั้ง “ฉันรู้ว่าฉันสวยขนาดไหน แล้วก็รู้ดีด้วยว่าความสวยที่ว่านี้มันล่อลวงให้พวกผู้ชายโง่ ๆ ทั้งหลายล้วนแต่อยากจะฉุดกระชากฉันกันตาเป็นมัน ความลุ่มหลงที่นายเคยประเคนใส่ฉันเมื่อครั้งนั้นมันถือเป็นหลักฐานชั้นดีเลยว่าแม้แต่คนอย่างนายก็ยังควบคุมตัวเองไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน!”
หญิงสาวมั่นใจมากว่าด้วยประโยคนี้ มันจะต้องทำให้หานซือฉีรู้สึกตัวสำนึกผิดขึ้นมาแน่ ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะปีศาจร้ายตรงหน้าเธอไม่ได้สนใจเลยว่าเธอจะพูดหรือรู้สึกเช่นไร กลับกันเขากลับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจและพูดจาเล้าโลมเธอหนักขึ้นกว่าเดิมเสียอีก “จริงเหรอ? เธอมีดีขนาดนั้นเชียว? เห็นทีฉันคงจะต้องลิ้มลองของดีแบบนี้ให้คุ้มซะแล้วล่ะมั้ง”
บ้าเอ๊ย! ใครจะไปคิดว่าบนโลกนี้จะมีคนที่ไร้ยางอายไม่รู้สึกผิดบาปกับความผิดของตนเองแบบนี้กัน!?
ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกโกรธแค้นชายหนุ่มตรงหน้ามาก แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอต้องระงับอารมณ์ของตนเองไม่ให้ระเบิดมากกว่านี้จนพาลทำให้เรื่องเสีย เธอพยายามคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากเงื้อมมือของปีศาจร้ายอย่างเขา…
เเต่หนทางก็ดูจะมืดมนนักและเมื่อมันไม่มีทางออกอื่น ฝูเจิ้งเจิ้งก็ทำได้แค่ขมวดคิ้วมองชายหนุ่มตรงหน้าเธอและตะโกนด่าเขาออกไปอย่างเหลืออด
“น่ารังเกียจ! หน้าไม่อาย! ทะลึ่ง! คนเลว! ชั่วร้ายที่สุด! ถ้าฉันหลุดไปได้นะ ฉันจะสับนายให้เป็นชิ้น ๆ จะโยนนายเข้าเครื่องบดหมูแล้วย่อยนายให้เละเป็นอาหารหมาไปเลย! ส่วนกระดูกของนายฉันก็จะสับ ๆๆ ให้ละเอียดจนเป็นฝุ่นแบบไม่ต้องไปผุดไปเกิดอีก!”
“ทำขนาดนั้นฉันก็ตายสิ หวา น่ากลัวจัง” หานซือฉีไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวกับคำขู่ของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำเขายังยอกย้อนเธอและเผยยิ้มร้ายอย่างผู้ชนะ พร้อมกับมือของเขาที่ซุกซนไปทั่ว
“หนอยแน่ะ นาย!” ฝูเจิ้งเจิ้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ แต่เธอไม่สามารถทำอะไรมากกว่านี้ได้อีก
ในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังจนตรอกอีกครั้ง เธอก็รู้สึกตัวว่าหานซือฉีนั้นไม่ได้จับมือเธอไว้แล้ว นี่จึงถือเป็นโอกาสที่ดี เธอใช้มือทั้งสองข้างจับไหล่ของชายหนุ่ม อาศัยจังหวะที่เขากำลังเคลิบเคลิ้มดันเขาออกและยันตัวเองให้หลุดออกจากการอยู่ภายใต้อาณัติของคนตัวโตได้สำเร็จ เพียงชั่วครู่ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไปนั่งหายใจหอบอยู่มุมประตูถัดจากร่างของหานซือฉี
หลังจากที่เหยื่อของเขาหลุดมือไป หานซือฉีก็ลุกขึ้นนั่งอย่างใจเย็นเขาเริ่มจัดการเสื้อผ้าที่หลุดรุ่ยของตนช้า ๆ และเหลือบมองหญิงสาวด้วยหางตา “เสียใจด้วยนะ ฉันไม่ได้สนใจผู้หญิงจืดชืดแบบเธอขนาดนั้น”
เขาพลิกตัวหันกลับมามองเธอในท่าทียียวนทำเอาความโกรธของฝูเจิ้งเจิ้งพุ่งสู่จุดสูงสุด เธอไม่รอช้าที่สวนหมัดชกเข้าไปที่อกของเขา ทว่าก่อนที่หมัดเล็ก ๆ จะเข้าปะทะกลางอกแน่นของหานซือฉี หมัดนั้นก็ถูกอีกฝ่ายหยุดไว้โดยเสียก่อน
“อะไร? เมื่อกี้ไม่พอหรือไง? ถ้าอยากจะต่อฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ” เมื่อจับหมัดเล็ก ๆ ของหญิงสาวไว้ได้ หานซือฉีก็เริ่มลูบไล้ไปตามแขนของเธอและยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ ๆ อีกครั้ง
เมื่อตระหนักได้แล้วว่าคนตรงหน้านี้อันตรายเกินกว่าที่เธอจะรับมือไหว ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบถอยออกห่างจากเขาพร้อมทั้งสไลด์ตัวออกจากรถไปด้วยความอับอาย หญิงสาวเหลือบไปเห็นลูกชายของเธอที่เล่นอยู่ไม่ไกลในจังหวะที่ตนเองถอยออกมา เธอรีบคว้ามือของเด็กน้อยก่อนจะวิ่งออกจากที่แห่งนี้ทันที
“หม่ามี๊!” ฝูซิงตกใจกับท่าทีของผู้เป็นแม่อย่างมาก แต่ตัวเขาเองไม่มีแรงมากพอที่จะเหนี่ยวรั้งเธอไว้ไม่ให้รีบวิ่งแบบนี้ด้วยเรี่ยวแรงที่ต่างกัน ทำให้ร่างเล็ก ๆ ของฝูซิงได้แต่วิ่งเตาะแตะตามหลังฝูเจิ้งเจิ้งไป ระหว่างที่โดนลากไป เด็กน้อยก็หันกลับไปมองหานซือฉีอยู่อีกหลายครั้ง
“ซิงซิง ป๊ะป๋ารับข้อเสนอของเธอนะ!” หานซือฉีที่ออกมาจากรถเขย่ากระปุกเงินเก็บที่ฝูซิงมอบให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ตัวเขาไม่ได้เจออะไรที่น่าสนใจแบบนี้มานานแล้ว
“จริงเหรอครับ? เยี่ยมไปเลย!” ใบหน้าของฝูซิงคลายกังวลเป็นปลิดทิ้ง เด็กชายไม่สนใจแล้วว่าตอนนี้หม่ามี๊จะลากเขาไปเร็วขนาดไหน เพราะยังไงจุดประสงค์ที่เขามาอยู่ที่นี่ก็บรรลุไปเรียบร้อย
“นี่!” ฝูเจิ้งเจิ้งตีเบา ๆ ที่หน้าผากเด็กน้อยที่ส่งเสียงเชียร์ชายหนุ่ม ขณะที่ตนเองกำลังเร่งฝีเท้าเพื่อออกจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งทั้งสองร่างหายไปจากลานจอดรถของอาคาร
ไม่นานนักหลังจากที่สองแม่ลูกหายลับไป หานซือฉีก็กลับเข้าไปในรถของตนอีกครั้ง เขาอดด่าตนเองไม่ได้ที่ทำอะไรแบบนั้นลงไป เสียเวล่ำเวลาทั้ง ๆ ที่เขาควรจะออกจากที่นี่ได้แล้ว
ทว่าเพียงแค่สตาร์ทรถและกำลังจะขับออกไป เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมาเสียก่อน