ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 31 เข้าไปตรวจสอบด้วยตัวเอง
บทที่ 31 เข้าไปตรวจสอบด้วยตัวเอง
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบลุกขึ้นหมายจะ ไปหยุดชายคนนั้นก่อนจะเข้าถึงตัวหานซือฉี แต่กลายเป็นว่า คน ๆ นั้นคือ หมินจงจู่ เสียอย่างนั้น
จะว่าไป นอกจากหานซือเซียนก็คงมีแต่หมินจงจู่นี่แหละมั้งที่กล้าเข้ามาในห้องรองประธานโดยที่ไม่เคาะประตูแบบนี้
หมินจงจู่วิ่งผ่านฝูเจิ้งเจิ้งไปราวกับว่าเธอเป็นเพียงอากาศ แต่ไม่นานนักเขาก็หันกลับมาและขยิบตาให้ “อ้าว น้องเจิ้ง ดูเธอไม่สดใสเลยนะวันนี้ หรือฉันคิดไปเอง?”
เธอเพียงแค่ยักไหล่และตอบกลับด้วยรอยยิ้มหวาน ๆ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่หงุดหงิดกับบรรยากาศวุ่นตอนเช้าเฉย ๆ”
เขาน่าจะเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในบริษัทแห่งนี้ที่เธอยอมคุยด้วยดี ๆ เพราะตั้งแต่แรกที่เข้ามาทำงานหมินจงจู่คอยถามไถ่เธอตลอด ยิ่งหลังจากที่ได้ไปช็อปปิ้งกับจูหลิงหลง เธอก็ยิ่งคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ไม่มีพิษภัยมากขึ้นไปอีก
“บรรยากาศวุ่นวายเหรอ? มีแบบนั้นด้วยเหรอ?” หมินจงจู่ถามกลับเพราะไม่ค่อยเข้าใจที่เธอพูดเท่าไหร่
“อะแฮ่ม”
เมื่อได้ยินเสียงกระแอมไอจากหานซือฉี หมินจงจู่ก็ลืมเรื่องที่ถามไปและรีบหันไปรายงานความคืบหน้าของงานด้วยท่าทีเคร่งขรึม “รายงานครับคุณหาน ผมได้เข้าไปตรวจสอบเรื่องที่คุณหานขอไว้ด้วยตัวเองเรียบร้อยแล้ว พบว่าสินค้าทุกอย่างของบริษัทเหวินไห่นั้นมีคุณภาพในเกณฑ์ที่เราสามารถให้ผ่านได้ครับ”
“เข้าใจแล้ว” เขาตอบเสียงเรียบ
“… ซือฉี ฉันคิดว่าวัสดุที่มาจากบริษัทนี้มันดีมาก ๆ เลยนะ เห็นทีแรกก็น่าจะรู้แล้วนี่ ทำไมต้องให้ฉันไปเช็คแล้วเช็คอีกด้วยเล่า? ให้ผ่าน ๆ ไปตั้งแต่แรกก็จบ”
หานซือฉีเหลือบมองหมินจงจู่ด้วยแววตาเฉียบคม เมื่อหมินจงจู่เห็นดังนั้นเขาก็รีบยิ้มแห้งทันที “ก็แค่อยากรู้ แต่ไม่ต้องตอบก็ได้ ไม่ถามแล้ว ๆ”
เลขาสาวที่ยืนฟังทั้งสองพูดกันพลางหยิบแก้วน้ำมารินเสิร์ฟให้ แต่เธอก็ถูกหานซือฉีหยุดไว้อีก “ผู้จัดการหมินน่ะมีงานให้ทำอีกเยอะ เขาไม่มีเวลาว่างมาดื่มน้ำที่นี่หรอก”
หมินจงจู่กำลังชื่นใจที่จะได้ดื่มน้ำ มือของเขาก็ต้องชะงักไปไม่ต่างอะไรกับฝูเจิ้งเจิ้ง เมื่อได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มมองหน้ารองประธานขี้แกล้งด้วยสายตาเศร้าสร้อยก่อนจะพูด “ซือฉี ดูแลคนของนายให้ดี ๆ หน่อยสิ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากรองประธาน ท้ายที่สุดเขาจึงหันหน้าและเดินออกไปด้วยความโกรธ
ในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งเตรียมจะกลับโต๊ะไปทำงานต่อ หานซือฉีก็ยื่นเอกสารใบหนึ่งใส่มือเธอไว้พร้อมกำชับ “เอานี่ไปให้ผู้จัดการหมินที”
เมื่อหญิงสาวได้สังเกตดูก็พบว่าเอกสารที่ว่าเป็นรายการบัญชีธนาคารที่หมินจงจู่ลืมเอาไว้ ทำให้เธอต้องรีบวิ่งหน้าตาตื่นเพื่อไปหยุดหมินจงจู่ไว้ก่อนที่เขาจะเข้าลิฟต์ไปได้
หมินจงจู่รับสิ่งนั้นไว้พร้อมกับกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณนะหนูเจิ้ง”
จริง ๆ แล้วหมินจงจู่กับฝูเจิ้งเจิ้งอายุก็เท่า ๆ กัน แต่ไม่รู้ทำไมอีกฝ่ายถึงชอบเติม ‘หนู’ ไว้หน้าชื่อเธอเสียทุกที
“ผู้จัดการหมินคะ ขอเวลาสักครู่ได้ไหมคะ” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบชิงโอกาสนี้รั้งตัวเขาไว้และถามด้วยเสียงเบา “เรื่องเมื่อครู่ ไม่ใช่ว่าผู้จัดการหมินเองก็รู้อยู่แล้วเหรอคะ? ถึงคุณภาพสิ่งของจากบริษัทเหวินไห่นั่น ทำไมถึงรั้งการตอบตกลงไว้ตั้งหลายวันล่ะคะ?”
ได้ยินดังนั้นเขาก็รีบเหลือบมองไปยังห้องของรองประธานก่อน เมื่อเห็นแล้วว่าภายในห้องนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เขาก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบเธอ “เพราะเธอนั่นแหละ”
“ฉันเหรอคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งตาเบิกกว้างด้วยความสงสัย เธอไม่คาดคิดเลยว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนั้น แถมเธอยังเพิ่งจะเคยเจอเจ้าของบริษัทอย่างฟู่เหวินไห่เพียงแค่ครั้งเดียวด้วยซ้ำไป ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้กันนะ?
เขายังคงพูดต่ออย่างจริงจัง “หลินเจี่ยวเป็นคนรักของฟู่เหวินไห่”
“ห๊า!?”
เรื่องทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันแล้ว
เพราะหลินเจี่ยวเป็นคนรักของฟู่เหวินไห่ หานซือฉีจึงเชื่อว่าฟู่เหวินไห่จะต้องอยู่กับเธอคนนั้นแน่ ๆ ด้วยความเชื่อนี้เขาจึงเริ่มจากการกดดันฟู่เหวินไห่แทน ดังนั้นจึงไม่ประหลาดใจเลยที่หญิงผู้ทะนงตัวในศักดิ์ศรีอย่างหลินเจี่ยวจะยอมมาขอให้ฝูเจิ้งเจิ้งยกโทษให้เธอ
แต่ถ้าฟู่เหวินไห่ไม่ได้อยู่กับหลินเจี่ยวล่ะ? หานซือฉีไม่คิดเหรอว่าการชะลอข้อตกลงระหว่างเว่ยหานและเหวินไห่จะมีผลกระทบกับโครงการต่าง ๆ ภายในบริษัทตอนนี้น่ะ?
“หนูเจิ้ง ถึงแม้ว่าซือฉีจะเป็นคนที่ดูเย็นชากับพนักงานก็จริง แต่ว่าเขาน่ะ เป็นห่วงพนักงานทุกคนเลยนะ เมื่อไม่กี่วันก่อนพ่อของสวี่เหยียนป่วย ซือฉีก็ให้คนไปเยี่ยมถึงที่เลย” หมินจงจู่ยิ้มก่อนจะปลีกตัวขึ้นลิฟต์ไป
หญิงสาวค่อย ๆ หันหลังและเดินกลับออฟฟิศของตนไป เธอเข้าใจสิ่งที่เขาพูดดี
แต่เธอก็ยังรู้สึกว่ากรณีของหลินเจี่ยวนั้นมันต่างกับกรณีที่พ่อของสวี่เหยียนป่วย
เมื่อกลับเข้ามาแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็มองไปยังหานซือฉีที่ยังจดจ้องอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยความตั้งอกตั้งใจ ใบหน้าสวยถอนหายใจเบา ๆ ขณะคิด
หานซือฉี นี่นายเป็นห่วงฉันจริง ๆ เหรอ? ทั้ง ๆ ที่รอบ ๆ ตัวนายก็มีแต่ผู้หญิงสวย ๆ ห้อมล้อมไปหมดเนี่ยนะ ไหนจะหลี่เสี่ยวเมิ่ง ไหนจะแฟนสาวที่ชื่อเฉียวเค่อเหรินที่ฉันยังไม่เคยเจอหน้านั่นอีก ในเมื่อชีวิตนายไม่เคยขาดแคลนสาวสวยเลย… แล้วฉันในสายตานาย…เป็นอะไรกันแน่?
หากฉันมอบทุกอย่างให้นายไปเหมือนกับคนพวกนั้น ตัวฉันก็กลัวว่าอีกไม่นานนายก็คงจะเบื่อฉันไปอีกคนแน่ ๆ
เอ๊ะ? ไม่ได้นะฝูเจิ้งเจิ้ง! ห้ามคิดแบบนั้น ห้ามคิดถึงคน ๆ นี้! ทำหน้าที่ของตัวเองซะ! รีบ ๆ ทำหน้าที่ให้เสร็จ แล้วก็ปล่อยให้หานซือฉีกลายเป็นคนแปลกหน้าในสายตาตัวเองไป!
แม้จะดึงสติกลับมาแล้วแต่เธอก็ยังอดที่จะแอบเจ็บปวดหัวใจไม่ได้
ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามทำจิตใจให้มั่นคงก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่เดิมและทำงานต่อให้เสร็จ
เวลาเลิกงานมาถึงแล้ว หานซือฉีเดินผ่านฝูเจิ้งเจิ้งไปพร้อมกับโน๊ตบุ๊คในมือเขา
“อ๊ะ คุณหานคะ” หญิงสาวร้องเรียก “คุณหาน เอ่อ… เมื่อวานนี้ฉันหยิบถุงเสื้อผ้าสลับกับของคนอื่น หลังเลิกงานนี้ฉันว่าจะไปเปลี่ยนคืนน่ะค่ะ ถ้ายังไงฝากคุณหานไปรับฝูซิงแทนฉันตอนเลิกเรียนทีได้ไหมคะ?”
หานซือฉีเหลือบมองมาที่เธอครู่หนึ่งและตอบเพียง “โอเค” ก่อนจะเดินจากไป
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็หยิบกระเป๋าและถุงกระดาษที่บรรจุเสื้อตัวดังกล่าวไว้ออกมาจากลิ้นชักก่อนจะรีบออกจากบริษัทอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เธอมาถึงห้างสรรพสินค้าเทียนหงแล้ว เธอก็รีบเดินหาร้านเสื้อแบรนด์เดิม ซึ่งทันทีที่เดินเข้าร้านไป พนักงานต้อนรับก็กล่าวทักทายอย่างอบอุ่นราวกับเป็นลูกค้า VIP
ชุดที่หยิบผิดถูกนำมาวางบนโต๊ะพร้อมกับคำอธิบายให้พนักงานเข้าใจว่าเธอนั้นหยิบถุงผิดกับลูกค้าที่ซื้อเสื้อจากร้านเดียวกันเมื่อวานนี้ ทางด้านพนักงานขายก็ตรวจสอบข้อมูลให้อย่างราบรื่น ทว่าสิ่งที่พบกลับเป็นความว่างเปล่า เพราะเจ้าของชุดนี้ไม่ได้ซื้อในนามของสมาชิก ดังนั้นแม้แต่ที่ร้านเองก็ไม่มีข้อมูลติดต่อกลับเช่นกัน
ไม่ว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะพยายามถามสักแค่ไหน แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นดังเดิม จริง ๆ ก็แอบเตรียมใจเผื่อไว้แล้ว เพราะตัวเธอเองก็ไม่ได้มีบัตรสมาชิกของที่นี่เช่นกัน หากเป็นของเธอหายบ้าง การตามตัวก็คงจะยาก หญิงสาวเดินกลับไปยังจุดเรียกรถแท็กซี่จุดเดิมด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้ผิดหวังซะทีเดียว เธอยังคงหวังว่าอาจจะได้พบกับคนคนนั้นอีกครั้งหากมาที่เดิมเวลาเดิม
เสื้อคลุมในถุงกระดาษที่ห่อไว้อย่างสวยงามนี้ มีดีไซน์ที่งดงามสมราคาที่สูงลิ่วของมัน ทว่าสีเสื้อกลับไม่ได้สดใสอย่างที่สาว ๆ ชอบใส่กัน ดูแล้วน่าจะเหมาะกับผู้หญิงอายุ 40 ปีมากกว่า บางทีคนคนนั้นอาจจะซื้อสิ่งนี้ให้แก่คนสำคัญที่มีอายุหน่อย หรือถ้าหนักกว่านั้นก็เป็นของขวัญวันเกิด…
ถึงแม้ว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะไม่ได้ประทับใจในตัวเขาคนนั้นเลยตั้งแต่แรกพบ แต่เธอเองก็ยังอยากจะคืนเสื้อตัวนี้ให้เขาให้ได้ อย่างน้อย ๆ เธอก็อยากได้เสื้อของเธอคืน…
ในขณะที่ท้องฟ้ากำลังเข้าสู่ช่วงราตรี ไฟถนนก็ค่อย ๆ เปิดไล่กันเป็นทาง แสงไฟเหล่านั้นทอดยาวจนดูเหมือนว่าถนนเส้นนี้กำลังเกิดใหม่ในช่วงค่ำคืน โลกอีกใบหนึ่งกำลังจะปรากฏออกมาเมื่อตะวันลับลาหายลับฟ้าไป
ฝูเจิ้งเจิ้งลุกขึ้นยืนเขย่งมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง และทันใดนั้นเอง เจ้าของร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏตัวขึ้นมา
บ้าเอ๊ย นั่นรุ่นพี่หยาง!?
ด้วยความหวาดระแวง หญิงสาวก็รีบหลบไปอยู่หลังป้ายโฆษณาเสียก่อน
ระหว่างที่หลบอยู่ด้านหลังป้ายดังกล่าว ฝูเจิ้งเจิ้งก็โผล่หน้าออกมาดูเป็นระยะ เพื่อดูว่าหยางเต๋าไปแล้วหรือยัง เมื่อไม่เห็นเจ้าตัวอยู่ในบริเวณนั้นแล้ว เธอจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ลืมไปเลยว่าสถานีตำรวจประจำเมือง B นั้นอยู่แถวนี้ด้วย
หญิงสาวหันมองซ้ายขวาอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีใครโผล่มาเลยเธอจึงก้มลงมามองนาฬิกาแทนพลางคิดอะไรนิดหน่อย แล้วจึงกลับไปยังร้านเสื้อ ฝูเจิ้งเจิ้งอธิบายลักษณะของผู้ชายที่หยิบถุงเสื้อผ้าสลับกับเธอให้แก่พนักงานขายฟังพร้อมกับทิ้งเบอร์โทรศัพท์ของตนและกำชับพนักงานขายไว้ว่าหากชายคนนั้นกลับมาที่นี่อีกรอบ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ต้องบอกให้เขาโทรหาเธอด้วย
พนักงานขายรับปากสัญญากับเธออย่างจริงใจ
หลังจากที่ฝูเจิ้งเจิ้งออกจากร้านมาแล้ว เธอก็เหลือบไปมองตัวเองในกระจกพลางคิดถึงความซื่อบื้อเมื่อครู่ของตนที่เผลอหลงดีใจไปกับคำสัญญาครู่หนึ่ง
ให้ตายสิ โลกของธุรกิจน่ะ ถ้าไม่ได้ผลประโยชน์มันจะมีค่าอะไรให้ยื่นมือเข้ามาช่วยนะ? รู้งี้น่าจะฝากสินน้ำใจให้สักนิดสักหน่อยก็คงจะดี…จะว่าไปฉันเองก็เป็นหนี้หานซือฉีอยู่นี่นา…
บ้านหานซือฉี เวลา 1 ทุ่ม
“หม่ามี๊กลับมาแล้ว หม่ามี๊ได้เปลี่ยนชุดสวย ๆ นั่นแล้วหรือยัง?” ฝูซิงที่เห็นฝูเจิ้งเจิ้งเดินเข้ามาภายในบ้านก็เอ่ยทักทายด้วยเสียงใส
เธอส่ายหน้าเล็กน้อยขณะยิ้มแหย ๆ ก่อนจะพูด “หม่ามี๊ลืมใบเสร็จน่ะจ้ะ พรุ่งนี้คงต้องไปอีกรอบ”
ทั้งหมดร่วมรับประทานอาหารด้วยกันจนเสร็จสรรพแล้วจึงแยกย้ายกันเข้าห้องของตนไป ฝูเจิ้งเจิ้งก็พาลูกชายของเธอกลับเข้าห้องไปทำการบ้านตามปกติ
เมื่อฝูซิงทำการบ้านเสร็จแล้ว เขาก็เอ่ยถามขึ้นมาทันที “หม่ามี๊ ที่โรงเรียนจะจัดกิจกรรมพ่อแม่และเด็ก ร่วมกันแข่งกีฬามะรืนนี้ ฝูซิงอยากให้หม่ามี๊ไปกับป๊ะป๋าด้วยได้ไหม?”
“ไม่จ้ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งอธิบาย “ป๊ะป๋าของลูกน่ะยุ่งกับงานจะตายไป เพราะงั้นหม่ามี๊จะไปกับลูกเอง”
ฝูซิงมองผู้เป็นแม่ด้วยแววตาเศร้าหม่น “แต่หม่ามี๊ ฝูซิงบอกเพื่อนไว้แล้วว่าป๊ะป๋าจะมาด้วยนะ”
“งั้นลูกก็ไปบอกเพื่อนว่าป๊ะป๋าติดงานกะทันหัน แต่ไม่ต้องห่วง ยังไงหม่ามี๊ก็จะไปแน่ ๆ”
ด้วยความที่เธอต้องการจะตีตัวออกห่างจากหานซือฉีอยู่แล้ว การที่จู่ ๆ ต้องมาเป็นคนรับใช้ให้เขาเป็นเวลา 1 เดือนนี่มันก็รบกวนใจเธออยู่ไม่น้อย
“หม่ามี๊ ไม่ใช่ว่าหม่ามี๊คอยสอนฝูซิงบ่อย ๆ ว่าให้ซื่อสัตย์เหรอ? เด็กโกหกจะเป็นเด็กซื่อสัตย์ได้ยังไง?”
โดนพูดแบบนั้นใส่เข้าไป ฝูเจิ้งเจิ้งถึงกับเป็นฝ่ายที่พูดไม่ออก
“แถมป๊ะป๋าก็บอกแล้วด้วยว่าไปได้” เด็กน้อยก้มหน้างุด
บอกแล้วเหรอ? อะไรน่ะ? เอ๊ะ หรือว่า….
ฝูเจิ้งเจิ้งจำได้แล้วว่า สิ่งที่ฝูซิงพูดว่าอยากให้เธอไปกับป๊ะป๋านั้น มันหมายความว่าอย่างไร ฝูซิงไม่ได้พูดเลยว่าอยากให้ป๊ะป๋ามากับเธอ
หลังจากที่คิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว หญิงสาวก็ค่อย ๆ อธิบายให้ลูกชายของตนฟัง “ซิงซิง ป๊ะป๋าคนนี้น่ะไม่ใช่ป๊ะป๋าแท้ ๆ ของลูกนะ แบบนี้ถ้าในอนาคตป๊ะป๋าแท้ ๆ กลับมา เด็กคนอื่นจะหัวเราะเยาะลูกเอานะ”
เด็กหนุ่มรีบส่ายหน้า “ฝูซิงไม่อยากได้ใครมาเป็นพ่อแท้ ๆ แล้ว ฝูซิงอยากให้ป๊ะป๋ามาเป็นป๊ะป๋าเท่านั้น!”
เธอได้แต่มองลูกชายของตนด้วยความหมดหวังและเจ็บปวดในใจลึก ๆ เด็กยังไงก็เป็นแค่เด็กนั่นแหละ ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอะไรหรอก ฝูเจิ้งเจิ้งถอนหายใจขณะที่ตัวเธอก็ยังคิดถึงเหนียนซี่ที่หายสาปสูญไปด้วย
เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งเงียบไป ฝูซิงก็รีบเดินมาดึงมือของเธอไว้และพูดด้วยเสียงเบา “ถ้าหม่ามี๊ไม่สบายใจ ฝูซิงไม่พูดเรื่องป๊ะป๋าแล้วก็ได้”
มือเรียวของฝูเจิ้งเจิ้งค่อย ๆ เคลื่อนไปลูบหัวของฝูซิงด้วยความเอ็นดูก่อนจะดึงเขามากอดเอาไว้ด้วยความรัก
ตัวเธอเองอยากจะบอกฝูซิงว่าอย่าไปคาดหวังอะไรกับหานซือฉีมากนัก เพราะยังไงสุดท้ายทั้งเธอและลูกต่างก็ต้องย้ายกลับไปยังเมือง A จากนั้นหานซือฉีก็จะค่อย ๆ ห่างไกลจากชีวิตปกติของทั้งสองแม่ลูกไปในไม่ช้าก็เร็ว
บางทีในไม่กี่ปีต่อจากนี้…หานซือฉีอาจจะกลายเป็นป๊ะป๋าให้ลูกของเขาเองก็ได้ และเมื่อเวลานั้นมาถึง เขาจะต้องลืมเรื่องของเธอและฝูซิงอย่างแน่นอน
หญิงสาวแอบส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะหัวเราะกับตัวเองและมองหน้าฝูซิง
ฉันคิดบ้าอะไรอยู่นะ…
ฝูเจิ้งเจิ้งตัดสินใจแล้วว่าจะให้เวลาตนเองในการอยู่ที่นี่เพิ่มอีก 1 เดือน หลังจากที่ช่วยปกป้องสวี่เหยียนจากการโดนหักโบนัสได้แล้ว หากยังไม่เจอหลักฐานอะไรเพิ่มในบ้านหลังนี้ เธอก็จะยินยอมให้หยางเต๋าส่งเธอออกจากภารกิจนี้ และกลับไปยังเมือง A พร้อมกับฝูซิงได้ทันที กลับไปใช้ชีวิตปกติที่ห่างหายมา แล้วก็บอกลาหานซือฉีตลอดไป
หลังจากตรวจการบ้านฝูซิงและกล่อมลูกชายของเธอนอนไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งจึงค่อยลุกไปอาบน้ำและเตรียมจะพักผ่อนเหมือนกัน
แต่ในขณะที่เธอกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำนั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเดินไปที่ประตูและแนบหูไปกับกำแพงเพื่อหาต้นตอของเสียงนั้นทันที
หากยึดตามเวลาเข้านอนของแต่ละคน ตอนนี้ป้าเฉินควรจะนอนไปแล้ว ส่วนหานซือฉีก็คงจะก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ในห้องของตนแน่นอน
ประตูห้องถูกเปิดออกเบา ๆ ด้านนอกห้องนี้ไม่มีอะไร ดูเหมือนทุกคนในชั้นนี้จะนอนแล้วจริง ๆ แต่ห้องของหานซือฉีที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ยังเปิดแง้มอยู่นิดหน่อย หรือว่าเขาจะออกจากห้องไปแล้ว?
ด้วยความสงสัย ฝูเจิ้งเจิ้งจึงค่อย ๆ ย่องไปส่องผ่านช่องประตูบานนั้นแล้วก็พบว่าหานซือฉีก็ยังนั่งอยู่ในห้องดังเดิม
เสียงจากในห้องของเขาหรือเปล่านะ?
ไม่ทันให้ได้สงสัยนาน เสียงเดิมก็ดังขึ้นมาอีก ทว่ามันไม่ได้มาจากในห้องของหานซือฉี แต่มาจากด้านล่าง และเลือดของตำรวจที่สูบฉีดอยู่ในกายเธอก็บอกให้เธอตื่นตัวขึ้นมา
ขโมยงั้นเหรอ!?
——————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
หล่อนมูฟออนจากซือฉีได้จริงเหรอ? พักหลังตั้งแต่เรื่องคืนนั้นนี่ดูจะแอบงอนเค้าบ่อยอยู่นะ 5555555
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-